ปิยะศักดิ์ บุญคมรัตน์
กรรมการผู้จัดการ บริษัท ออเร็นทัล สปา จำกัด
ลี กวน ยู : รัฐบุรุษที่ยังมีชีวิต
หลายคนคงจำได้ว่าเมื่อ 2 เดือนก่อน ลี กวน ยู ได้กล่าวกับนักข่าวต่างประเทศว่า การเมืองของสิงคโปร์นั้น พัฒนาไปไกล และเขาได้เปรียบเทียบประเทศไทย และฟิลิปปินส์ ว่าการเมืองกำลังถอยหลังเข้าคลอง เพราะสื่อมีเสรีภาพมากเกินไป และล่าสุด ในบทความเรื่อง “Tribulations of Two Emerging Democracies” ที่ตีพิมพ์ในนิตยสารฟอร์บส์ ลี กวน ยู เปรียบเทียบการเมืองไทย กับอิรัก ว่ากำลังผ่านช่วงเวลาที่รุนแรงและยากลำบาก ทั้งยังมีอะไรต้องเรียนรู้อีกมาก เพื่อจะบรรลุถึงทางออกอย่างที่ฝันไว้ของทั้ง 2 ประเทศ
บุรุษผู้ซึ่งเปรียบเสมือนบิดาของประเทศที่เดิมเป็นเกาะเล็กๆ ยากจน และโดดเดี่ยว ภายหลังการแยกตัวเป็นเอกราชจากมาเลเซีย เมื่อ 41 ปีก่อน สิงคโปร์ภายใต้การนำของ ลี กวน ยู ผู้ที่มีประวัติการศึกษาอันดีเยี่ยม และเริ่มต้นจากการเป็นที่ปรึกษาด้านกฎหมายให้กับสหภาพแรงงานคอมมิวนิสต์ แต่หันกลับมาหาเทคโนโลยี และทุนนิยม ผู้ซึ่งทุ่มเทกับการศึกษา และพัฒนาคนจนทำให้สิงคโปร์ในวันนี้กลายเป็นประเทศที่ร่ำรวย และมีความสามารถในการแข่งขันเหนือกว่าทุกประเทศในยุโรป ทุกครั้งที่เขาพูด โลกก็จะหยุดฟังเสมอ
หากวิเคราะห์ให้ดีแล้ว ลี กวน ยู เป็นเหมือนการผสมผสานคุณลักษณะ และบุคลิกพิเศษของอดีตนายกรัฐมนตรีไทย 3 ท่าน คนแรกคือ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ในแง่มุมของความเด็ดขาด และมีวิสัยทัศน์กว้างไกล ขณะเดียวกัน ก็มีลักษณะของความเป็นเผด็จการแบบคณาธิปไตยอยู่ในตัว คนที่ 2 คือ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ในแง่มุมของการ เป็นนักปราชญ์ผู้รอบรู้ และมีวาทศิลป์อันเป็นเลิศ คนสุดท้าย คือ คุณอานันท์ ปัณยารชุน ตรงที่มีลักษณะของการเป็นผู้นำที่มีบารมี , ซื่อสัตย์ และเป็นที่ยอมรับในระดับสากล สำหรับคนสิงคโปร์แล้ว ลี กวน ยู นั้น เป็นยิ่งกว่ารัฐบุรุษ
เหรียญอีกด้านหนึ่งของสิงคโปร์
การมองสิงคโปร์ ในแง่ความสำเร็จทางด้านเศรษฐกิจเพียงด้านเดียวนั้น อาจจะเป็นการมองที่แคบเกินไป ยังมีคำถามตามมาว่าความสำเร็จที่ปรากฏอยู่นั้น จะยั่งยืนแค่ไหน ประเทศที่มีประชากร 4.5 ล้านคน และขนาดใกล้เคียงกับเกาะภูเก็ตแห่งนี้ มีรายได้หลักมาจากการค้าระหว่างประเทศ , ท่าเรือน้ำลึก และการกลั่นน้ำมัน ลองจินตนาการว่าจะเกิดอะไรขึ้น หากประเทศไทยมีการขุดคอคอดกระในวันข้างหน้า เศรษฐกิจสิงคโปร์จะล้มพับลงโดยไม่มีฐานใดรองรับ เพราะ ประเทศไร้ทรัพยากรธรรมชาติ แม้แต่การเพาะปลูกเพื่อเลี้ยงตัวเอง ก็ยังไม่สามารถจะทำได้
