“โรซ่า” ชี้ตลาดอาหารสำเร็จรูปปีนี้ไม่โต ระบุปลากระป๋อง-ผักกาดดองกระอักหนักสุด ปรับตัวเร่งขยายไลน์สินค้าคลุมพื้นที่ 5 เซกเมนต์ในตลาดซอสปรุงรส 4 พันล้านบาท เพื่อลดความเสี่ยงปลากระป๋อง ล่าสุดปั้นซอสหอยนางรม-ซอสพริกไทยดำ ทุ่ม 30 ล้านบาท สร้างแบรนด์ผักกาดดองขึ้นแท่นเบอร์สองเบียดตราห่าน สิ้นปีรักษารายได้เท่าปีที่ผ่านมา 2 พันล้านบาท
นายสุวิทย์ วังพัฒนมงคล ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท ไฮคิวผลิตภัณฑ์อาหาร จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายซอสพริก-มะเขือเทศ และปลากระป๋องตรา ”โรซ่า” เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดอาหารสำเร็จรูปในปีนี้แทบไม่มีอัตราการเติบโต โดยเฉพาะตลาดปลากระป๋องมูลค่า 3,000 ล้านบาท และตลาดผักกาดดองกระป๋องมูลค่า 1,000 ล้านบาท ทั้งนี้เป็นเพราะปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจเป็นตัวแปรสำคัญ ส่งผลให้กำลังการซื้อของผู้บริโภคลดลง
ดังนั้นบริษัทไฮคิวฯ ซึ่งมีธุรกิจปลากระป๋องสร้างรายได้ให้กับบริษัทในสัดส่วนถึง 80% และอีก 20%มาจากซอสปรุงรส,ซอสมะเขือเทศ-พริก เป็นต้น จึงต้องปรับตัวด้วยการขยายไลน์สินค้าไปสู่เซกเมนต์ใหม่ๆ เพื่อลดความเสี่ยงและให้ยอดขายเติบโต ล่าสุดได้เปิดตัวซอสหอยนางรมและซอสพริกไทยดำ ส่งผลให้บริษัทฯมีสินค้าครอบคลุมทั้ง 5 เซกเมนต์ ซึ่งทำให้โครงสร้างรายได้ของบริษัทฯเปลี่ยนไปจากซอสปรุงรสเพิ่มเป็น 30% และอีก 70% เป็นปลากระป๋อง
สำหรับแนวทางการตลาดของผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ ”โรซ่า” ทั้ง 5 เซกเมนต์ จะชูคอนเซปต์ ”โรซ่า คุณค่าจากธรรมชาติ” เพื่อตอบรับกับกระแสสุขภาพที่มาแรง ภายใต้การใช้งบที่วางไว้ในปีที่ 70 ล้านบาทเท่ากับปีที่ผ่านมา โดยจะเน้นจำหน่ายผ่านช่องทางเทรดิชันนัลเทรด 60% และอีก 40% จะจำหน่ายผ่านโมเดิร์นเทรด
อย่างไรก็ตามการทำตลาดทั้ง 5 เซกเมนต์ จะเน้นสร้างความแตกต่างทั้งจากสินค้าคู่แข่งที่อยู่ในตลาด และเฮาส์แบรนด์ที่วางราคาถูกกว่า 20% สำหรับตัวซอสหอยนางรมบริษัทฯจะสร้างความต่าง ด้วยการเปิดสูตรผสมกระเทียม และซอสพริกไทยดำลงสู่ตลาด
ปัจจัยที่ทำให้บริษัทฯขยายไลน์สินค้าสู่ตลาดซอสหอยนางรม เนื่องจากเป็นตลาดที่เติบโตสูงที่สุดใน 5 เซกเมนต์ จากมูลค่าตลาดซอสปรุงรสรวม 4,000 ล้านบาท โดยปีนี้คาดว่าซอสหอยนางรมมูลค่า 1,000 ล้านบาท โต 15% ทั้งนี้เป็นเพราะผลพวงมาจากภาวะเศรษฐกิจที่หดตัวลง ส่งผลให้ผู้บริโภคทำอาหารทานในบ้านมากขึ้น และเทรนด์ในเรื่องของสุขภาพ ทำให้ผู้บริโภคมีความกังวลรับประทานอาหารนอกบ้าน สำหรับในตลาดซอสหอยผู้นำตลาดเป็นตราแม่ครัว มีส่วนแบ่ง 70%
ทั้งนี้เมื่อเทียบกับภาวะตลาดซอสพริก-มะเขือเทศมูลค่า 500 ล้านบาท ปีนี้มีอัตราการเติบโต 5% ซึ่งในตลาดนี้โรซ่าเป็นผู้นำตลาดครองส่วนแบ่ง 40% และไฮนซ์ 30% ส่วนตลาดซอสปรุงรสมูลค่า 1,000 ล้านบาท มีอัตราการเติบโต 8-10% และตลาดซีอิ้วมูลค่า 1,000 ล้านบาท มีอัตราการเติบโต 8-10%
ทุ่ม30ล.ปั้นโรซ่าเกิดตลาดผัดกาดดอง
