"ทนง ลำไย"นำคณะผู้บริหารตลาดหลักทรัพย์และบริษัทจดทะเบียนโรดโชว์สิงคโปร์ ท่องบทประชาธิปไตยให้ความมั่นใจนักลงทุน หลุดปาก "ปัญหาทางการเมืองในไทยจะจบลงก่อนวันเฉลิมพระชนมพรรษาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว" เผยจะเร่งให้รัฐวิสาหกิจลงทุนได้ตั้งแต่เดือนตุลาคม ตามคาด เข้ารายงานคุณพ่อเทมาเส็กนัดพิเศษนอกกำหนดการ ก่อนที่อังคารนี้ "ลีเซียนลุง"จะมาพบ"ทักษิณ" ที่เขาใหญ่
นายทนง พิทยะ รักษาการรมว.คลัง เปิดเผยถึงการนำเสนอข้อมูลแก่นักลงทุนในงาน “Thailand Equity 2006 : Investor Forum” ที่ประเทศสิงคโปร์ เมื่อวานนี้ (14 ก.ค.) ว่า เป็นความร่วมมือระหว่างกระทรวงการคลัง ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) และบริษัทจดทะเบียน ที่จะนำข้อมูลทางเศรษฐกิจและการเมือง ข้อมูลการลงทุนที่สำคัญมาอธิบายนักลงทุนสิงคโปร์ เพื่อแสดงความเชื่อมั่นกับนักลงทุนว่า ปัญหาทางการเมืองในไทยที่ยืดเยื้อ จะจบลงก่อนถึงวันเฉลิมพระชนมพรรษาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในช่วงปลายปี (5 ธ.ค.49) และตนเชื่อว่าน่าจะมีการเลือกตั้งได้ภายในปีนี้
“ถ้าการเมืองเป็นปกติ กระทรวงการคลังคงไม่ต้องมาโรดโชว์เอง แต่การเมืองยังไม่แน่นอน นักลงทุนยังกังวลกับเศรษฐกิจและผลประกอบการของบจ. จึงต้องมาชี้แจงให้นักลงทุนเข้าใจ ผมมาด้วยความภูมิใจว่า ทุกอย่างดำเนินการตามระบอบประชาธิปไตยทั้งสิ้น ไม่มีใครอยากเห็นความรุนแรง แม้จะมีความเห็นที่แตกต่างกันบ้างก็ตาม โดยปัญหาทางการเมืองกำลังเดินไปจบที่การตัดสินของศาลยุติธรรม” นายทนงกล่าวอ้างประชาธิปไตย
นอกจากประเด็นทางการเมืองแล้วรัฐบาลยังนำข้อมูลและนโยบายด้านเศรษฐกิจ มาชี้แจงต่อนักลงทุนที่สิงคโปร์ด้วย โดยชี้ให้เห็นว่าโครงสร้างเศรษฐกิจของไทยยังแข็งแรงและมีพื้นฐานที่ดี เห็นได้จากตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ในครั้งปีแรกเติบโตได้ประมาณ 5.5% แยกเป็นไตรมาสแรก 6% และไตรมาสอีก 5% แม้ในครึ่งปีหลังการเติบโตทางเศรษฐกิจอาจจะชะลอลงบ้าง จากค่าเงินบาทที่แข็งขึ้นในช่วง 3 เดือนแรกของปี ซึ่งเริ่มส่งผลทำให้การส่งออกในครึ่งปีหลังลดลงไปบ้าง ขณะเดียวกัน ราคาน้ำมันที่ปรับเพิ่มขึ้นมา ทำให้การบริโภคภาคประชาชนลดลง
นอกจากนี้ จะเร่งรัดการลงทุนของรัฐวิสาหกิจ หน่าวยงานที่มีงบการลงทุนสูงกว่ารัฐบาล โดยให้รัฐวิสาหกิจทุกแห่งส่งร่างงบการลงทุนให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) พิจารณา และนำเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ภายในเดือน ส.ค. นี้ เพื่อจะได้เริ่มใช้เงินลงทุนตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. ได้ทัน เพื่อให้การเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจ เร็วขึ้นกว่าปกติ 2 เดือน ชดเชยกับการใช้จ่ายงบประมาณปี 2550 ที่จะล่าช้า 6 เดือน
“คาดว่าการลงทุนของรัฐบาลในงบประมาณปี 50 จะล่าช้าออกไป 6 เดือน ทำให้จีดีพีลดลงประมาณ 0.5-1% โดยงบลงทุนซึ่งคิดเป็น 20-25% ของงบประมาณรวม จะถูกนำไปใช้ในครึ่งปีหลังแทน แต่ก็จะทำให้การลงทุนในปี 51 ได้รับแรงอัดฉีดที่เกิดขึ้นจากครึ่งหลังของปี 50 ทำให้การลงทุนในปี 51 รวมถึงปี 52 สูงกว่าที่ควรจะเป็น ส่งผลให้ถ้ามองการลงทุนเฉลี่ยในช่วง 3 ปี ระหว่างปี 50-52 แล้ว จะไม่ได้รับผลกระทบจากความล่าช้าในการเบิกจ่ายงบปี 50 มากนัก” นายทนงกล่าว
