xs
xsm
sm
md
lg

เด็กดีของระบอบทักษิณ

เผยแพร่:   โดย: สุรวิชช์ วีรวรรณ

เดี๋ยวนี้การออกมาวิพากษ์วิจารณ์การเคลื่อนไหวของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กลายเป็นกระแสฮิตในหมู่ปัญญาชน

อย่างน้อยช่วงระยะเวลานี้ ผมได้ยินจากปากและปากกาของปัญญาชน(ตามที่สังคมเชื่อ) 3 คน ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ สุภลักษณ์ กาญจนขุนดี (น่าจะพอถูไถรวมอยู่ในสถานะนี้ได้) และศ.ดร.ธงชัย วินิจจะกูล จากมหาวิทยาลัยวิสคอนซิน โดยเฉพาะการพุ่งเป้าไปที่สนธิ ลิ้มทองกุล

ในทัศนะของผมการวิพากษ์วิจารณ์สนธิเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ สนธิก็เหมือนคนธรรมดาทั่วไปที่ยังกิน ขี้ ปี้ นอน มีโลภ โกรธ หลง มีสุข มีทุกข์ เป็นอาภรณ์หล่อเลี้ยง สิ่งที่สนธิทำย่อมมีผิด มีถูก แต่สิ่งที่สนธิมีแตกต่างกับคนอื่นในทัศนะของผมก็คือ สนธิมีใจเป็นธรรม มีลูกบ้า กล้าได้กล้าเสีย อย่างที่เขาประกาศอยู่ตลอดเวลาในการต่อสู้กับทักษิณว่า “ตายเป็นตาย เจ๊งเป็นเจ๊ง”

ผมนั่งฟัง อนุสรณ์ ธรรมใจ ออกทีวีคืนนั้นด้วยความกระวนกระวาย แม้ว่าเนื้อหาไม่มีอะไรที่มากไปกว่า การทำให้เห็นว่า ตัวอนุสรณ์นั้นเป็นผู้ทรงภูมิ มีความเที่ยงธรรม เสียสละ และอุทิศตนเพื่อความถูกต้องดีงาม

ผมกระวนกระวายกระอักกระอ่วน จนกระทั่งอาเจียนออกมาในคืนนั้น รุ่งเช้าผมยังต้องรับฟังคำวิพากษ์วิจารณ์จากคนที่รู้จักอนุสรณ์ทั้งทางโทรศัพท์และการพบปะกันพูดคุยกันอีกหลายครั้ง เพื่อนหลายคนบอกว่าเป็นนิมิตหมายที่ดีถ้าอนุสรณ์จะเปลี่ยนไปจากที่เขาเคยรู้จัก

เขาอนุโมทนาว่า บางทีอนุสรณ์อาจได้สิ่งที่แสวงหาแล้ว วันนี้อนุสรณ์คงจะลงมาทำงานเพื่อสังคม แทนการแสวงหาตำแหน่งในองค์กรธุรกิจขนาดใหญ่ที่มีเงินเดือนสูงลิบลิ่ว ซึ่งไม่ใช่ความผิดอะไรหรอกครับ แต่มันขัดแย้งกับที่ตัวเองกำลังบอกให้คนอื่นเชื่อ

อีกคนที่ผมไม่อยากพูดถึงเลยก็คือ สุภลักษณ์ กาญจนขุนดี ผมจะไม่วิจารณ์ว่า สุภลักษณ์ก็ไม่ต่างกับ ศ.ธงชัยที่มีคนบอกว่าเป็นพวกแอนตี้สถาบัน แต่สุภลักษณ์ก็ไม่พลาดที่จะหยิบเอาพระราชดำรัสที่ทรงกล่าวถึงมาตรา 7 บางตอนมาเป็นเครื่องมือในการทิ่มแทงการเคลื่อนไหวของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย

ผมไม่อยากพูดถึงสุภลักษณ์ ซึ่งเคยทำงานอยู่ในเครือผู้จัดการ แม้สุภลักษณ์จะวิพากษ์วิจารณ์ว่า สนธิแม้จะจบการศึกษาระดับปริญญาโท แต่เป็นพวกไม่มีความรู้ลึกซึ้งในเชิงประวัติศาสตร์การเมืองของไทย ไม่เข้าใจปัญหาความยากจน สิทธิมนุษยชน และไม่เคยได้ยินสนธิอภิปรายในปัญหาประชาธิปไตย เพราะผมรู้จักสนธิตรงกันข้ามกับที่สุภลักษณ์เข้าใจ และถ้าสุภลักษณ์ไม่รู้ ผมก็คิดว่าไม่ใช่ความผิดอะไรที่สุภลักษณ์จะเข้าใจอย่างนั้น