นายสุวิทย์ กล่าวว่า หลังจากได้ลงทุนเครื่องจักร 20 ล้านบาทในปีที่ผ่านมา เพื่อขยายไลน์สินค้าผักกาดดองตราโรซ่าลงสู่ตลาด โดยเปิดตัวด้วยกัน 3 รสชาติ ได้แก่ ยำผักกาดดอง ผักกาดดองเผ็ดหวาน และผักกาดดองเค็ม เจาะกลุ่มเป้าหมายแม่บ้านทันสมัย และคนรุ่นใหม่มา 1 ปี ปรากฎว่าได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี เนื่องจากมีจุดเด่นที่แตกต่างจากคู่แข่ง คือ ตัวแพกเกจจิ้งในรูปแบบซอง มีความทันสมัย และปลอดภัย ซึ่งตลาดต่างประเทศอาหารสำเร็จรูปใช้บรรจุภัณฑ์ซองหมด ในขณะที่ประเทศไทยตลาดอาหารสำเร็จรูปส่วนใหญ่ยังเป็นบรรจุภัณฑ์กระป๋อง
ล่าสุดในช่วงครึ่งปีหลัง บริษัทฯได้ทุ่มงบ 30 ล้านบาท เปิดตัวผัดกาดดองโรซ่าอย่างเต็มรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นสื่อโฆษณาทางโทรทัศน์ การจัดบูธทดลองชิมตามโมเดิร์นเทรด 200 จุดในกรุงเทพฯและปริมณฑล เนื่องจากในตลาดนี้ผู้บริโภคมีความจงรักภักดีต่อตราสินค้าสูงมาก จึงต้องกระตุ้นให้เกิดการทดลองชิม อีกทั้งยังเป็นการแจ้งเกิดจากเต็มตัวในช่วงเทศกาลกินเจ ซึ่งตลาดผักกาดดองจะมีอัตราการเติบโตมากกว่าช่วงปกติเล็กน้อย
ทั้งนี้หลังจากรุกสร้างแบรนด์ผักกาดดองโรซ่าในปีนี้ คาดว่าจะมีส่วนแบ่งตลาด 10% ไล่เลี่ยกับผู้นำตลาดอันดับสองผักกาดดองตราห่านมีส่วนแบ่ง 10-15% โดยบริษัทตั้งเป้าจะขึ้นเป็นอันดับสองของตลาด ส่วนอันดับหนึ่ง คือ นกพิราบ 70%
สำหรับผลประกอบการปีนี้ บริษัทฯตั้งเป้าจะรักษารายได้ให้เท่ากับปีที่ผ่านมา คือ 2,000 ล้านบาท เนื่องจากในช่วงครึ่งปีแรกผลประกอบการมีเพียง 800 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นรายได้จากภายในประเทศ 1,500 ล้าน และจากต่างประเทศ 500 ล้านบาท
นายสุวิทย์ วังพัฒนมงคล ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท ไฮคิวผลิตภัณฑ์อาหาร จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายซอสพริก-มะเขือเทศ และปลากระป๋องตรา ”โรซ่า” เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดอาหารสำเร็จรูปในปีนี้แทบไม่มีอัตราการเติบโต โดยเฉพาะตลาดปลากระป๋องมูลค่า 3,000 ล้านบาท และตลาดผักกาดดองกระป๋องมูลค่า 1,000 ล้านบาท ทั้งนี้เป็นเพราะปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจเป็นตัวแปรสำคัญ ส่งผลให้กำลังการซื้อของผู้บริโภคลดลง
ดังนั้นบริษัทไฮคิวฯ ซึ่งมีธุรกิจปลากระป๋องสร้างรายได้ให้กับบริษัทในสัดส่วนถึง 80% และอีก 20%มาจากซอสปรุงรส,ซอสมะเขือเทศ-พริก เป็นต้น จึงต้องปรับตัวด้วยการขยายไลน์สินค้าไปสู่เซกเมนต์ใหม่ๆ เพื่อลดความเสี่ยงและให้ยอดขายเติบโต ล่าสุดได้เปิดตัวซอสหอยนางรมและซอสพริกไทยดำ ส่งผลให้บริษัทฯมีสินค้าครอบคลุมทั้ง 5 เซกเมนต์ ซึ่งทำให้โครงสร้างรายได้ของบริษัทฯเปลี่ยนไปจากซอสปรุงรสเพิ่มเป็น 30% และอีก 70% เป็นปลากระป๋อง
สำหรับแนวทางการตลาดของผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ ”โรซ่า” ทั้ง 5 เซกเมนต์ จะชูคอนเซปต์ ”โรซ่า คุณค่าจากธรรมชาติ” เพื่อตอบรับกับกระแสสุขภาพที่มาแรง ภายใต้การใช้งบที่วางไว้ในปีที่ 70 ล้านบาทเท่ากับปีที่ผ่านมา โดยจะเน้นจำหน่ายผ่านช่องทางเทรดิชันนัลเทรด 60% และอีก 40% จะจำหน่ายผ่านโมเดิร์นเทรด