นายทนงกล่าวว่า ไม่สามารถระบุได้ว่าภายหลังจากการโรดโชว์จะทำให้นักลงทุนต่างชาติ กลับเข้าไปลงทุนในตลาดหุ้นไทยหรือไม่ เพราะเป็นเพียงการมาทำความเข้าใจและให้ข้อมูลที่แท้จริงกับนักลงทุน ซึ่งหากนักลงทุนรับฟังแล้ว ต้องการจะรอดูสถานการณ์ต่อไปก่อน ก็ถือเป็นสิทธิที่จะทำได้ แต่เชื่อว่า นักลงทุนส่วนใหญ่ยังมีมุมมองเหมือนกับรัฐบาลไทย เห็นได้จากตัวเลขการลงทุนสุทธิ ของนักลงทุนต่างชาติในตลาดหุ้นไทย ที่ยังเป็นบวกอยู่ แม้จะมีการไหลออกมาบ้างก็ตาม โดยผลประกอบการของ บจ. โดยรวมยังดีอยู่ อย่างเช่น กลุ่มธนาคารพาณิชย์ ที่ยังสามารถทำกำไรได้ดี
ส่วนกลุ่มที่อาจชะลอตัวลงไปบ้าง คือ กลุ่มรับเหมาก่อสร้างและกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ เนื่องจากในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา มีการก่อสร้างสนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งมีเงินลงทุนกว่า 1 แสนล้านบาท ทำให้ธุรกิจรับเหมาก่อสร้างขยายตัวขึ้นมาก เมื่อไม่มีโครงการขนาดใหญ่ในลักษณะดังกล่าวขึ้นมาอีก ธุรกิจรับเหมาะก็สร้างย่อมชะลอตัวลงเป็นธรรมดา แต่รัฐบาลจะพยายามผลักดันการลงทุนโครงการเม กะโปรเจกต์ขึ้นมาทดแทน เช่น การก่อสร้างรถไฟฟ้า 3 สาย ก็อยู่ระหว่างการจัดทำระเบียบการจัดซื้อจัดจ้าง (ทีโออาร์) ซึ่งอยู่ในการดูแลของนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี ขณะที่กระทรวงการคลังจะดูเรื่องเงินลงทุน เพื่อให้ได้ต้นทุนทางการเงินต่ำที่สุด ซึ่งน่าจะเป็นเงินกู้ระยะยาว
“ในส่วนของโครงการเมกกะโปรเจกต์ รัฐบาลจะเตรียมตัวให้พร้อม ทั้งเรื่องของแหล่งเงินทุน และการประมูลจัดซื้อจัดจ้าง ส่วนจะดำเนินการก่อสร้างหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับความเห็นของประชาชน หากประชาชนเห็นด้วย รัฐบาลก็พร้อมที่จะผลักดันต่อไป แต่หากเห็นว่ารัฐบาลรักษาการไม่ควรอนุมัติการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ ก็จะชะลอไว้ก่อน”
**นัดพิเศษเข้าพบเทมาเส็ก
นายนริศ ชัยสูตร ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง(สศค.) กล่าวว่า ภาพรวมของเศรษฐกิจไทยในสายตาของนักลงทุนยังถือว่าดีอยู่ นักลงทุนส่วนใหญ่ยังเชื่อว่าแม้เศรษฐกิจไทยจะเผชิญปัญหาต่างๆ แต่ก็ยังสามารถเดินหน้าต่อไปได้เพราะมีปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจดี ซึ่งสิ่งที่นักลงทุนชะลอการลงทุนในขณะนี้เนื่องจากรอความชัดเจนของสถานการณ์ทางการเมืองก่อน หากมีความชัดเจนเกิดขึ้นเมื่อไรก็พร้อมที่จะเข้ามาลงทุนในประเทศไทยต่อในทันที
สำหรับการโรดโชว์ในเย็นวันที่ 14 ก.ค. 2549 นายทนงมีนัดเข้าหารือกับผู้แทนกองทุนเทมาเส็กด้วย ซึ่งในกำหนดการเดิมเทมาเส็กไม่มีกำหนดการเข้าร่วมรับฟังข้อมูลในการโรดโชว์ในครั้งนี้
เป็นที่น่าสังเกตว่า วันอังคารที่ 19 ก.ค.นี้ นายลีเซียนลุง นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ จะเดินทางมาประเทศไทยเพื่อพบพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี ที่เขาใหญ่ จ.นครราชสีมา