การที่พรรครัฐบาลคือ PAP บริหารประเทศต่อเนื่องยาวนานถึง 41 ปี โดยทายาทรุ่นที่ 2 ของตระกูลลี ในปัจจุบัน ก็ยังยืนยันแนวคิดที่ให้รัฐบาลเข้าไปเป็นเจ้าของธุรกิจเสียเอง ไม่ว่าจะเป็นสายการบิน, โทรคมนาคม, ขนส่ง, ธนาคาร, อู่ต่อเรือ, อิเล็กทรอนิกส์, บริษัทน้ำมัน และการเดินเรือ เป็นต้น รวมกันแล้วคิดเป็นสัดส่วนกว่า 60% ของธุรกิจทั้งหมดในสิงคโปร์ ที่รัฐบาลเป็นเจ้าของทำให้สิงคโปร์ขาดลัทธิของความเป็นผู้ประกอบการ มีกิจการธุรกิจมากมายของรัฐบาลที่มีปัญหาด้านต้นทุนสูง, ความไม่มีประสิทธิภาพ และผลประกอบการไม่ดีเท่าที่ควร
ในแง่สังคม การบังคับใช้กฎหมายที่เข้มงวด ทำให้ผู้คนหวาดกลัวที่จะกระทำผิด การควบคุมเสรีภาพสื่อทำให้การแสดงความคิดเห็นที่ตรงข้ามกับรัฐบาลนั้น เป็นสิ่งที่อันตราย ขณะเดียวกัน แม้รายได้เฉลี่ยต่อหัวของคนสิงคโปร์จะสูง แต่ก็ต้องแบกรับต้นทุนค่าครองชีพที่สูงตามไปด้วย เป็นเรื่องยากสำหรับชาวสิงคโปร์ ที่จะมีรถยนต์ และบ้านเป็นของตนเอง คนส่วนใหญ่ต้องอาศัยในอพาร์ตเมนต์เล็กๆ เพราะพื้นที่มีจำกัด ผลการสำรวจล่าสุดชี้ให้เห็นว่า คนสิงคโปร์ต้องการ ที่จะอพยพออกนอกประเทศเป็นการถาวรมากขึ้น โดยเฉพาะคนที่มีความรู้สูง
ความสำเร็จที่โดดเดี่ยว ของลี กวน ยู
ในชั่วอายุคนรุ่นเดียวเท่านั้น ที่คนสิงคโปร์ต้องร้องเพลงชาติมาแล้วถึง 3 ประเทศ คือ “ก็อด เซฟ เดอะ ควีน” ของอังกฤษ, “คิมิกาโย่” ของญี่ปุ่น และ “เนการา กู” ของมาเลเซีย ก่อนที่จะมีเพลงชาติเป็นของตัวเอง สิงคโปร์ไม่เคยมีวัฒนธรรมเป็นของตน ไม่มีภาษา, วรรณกรรม, เพลงพื้นบ้าน หรือสถาปัตยกรรมที่สร้างความภาคภูมิใจในความเป็นชาติได้เลย คนสิงคโปร์มักไม่มองย้อนกลับไปถึงอดีตที่เจ็บปวดในยุคที่เคยเป็นอาณานิคม และยากจนมาก่อน ทว่าจะภูมิใจกับความสำเร็จในปัจจุบัน และถวิลหาอนาคตที่รุ่งโรจน์ในวันข้างหน้า
มนุษย์ชอบสร้างอัตลักษณ์ให้คนจดจำได้ ลี กวน ยู ก็สร้างตัวเองให้ดูสูงส่ง และยิ่งใหญ่ โดยใช้คณาธิปไตยเป็นเครื่องมือ ทิ้งรัฐธรรมนูญและประชาธิปไตยให้เป็นเพียงสัญลักษณ์ การที่เขา ไม่ต้องเผชิญจุดจบอย่างมาร์กอส แห่งฟิลิปปินส์ และเชาเชสกู แห่งโรมาเนีย เพราะความซื่อสัตย์ และชาติที่เขาสร้างขึ้นมานั้นก็เติบโตอย่างยิ่งใหญ่ แต่บนความสำเร็จนั้น สิงคโปร์กลับถูกมองอย่างหวาดระแวงจากเพื่อนบ้าน ลี กวน ยู ก็คงไม่ต่างกับ โฮเวิร์ด ฮิวจ์ ในหนังเรื่อง The Aviator ที่พบว่าเมื่อตัวเองบินขึ้นมาได้สูงเพียงไร ในความรู้สึกยิ่งกลับอ้างว้าง และโดดเดี่ยวเหลือเกิน.