อย่างไรก็ตามการทำตลาดทั้ง 5 เซกเมนต์ จะเน้นสร้างความแตกต่างทั้งจากสินค้าคู่แข่งที่อยู่ในตลาด และเฮาส์แบรนด์ที่วางราคาถูกกว่า 20% สำหรับตัวซอสหอยนางรมบริษัทฯจะสร้างความต่าง ด้วยการเปิดสูตรผสมกระเทียม และซอสพริกไทยดำลงสู่ตลาด
ปัจจัยที่ทำให้บริษัทฯขยายไลน์สินค้าสู่ตลาดซอสหอยนางรม เนื่องจากเป็นตลาดที่เติบโตสูงที่สุดใน 5 เซกเมนต์ จากมูลค่าตลาดซอสปรุงรสรวม 4,000 ล้านบาท โดยปีนี้คาดว่าซอสหอยนางรมมูลค่า 1,000 ล้านบาท โต 15% ทั้งนี้เป็นเพราะผลพวงมาจากภาวะเศรษฐกิจที่หดตัวลง ส่งผลให้ผู้บริโภคทำอาหารทานในบ้านมากขึ้น และเทรนด์ในเรื่องของสุขภาพ ทำให้ผู้บริโภคมีความกังวลรับประทานอาหารนอกบ้าน สำหรับในตลาดซอสหอยผู้นำตลาดเป็นตราแม่ครัว มีส่วนแบ่ง 70%
ทั้งนี้เมื่อเทียบกับภาวะตลาดซอสพริก-มะเขือเทศมูลค่า 500 ล้านบาท ปีนี้มีอัตราการเติบโต 5% ซึ่งในตลาดนี้โรซ่าเป็นผู้นำตลาดครองส่วนแบ่ง 40% และไฮนซ์ 30% ส่วนตลาดซอสปรุงรสมูลค่า 1,000 ล้านบาท มีอัตราการเติบโต 8-10% และตลาดซีอิ้วมูลค่า 1,000 ล้านบาท มีอัตราการเติบโต 8-10%
ทุ่ม30ล.ปั้นโรซ่าเกิดตลาดผัดกาดดอง
นายสุวิทย์ กล่าวว่า หลังจากได้ลงทุนเครื่องจักร 20 ล้านบาทในปีที่ผ่านมา เพื่อขยายไลน์สินค้าผักกาดดองตราโรซ่าลงสู่ตลาด โดยเปิดตัวด้วยกัน 3 รสชาติ ได้แก่ ยำผักกาดดอง ผักกาดดองเผ็ดหวาน และผักกาดดองเค็ม เจาะกลุ่มเป้าหมายแม่บ้านทันสมัย และคนรุ่นใหม่มา 1 ปี ปรากฎว่าได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี เนื่องจากมีจุดเด่นที่แตกต่างจากคู่แข่ง คือ ตัวแพกเกจจิ้งในรูปแบบซอง มีความทันสมัย และปลอดภัย ซึ่งตลาดต่างประเทศอาหารสำเร็จรูปใช้บรรจุภัณฑ์ซองหมด ในขณะที่ประเทศไทยตลาดอาหารสำเร็จรูปส่วนใหญ่ยังเป็นบรรจุภัณฑ์กระป๋อง
ล่าสุดในช่วงครึ่งปีหลัง บริษัทฯได้ทุ่มงบ 30 ล้านบาท เปิดตัวผัดกาดดองโรซ่าอย่างเต็มรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นสื่อโฆษณาทางโทรทัศน์ การจัดบูธทดลองชิมตามโมเดิร์นเทรด 200 จุดในกรุงเทพฯและปริมณฑล เนื่องจากในตลาดนี้ผู้บริโภคมีความจงรักภักดีต่อตราสินค้าสูงมาก จึงต้องกระตุ้นให้เกิดการทดลองชิม อีกทั้งยังเป็นการแจ้งเกิดจากเต็มตัวในช่วงเทศกาลกินเจ ซึ่งตลาดผักกาดดองจะมีอัตราการเติบโตมากกว่าช่วงปกติเล็กน้อย
ทั้งนี้หลังจากรุกสร้างแบรนด์ผักกาดดองโรซ่าในปีนี้ คาดว่าจะมีส่วนแบ่งตลาด 10% ไล่เลี่ยกับผู้นำตลาดอันดับสองผักกาดดองตราห่านมีส่วนแบ่ง 10-15% โดยบริษัทตั้งเป้าจะขึ้นเป็นอันดับสองของตลาด ส่วนอันดับหนึ่ง คือ นกพิราบ 70%
สำหรับผลประกอบการปีนี้ บริษัทฯตั้งเป้าจะรักษารายได้ให้เท่ากับปีที่ผ่านมา คือ 2,000 ล้านบาท เนื่องจากในช่วงครึ่งปีแรกผลประกอบการมีเพียง 800 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นรายได้จากภายในประเทศ 1,500 ล้าน และจากต่างประเทศ 500 ล้านบาท