นายศุภวุฒิ สายเชื้อ กรรมการผู้จัดการ ประธานสายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ ภัทร จำกัด(มหาชน) ในฐานะผู้จัดงานกล่าวว่า ในการโรดโชว์ครั้งนี้มีกองทุนต่างชาติเข้าร่วมฟังข้อมูลของ บจ. ต่าง ๆ ถึง 34 กองทุน(ไม่รวมเทมาเส็ก) โดยประเด็นที่นักลงทุนที่สิงคโปร์ให้ความสนใจมากที่สุดคือเรื่องการเมือง ว่าไทยจะมีการเลือกตั้งในวันที่ 15 ต.ค. นี้หรือไม่ หากต้องเลื่อนจะเลื่อนไปถึงเมื่อไร และไทยจะมีรัฐบาลปกติได้เมื่อใด
นอกจากนี้ นักลงทุนยังต้องการทราบว่านโยบายที่รัฐบาลประกาศไว้ก่อนหน้านี้ จะมีความต่อเนื่องต่อไปหรือไม่ ทั้งเรื่องการส่งเสริมการลงทุน และโครงการเมกกะโปรเจกต์ ซึ่งถ้าไทยยังไม่มีความชัดเจนในเรื่องนี้ รัฐบาลจะมีมาตรการชั่วคราวเพื่อสนับสนุนการลงทุนอย่างไร
ทั้งนี้ บริษัทที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนมากที่สุดจากจำนวนทั้งหมด 10 บริษัท คือ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด(มหาชน) และ บริษัท เอเชี่ยนพร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด(มหาชน) ซึ่งมีจำนวนรอบการให้ข้อมูลแก่นักลงทุนถึงบริษัทละ 18 ครั้ง บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด(มหาชน) จำนวน16 ครั้ง ธนาคารกรุงไทย จำนวน 14 ครั้ง บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด(มหาชน) 13 ครั้ง บริษัท อสมท จำกัด(มหาชน) จำนวน 11 ครั้ง บริษัท ปตท. จำกัด(มหาชน) 10 ครั้ง ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) 9 ครั้ง บริษัท การบินไทย จำกัด(มหาชน) 8 ครั้ง และบจ. ที่มีจำนวนรอบการนำเสนอข้อมูลน้อยที่สุด คือ ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) 7 ครั้ง
นายทนง พิทยะ รักษาการรมว.คลัง เปิดเผยถึงการนำเสนอข้อมูลแก่นักลงทุนในงาน “Thailand Equity 2006 : Investor Forum” ที่ประเทศสิงคโปร์ เมื่อวานนี้ (14 ก.ค.) ว่า เป็นความร่วมมือระหว่างกระทรวงการคลัง ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) และบริษัทจดทะเบียน ที่จะนำข้อมูลทางเศรษฐกิจและการเมือง ข้อมูลการลงทุนที่สำคัญมาอธิบายนักลงทุนสิงคโปร์ เพื่อแสดงความเชื่อมั่นกับนักลงทุนว่า ปัญหาทางการเมืองในไทยที่ยืดเยื้อ จะจบลงก่อนถึงวันเฉลิมพระชนมพรรษาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในช่วงปลายปี (5 ธ.ค.49) และตนเชื่อว่าน่าจะมีการเลือกตั้งได้ภายในปีนี้
“ถ้าการเมืองเป็นปกติ กระทรวงการคลังคงไม่ต้องมาโรดโชว์เอง แต่การเมืองยังไม่แน่นอน นักลงทุนยังกังวลกับเศรษฐกิจและผลประกอบการของบจ. จึงต้องมาชี้แจงให้นักลงทุนเข้าใจ ผมมาด้วยความภูมิใจว่า ทุกอย่างดำเนินการตามระบอบประชาธิปไตยทั้งสิ้น ไม่มีใครอยากเห็นความรุนแรง แม้จะมีความเห็นที่แตกต่างกันบ้างก็ตาม โดยปัญหาทางการเมืองกำลังเดินไปจบที่การตัดสินของศาลยุติธรรม” นายทนงกล่าวอ้างประชาธิปไตย