ความผิดของสนธิก็คือ ทำไมไม่พูดเรื่องแบบนี้ให้สุภลักษณ์ได้ยิน

ความผิดของสนธิก็คือ สนธิไม่ใช่สื่อมวลชนที่ลุกขึ้นมาสู้กับทักษิณคนแรกๆ แต่เป็นพวกที่สนับสนุนทักษิณมาก่อน (ความผิดของสนธิอีกอย่างที่ผมแถมให้ก็คือ สนธิไม่ได้สู้แบบแหยๆ ก็เพราะสนธิไม่ยอมไปก้มกราบทักษิณ เมื่อเขาส่งสัญญาณมาว่า จะปิดกั้นธุรกิจต่างๆ นานา)

ความผิดของสุภลักษณ์ก็คือ ทำไมไม่ถามเรื่องนี้กับภรรยาตัวเองซึ่งทำมาหากินอยู่กับสนธิ (คำนี้เป็นคำที่สุภลักษณ์ใช้กับอาจารย์ชัยอนันต์)ว่า สนธิเคยมอบหมายให้ไปติดตามเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้หรือไม่

ทัศนะของสุภลักษณ์อาจสอดคล้องกับธงชัย วินิจจะกูล และนิธิ เอียวศรีวงศ์ ซึ่งไม่ใช่ความผิดอะไรที่สุภลักษณ์จะเชื่อและคิดอย่างนั้น ขณะเดียวกันก็ไม่ใช่ความผิดอะไรของนักวิชาการที่ออกมาแสดงทัศนะและสนับสนุนแนวทางการเคลื่อนไหวของสนธิไม่ว่าจะเป็นบุญรักษ์ บุญญะเขตมาลา ชัยอนันต์ สมุทวณิช หรือปราโมทย์ นาครทรรพ ซึ่งแม้สุภลักษณ์ใช้น้ำเสียงที่แดกดันทั้งสามคนอยู่ในบทความก็ไม่เกี่ยวอะไรกับผม

ทีนี้มาถึงเรื่องในบทความสุภลักษณ์ที่เกี่ยวกับผมและคิดว่า ต้องพูดอยู่ 2-3 เรื่อง เพราะเรื่องที่สุภลักษณ์เขียนถึงนั้น โกหก และผิดข้อเท็จจริง

ในฐานะพนักงาน ที่สุภลักษณ์บอกว่า สนธิบังคับให้พนักงานในเครือใส่เสื้อเหลือง ไปปรากฎตัวเพื่อครอบงำคนฟังรายการ ซึ่งนอกจากเป็นเรื่องโกหกแล้ว สุภลักษณ์ยังดูถูกคนฟังด้วย

ในฐานะ ที่อยู่วงใน สุภลักษณ์ บอกว่า สนธิทุบโต๊ะเพื่อให้คนอื่นคล้อยตามในการเคลื่อนขบวนครั้งแรกจากสนามหลวงไปอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ข้อมูลตรงนี้ก็เป็นเท็จ และดูถูกแกนนำอีก 4 คน ยิ่งบอกว่า การตัดสินใจของสนธิทำให้สมาชิกกองทัพธรรมทัพยังนอนอยู่ในกระโจมไม่ออกเดินทางมาด้วย เรื่องนี้ก็ยิ่งเท็จ เพราะมีมติร่วมกันว่าให้กองทัพธรรมพักค้างแรมเพื่อยึดพื้นที่เอาไว้

ข้อเท็จจริงของคนที่เกาะขอบเวทีทำข่าวแบบนี้ ถ้าเป็นนักข่าวใหม่ก็คงไม่ผ่านการประเมินงานเป็นแน่