กรรมการผู้จัดการ บริษัท ออเร็นทัล สปา จำกัด
ลี กวน ยู : รัฐบุรุษที่ยังมีชีวิต
หลายคนคงจำได้ว่าเมื่อ 2 เดือนก่อน ลี กวน ยู ได้กล่าวกับนักข่าวต่างประเทศว่า การเมืองของสิงคโปร์นั้น พัฒนาไปไกล และเขาได้เปรียบเทียบประเทศไทย และฟิลิปปินส์ ว่าการเมืองกำลังถอยหลังเข้าคลอง เพราะสื่อมีเสรีภาพมากเกินไป และล่าสุด ในบทความเรื่อง “Tribulations of Two Emerging Democracies” ที่ตีพิมพ์ในนิตยสารฟอร์บส์ ลี กวน ยู เปรียบเทียบการเมืองไทย กับอิรัก ว่ากำลังผ่านช่วงเวลาที่รุนแรงและยากลำบาก ทั้งยังมีอะไรต้องเรียนรู้อีกมาก เพื่อจะบรรลุถึงทางออกอย่างที่ฝันไว้ของทั้ง 2 ประเทศ
บุรุษผู้ซึ่งเปรียบเสมือนบิดาของประเทศที่เดิมเป็นเกาะเล็กๆ ยากจน และโดดเดี่ยว ภายหลังการแยกตัวเป็นเอกราชจากมาเลเซีย เมื่อ 41 ปีก่อน สิงคโปร์ภายใต้การนำของ ลี กวน ยู ผู้ที่มีประวัติการศึกษาอันดีเยี่ยม และเริ่มต้นจากการเป็นที่ปรึกษาด้านกฎหมายให้กับสหภาพแรงงานคอมมิวนิสต์ แต่หันกลับมาหาเทคโนโลยี และทุนนิยม ผู้ซึ่งทุ่มเทกับการศึกษา และพัฒนาคนจนทำให้สิงคโปร์ในวันนี้กลายเป็นประเทศที่ร่ำรวย และมีความสามารถในการแข่งขันเหนือกว่าทุกประเทศในยุโรป ทุกครั้งที่เขาพูด โลกก็จะหยุดฟังเสมอ
หากวิเคราะห์ให้ดีแล้ว ลี กวน ยู เป็นเหมือนการผสมผสานคุณลักษณะ และบุคลิกพิเศษของอดีตนายกรัฐมนตรีไทย 3 ท่าน คนแรกคือ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ในแง่มุมของความเด็ดขาด และมีวิสัยทัศน์กว้างไกล ขณะเดียวกัน ก็มีลักษณะของความเป็นเผด็จการแบบคณาธิปไตยอยู่ในตัว คนที่ 2 คือ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ในแง่มุมของการ เป็นนักปราชญ์ผู้รอบรู้ และมีวาทศิลป์อันเป็นเลิศ คนสุดท้าย คือ คุณอานันท์ ปัณยารชุน ตรงที่มีลักษณะของการเป็นผู้นำที่มีบารมี , ซื่อสัตย์ และเป็นที่ยอมรับในระดับสากล สำหรับคนสิงคโปร์แล้ว ลี กวน ยู นั้น เป็นยิ่งกว่ารัฐบุรุษ
เหรียญอีกด้านหนึ่งของสิงคโปร์
การมองสิงคโปร์ ในแง่ความสำเร็จทางด้านเศรษฐกิจเพียงด้านเดียวนั้น อาจจะเป็นการมองที่แคบเกินไป ยังมีคำถามตามมาว่าความสำเร็จที่ปรากฏอยู่นั้น จะยั่งยืนแค่ไหน ประเทศที่มีประชากร 4.5 ล้านคน และขนาดใกล้เคียงกับเกาะภูเก็ตแห่งนี้ มีรายได้หลักมาจากการค้าระหว่างประเทศ , ท่าเรือน้ำลึก และการกลั่นน้ำมัน ลองจินตนาการว่าจะเกิดอะไรขึ้น หากประเทศไทยมีการขุดคอคอดกระในวันข้างหน้า เศรษฐกิจสิงคโปร์จะล้มพับลงโดยไม่มีฐานใดรองรับ เพราะ ประเทศไร้ทรัพยากรธรรมชาติ แม้แต่การเพาะปลูกเพื่อเลี้ยงตัวเอง ก็ยังไม่สามารถจะทำได้