นอกจากประเด็นทางการเมืองแล้วรัฐบาลยังนำข้อมูลและนโยบายด้านเศรษฐกิจ มาชี้แจงต่อนักลงทุนที่สิงคโปร์ด้วย โดยชี้ให้เห็นว่าโครงสร้างเศรษฐกิจของไทยยังแข็งแรงและมีพื้นฐานที่ดี เห็นได้จากตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ในครั้งปีแรกเติบโตได้ประมาณ 5.5% แยกเป็นไตรมาสแรก 6% และไตรมาสอีก 5% แม้ในครึ่งปีหลังการเติบโตทางเศรษฐกิจอาจจะชะลอลงบ้าง จากค่าเงินบาทที่แข็งขึ้นในช่วง 3 เดือนแรกของปี ซึ่งเริ่มส่งผลทำให้การส่งออกในครึ่งปีหลังลดลงไปบ้าง ขณะเดียวกัน ราคาน้ำมันที่ปรับเพิ่มขึ้นมา ทำให้การบริโภคภาคประชาชนลดลง
นอกจากนี้ จะเร่งรัดการลงทุนของรัฐวิสาหกิจ หน่าวยงานที่มีงบการลงทุนสูงกว่ารัฐบาล โดยให้รัฐวิสาหกิจทุกแห่งส่งร่างงบการลงทุนให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) พิจารณา และนำเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ภายในเดือน ส.ค. นี้ เพื่อจะได้เริ่มใช้เงินลงทุนตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. ได้ทัน เพื่อให้การเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจ เร็วขึ้นกว่าปกติ 2 เดือน ชดเชยกับการใช้จ่ายงบประมาณปี 2550 ที่จะล่าช้า 6 เดือน
“คาดว่าการลงทุนของรัฐบาลในงบประมาณปี 50 จะล่าช้าออกไป 6 เดือน ทำให้จีดีพีลดลงประมาณ 0.5-1% โดยงบลงทุนซึ่งคิดเป็น 20-25% ของงบประมาณรวม จะถูกนำไปใช้ในครึ่งปีหลังแทน แต่ก็จะทำให้การลงทุนในปี 51 ได้รับแรงอัดฉีดที่เกิดขึ้นจากครึ่งหลังของปี 50 ทำให้การลงทุนในปี 51 รวมถึงปี 52 สูงกว่าที่ควรจะเป็น ส่งผลให้ถ้ามองการลงทุนเฉลี่ยในช่วง 3 ปี ระหว่างปี 50-52 แล้ว จะไม่ได้รับผลกระทบจากความล่าช้าในการเบิกจ่ายงบปี 50 มากนัก” นายทนงกล่าว
นายทนงกล่าวว่า ไม่สามารถระบุได้ว่าภายหลังจากการโรดโชว์จะทำให้นักลงทุนต่างชาติ กลับเข้าไปลงทุนในตลาดหุ้นไทยหรือไม่ เพราะเป็นเพียงการมาทำความเข้าใจและให้ข้อมูลที่แท้จริงกับนักลงทุน ซึ่งหากนักลงทุนรับฟังแล้ว ต้องการจะรอดูสถานการณ์ต่อไปก่อน ก็ถือเป็นสิทธิที่จะทำได้ แต่เชื่อว่า นักลงทุนส่วนใหญ่ยังมีมุมมองเหมือนกับรัฐบาลไทย เห็นได้จากตัวเลขการลงทุนสุทธิ ของนักลงทุนต่างชาติในตลาดหุ้นไทย ที่ยังเป็นบวกอยู่ แม้จะมีการไหลออกมาบ้างก็ตาม โดยผลประกอบการของ บจ. โดยรวมยังดีอยู่ อย่างเช่น กลุ่มธนาคารพาณิชย์ ที่ยังสามารถทำกำไรได้ดี
ส่วนกลุ่มที่อาจชะลอตัวลงไปบ้าง คือ กลุ่มรับเหมาก่อสร้างและกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ เนื่องจากในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา มีการก่อสร้างสนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งมีเงินลงทุนกว่า 1 แสนล้านบาท ทำให้ธุรกิจรับเหมาก่อสร้างขยายตัวขึ้นมาก เมื่อไม่มีโครงการขนาดใหญ่ในลักษณะดังกล่าวขึ้นมาอีก ธุรกิจรับเหมาะก็สร้างย่อมชะลอตัวลงเป็นธรรมดา แต่รัฐบาลจะพยายามผลักดันการลงทุนโครงการเม กะโปรเจกต์ขึ้นมาทดแทน เช่น การก่อสร้างรถไฟฟ้า 3 สาย ก็อยู่ระหว่างการจัดทำระเบียบการจัดซื้อจัดจ้าง (ทีโออาร์) ซึ่งอยู่ในการดูแลของนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี ขณะที่กระทรวงการคลังจะดูเรื่องเงินลงทุน เพื่อให้ได้ต้นทุนทางการเงินต่ำที่สุด ซึ่งน่าจะเป็นเงินกู้ระยะยาว