เรื่องที่ผมต้องพูดเพราะเกี่ยวกับองค์กรผมอีกเรื่องก็คือ ข้อเท็จจริงเรื่อง 11 news 1 ถ้าสุภลักษณ์ทำการบ้านก็คงจะทราบไม่ยากเย็นว่า โทรทัศน์ช่องนี้เป็นการริเริ่มของกรมประชาสัมพันธ์ แล้วให้สัมปทานกับบริษัทหนึ่งเข้ามาทำรายการ จากนั้นบริษัทนี้ได้มาจ้างไทยเดย์รับช่วงผลิตรายการต่อ ไม่ใช่ “กรมประชาสัมพันธ์ไม่ยอมให้ทีวีของเขาเกาะสัญญาณแอบเป็น 11 news 1” อย่างที่สุภลักษณ์ใช้ภาษาแดกดัน

และโชคดีที่ทีวีช่องนี้ได้กลายเป็นอาวุธหลักในการต่อสู้กับระบอบทักษิณ

คนต่อไปที่ผมรู้สึกแหยงๆ ก็คือ ศ.ดร.ธงชัย วินิจจะกูล ที่ผ่านมาผมไม่เห็นด้วยด้วยซ้ำที่มีคนวิจารณ์ว่า อาจารย์กลายเป็นแนวร่วมของระบอบทักษิณ ก็เพราะระบอบทักษิณท้าทายสถาบันพระมหากษัตริย์ได้อย่างน่าหวั่นไหวมากที่สุด

แต่ที่ผมรู้สึกผิดหวังบทความของอาจารย์เรื่อง “อำนาจตุลาการคือ จุดอ่อนของระบอบประชาธิปไตย” ที่อาจารย์วิจารณ์ฝ่ายพันธมิตรฯ ไม่ยอมใช้อำนาจตุลาการมาเป็นเครื่องมือในการตรวจสอบความผิดของทักษิณ โดยเฉพาะประเด็นขายหุ้นไม่เสียภาษี ที่อาจารย์บอกว่า“มีใครไปฟ้องร้องเอาผิดหรือดำเนินคดีตามกระบวนการยุติธรรมบ้าง”

ทั้งๆ ที่ข้อเท็จจริงเรื่องนี้ อาจารย์ แก้วสรร อติโพธิและคณะได้เคยนำเรื่องสู่ศาลรัฐธรรมนูญแล้ว แต่ถูกศาลตีตกลงมา แถมที่อาจารย์ธงชัยบอกว่า ฝ่ายต่อต้านรัฐบาลใช้การชุมนุมเป็นมาตรการเด็ดขาด แต่กลับไม่สนใจกระบวนการยุติธรรมเลย ไม่กี่คดีในศาล มิได้ริเริ่มโดยผู้นำของพันธมิตรสักคดีเดียว

เรื่องนี้ผิดข้อเท็จจริงครับ และข้อเท็จจริงที่ผิดพลาดนี้เป็นหัวใจของการนำเสนอบทความชิ้นนี้ด้วย ถ้าอาจารย์ติดตามจะทราบว่า มีหลายคดีที่แกนนำพันธมิตรฯ และตัวแทนฟ้องร้องพึ่งพิงอำนาจตุลาการ

ส่วนที่ผมเห็นต่างและขำๆ ก็คือ อาจารย์ตั้งคำถามว่า ทำไมฝ่ายต่อต้านทักษิณจึงไม่เห็นหายนะตั้งแต่มีการฆ่าตัดตอน 2,000 ศพ หรือการตายที่ตากใบ แต่ “เพิ่ง” มารู้สึกว่าประเทศไทยหายนะแน่ตอนทักษิณขายหุ้น 73,000 ล้าน

เพราะผมไม่เห็นว่า ประชาชนจำนวนที่ “เพิ่ง” มารู้สึกถึงหายนะตอนที่ทักษิณขายหุ้นจะมีความผิดตรงไหน

ส่วนที่อาจารย์ธงชัยตั้งคำถามว่า ระบอบทักษิณก่อหายนะเท่ากับมาร์กอสและซูฮาร์โตหรือไม่ แล้วตอบว่า ห่างไกลกันลิบลับนั้นก็เป็นสิทธิของอาจารย์

แต่ความเชื่อของผมคือ ระบอบทักษิณนั้น ชั่วร้ายพอๆ หรือมากกว่ามาร์กอสและซูฮาร์โต และประชาชนต้องลุกฮือมาขับไล่ก่อนที่จะเลวร้ายไปกว่านี้
กำลังโหลดความคิดเห็น