การที่พรรครัฐบาลคือ PAP บริหารประเทศต่อเนื่องยาวนานถึง 41 ปี โดยทายาทรุ่นที่ 2 ของตระกูลลี ในปัจจุบัน ก็ยังยืนยันแนวคิดที่ให้รัฐบาลเข้าไปเป็นเจ้าของธุรกิจเสียเอง ไม่ว่าจะเป็นสายการบิน, โทรคมนาคม, ขนส่ง, ธนาคาร, อู่ต่อเรือ, อิเล็กทรอนิกส์, บริษัทน้ำมัน และการเดินเรือ เป็นต้น รวมกันแล้วคิดเป็นสัดส่วนกว่า 60% ของธุรกิจทั้งหมดในสิงคโปร์ ที่รัฐบาลเป็นเจ้าของทำให้สิงคโปร์ขาดลัทธิของความเป็นผู้ประกอบการ มีกิจการธุรกิจมากมายของรัฐบาลที่มีปัญหาด้านต้นทุนสูง, ความไม่มีประสิทธิภาพ และผลประกอบการไม่ดีเท่าที่ควร
ในแง่สังคม การบังคับใช้กฎหมายที่เข้มงวด ทำให้ผู้คนหวาดกลัวที่จะกระทำผิด การควบคุมเสรีภาพสื่อทำให้การแสดงความคิดเห็นที่ตรงข้ามกับรัฐบาลนั้น เป็นสิ่งที่อันตราย ขณะเดียวกัน แม้รายได้เฉลี่ยต่อหัวของคนสิงคโปร์จะสูง แต่ก็ต้องแบกรับต้นทุนค่าครองชีพที่สูงตามไปด้วย เป็นเรื่องยากสำหรับชาวสิงคโปร์ ที่จะมีรถยนต์ และบ้านเป็นของตนเอง คนส่วนใหญ่ต้องอาศัยในอพาร์ตเมนต์เล็กๆ เพราะพื้นที่มีจำกัด ผลการสำรวจล่าสุดชี้ให้เห็นว่า คนสิงคโปร์ต้องการ ที่จะอพยพออกนอกประเทศเป็นการถาวรมากขึ้น โดยเฉพาะคนที่มีความรู้สูง
ความสำเร็จที่โดดเดี่ยว ของลี กวน ยู
ในชั่วอายุคนรุ่นเดียวเท่านั้น ที่คนสิงคโปร์ต้องร้องเพลงชาติมาแล้วถึง 3 ประเทศ คือ “ก็อด เซฟ เดอะ ควีน” ของอังกฤษ, “คิมิกาโย่” ของญี่ปุ่น และ “เนการา กู” ของมาเลเซีย ก่อนที่จะมีเพลงชาติเป็นของตัวเอง สิงคโปร์ไม่เคยมีวัฒนธรรมเป็นของตน ไม่มีภาษา, วรรณกรรม, เพลงพื้นบ้าน หรือสถาปัตยกรรมที่สร้างความภาคภูมิใจในความเป็นชาติได้เลย คนสิงคโปร์มักไม่มองย้อนกลับไปถึงอดีตที่เจ็บปวดในยุคที่เคยเป็นอาณานิคม และยากจนมาก่อน ทว่าจะภูมิใจกับความสำเร็จในปัจจุบัน และถวิลหาอนาคตที่รุ่งโรจน์ในวันข้างหน้า
มนุษย์ชอบสร้างอัตลักษณ์ให้คนจดจำได้ ลี กวน ยู ก็สร้างตัวเองให้ดูสูงส่ง และยิ่งใหญ่ โดยใช้คณาธิปไตยเป็นเครื่องมือ ทิ้งรัฐธรรมนูญและประชาธิปไตยให้เป็นเพียงสัญลักษณ์ การที่เขา ไม่ต้องเผชิญจุดจบอย่างมาร์กอส แห่งฟิลิปปินส์ และเชาเชสกู แห่งโรมาเนีย เพราะความซื่อสัตย์ และชาติที่เขาสร้างขึ้นมานั้นก็เติบโตอย่างยิ่งใหญ่ แต่บนความสำเร็จนั้น สิงคโปร์กลับถูกมองอย่างหวาดระแวงจากเพื่อนบ้าน ลี กวน ยู ก็คงไม่ต่างกับ โฮเวิร์ด ฮิวจ์ ในหนังเรื่อง The Aviator ที่พบว่าเมื่อตัวเองบินขึ้นมาได้สูงเพียงไร ในความรู้สึกยิ่งกลับอ้างว้าง และโดดเดี่ยวเหลือเกิน.