“ในส่วนของโครงการเมกกะโปรเจกต์ รัฐบาลจะเตรียมตัวให้พร้อม ทั้งเรื่องของแหล่งเงินทุน และการประมูลจัดซื้อจัดจ้าง ส่วนจะดำเนินการก่อสร้างหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับความเห็นของประชาชน หากประชาชนเห็นด้วย รัฐบาลก็พร้อมที่จะผลักดันต่อไป แต่หากเห็นว่ารัฐบาลรักษาการไม่ควรอนุมัติการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ ก็จะชะลอไว้ก่อน”
**นัดพิเศษเข้าพบเทมาเส็ก
นายนริศ ชัยสูตร ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง(สศค.) กล่าวว่า ภาพรวมของเศรษฐกิจไทยในสายตาของนักลงทุนยังถือว่าดีอยู่ นักลงทุนส่วนใหญ่ยังเชื่อว่าแม้เศรษฐกิจไทยจะเผชิญปัญหาต่างๆ แต่ก็ยังสามารถเดินหน้าต่อไปได้เพราะมีปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจดี ซึ่งสิ่งที่นักลงทุนชะลอการลงทุนในขณะนี้เนื่องจากรอความชัดเจนของสถานการณ์ทางการเมืองก่อน หากมีความชัดเจนเกิดขึ้นเมื่อไรก็พร้อมที่จะเข้ามาลงทุนในประเทศไทยต่อในทันที
สำหรับการโรดโชว์ในเย็นวันที่ 14 ก.ค. 2549 นายทนงมีนัดเข้าหารือกับผู้แทนกองทุนเทมาเส็กด้วย ซึ่งในกำหนดการเดิมเทมาเส็กไม่มีกำหนดการเข้าร่วมรับฟังข้อมูลในการโรดโชว์ในครั้งนี้
เป็นที่น่าสังเกตว่า วันอังคารที่ 19 ก.ค.นี้ นายลีเซียนลุง นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ จะเดินทางมาประเทศไทยเพื่อพบพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี ที่เขาใหญ่ จ.นครราชสีมา
นายศุภวุฒิ สายเชื้อ กรรมการผู้จัดการ ประธานสายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ ภัทร จำกัด(มหาชน) ในฐานะผู้จัดงานกล่าวว่า ในการโรดโชว์ครั้งนี้มีกองทุนต่างชาติเข้าร่วมฟังข้อมูลของ บจ. ต่าง ๆ ถึง 34 กองทุน(ไม่รวมเทมาเส็ก) โดยประเด็นที่นักลงทุนที่สิงคโปร์ให้ความสนใจมากที่สุดคือเรื่องการเมือง ว่าไทยจะมีการเลือกตั้งในวันที่ 15 ต.ค. นี้หรือไม่ หากต้องเลื่อนจะเลื่อนไปถึงเมื่อไร และไทยจะมีรัฐบาลปกติได้เมื่อใด
นอกจากนี้ นักลงทุนยังต้องการทราบว่านโยบายที่รัฐบาลประกาศไว้ก่อนหน้านี้ จะมีความต่อเนื่องต่อไปหรือไม่ ทั้งเรื่องการส่งเสริมการลงทุน และโครงการเมกกะโปรเจกต์ ซึ่งถ้าไทยยังไม่มีความชัดเจนในเรื่องนี้ รัฐบาลจะมีมาตรการชั่วคราวเพื่อสนับสนุนการลงทุนอย่างไร
ทั้งนี้ บริษัทที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนมากที่สุดจากจำนวนทั้งหมด 10 บริษัท คือ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด(มหาชน) และ บริษัท เอเชี่ยนพร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด(มหาชน) ซึ่งมีจำนวนรอบการให้ข้อมูลแก่นักลงทุนถึงบริษัทละ 18 ครั้ง บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด(มหาชน) จำนวน16 ครั้ง ธนาคารกรุงไทย จำนวน 14 ครั้ง บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด(มหาชน) 13 ครั้ง บริษัท อสมท จำกัด(มหาชน) จำนวน 11 ครั้ง บริษัท ปตท. จำกัด(มหาชน) 10 ครั้ง ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) 9 ครั้ง บริษัท การบินไทย จำกัด(มหาชน) 8 ครั้ง และบจ. ที่มีจำนวนรอบการนำเสนอข้อมูลน้อยที่สุด คือ ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) 7 ครั้ง