พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 นักปราชญ์แห่งแผ่นดิน ทรงพร่ำสอนว่า องค์คุณอันประเสริฐ 3 ประการ อันเป็นองค์ประกอบแห่งรัฐ คือ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ได้รับการเชิดชูยกขึ้นเป็นพิเศษ และพร้อมทั้งได้เปลี่ยนธงชาติจากธงแดงรูปช้างสีขาวเป็นธงไตรรงค์ พร้อมทั้งให้พิจารณาแนวคิด ปัญญาอันยิ่ง เพื่อความมั่นคงของชาติ ดังนี้
1. กฎธรรมชาติ นั่นดำรงอยู่บนความสัมพันธ์ระหว่างด้านลักษณะทั่วไป (General Law) และ ด้านลักษณะเฉพาะ (Individual law)
2. ลักษณะทั่วไป คือ ลักษณะที่แผ่กระจายครอบงำ โอบอุ้มส่วนย่อยทั้งหมด หรือ ลักษณะเฉพาะที่มีความแตกต่างหลากหลายที่สัมพันธ์เกี่ยวพันกันทั้งหมด
3. ลักษณะเฉพาะ คือ ส่วนย่อย ที่มีความแตกต่างหลากหลาย
4. อสังขตธรรม เป็นลักษณะทั่วไปของกฎธรรมชาติ เพราะอยู่เหนือกฎไตรลักษณ์ ส่วน สังขตธรรม เป็นลักษณะเฉพาะของกฎธรรมชาติ ได้แก่ธาตุต่างๆ สิ่งไม่มีชีวิต และสิ่งมีชีวิตทั้งพืชและสัตว์ทั้งมวล เป็นด้านลักษณะเฉพาะ และตกอยู่ใต้กฎไตรลักษณ์ (อนิจจตา ทุกขตา อนัตตตา)
อีกนัยหนึ่ง บรมธรรม, นิพพาน, ธรรมาธิปไตย เป็นลักษณะทั่วไป และพ้นจากกฎไตรลักษณ์ ส่วน ขันธ์ 5 เป็นลักษณะจำเพาะ และอีกความสัมพันธ์หนึ่ง นิพพาน เป็นลักษณะทั่วไป ส่วนการปรุงแต่งจิต เป็นกุศล และอกุศล เป็นลักษณะเฉพาะ และตกอยู่ใต้กฎไตรลักษณ์
5. ดวงอาทิตย์ เป็นลักษณะทั่วไป ส่วน ดาวเคราะห์ เป็นลักษณะเฉพาะ
ในอีกมิติหนึ่ง ถ้าลักษณะทั่วไปเป็นธรรม ลักษณะเฉพาะ ก็จะพลอยเป็นธรรมไปด้วย เช่น เมื่อใจบริสุทธิ์ การคิด, การพูด, การกระทำ ก็จะดีไปด้วย หรือ ถ้าดวงอาทิตย์ดำรงอยู่ได้ ดาวเคราะห์ทั้งมวลก็ยังดำรงอยู่ได้
6. ถ้าลักษณะทั่วไปเลว ลักษณะเฉพาะหรือส่วนย่อยที่ประกอบกันขึ้นก็จะเลว ย่ำแย่ตามไปด้วย เช่น ถ้ากิเลสครอบงำจิต การคิด การพูด การกระทำ ก็จะเป็นไปตามอำนาจกิเลส
จากนั้นนำกฎธรรมชาติไปประยุกต์ใช้ทางการเมือง การปกครอง เศรษฐกิจ สังคม ฯลฯ
7. ประเทศชาติ เป็นลักษณะทั่วไป และเป็นด้านเอกภาพ ส่วน ประชาชนเป็นลักษณะเฉพาะ ที่มีความแตกต่างหลากหลาย ประชาชนในชาติ จะต้องขึ้นต่อชาติเสมอไป และเมื่อประชาชนบางส่วนคิดจะแยกประเทศ แสดงให้เห็นว่าระบอบการปกครอง และรัฐบาลมีปัญหาอย่างแน่นอน
8. พระรัตนตรัย เป็นลักษณะทั่วไป และเป็นด้านเอกภาพ เป็นศูนย์กลาง เป็นจุดมุ่งหมายสูงสุดทางใจของชาวพุทธแท้ทั้งมวล ส่วนพุทธศาสนิกชน เป็นลักษณะเฉพาะ อันแตกต่างหลากหลาย เป็นปัจจัยให้เกิดดุลยภาพตามกฎธรรมชาติดำรงอยู่ได้สองพันกว่าปีแล้ว
9. พระมหากษัตริย์ ประมุขแห่งชาติ เป็นลักษณะทั่วไป ทรงแผ่โอบอุ้มพสกนิกรทั้งมวล ส่วนพสกนิกรเป็นลักษณะเฉพาะ เพราะมีความแตกต่างหลากหลาย ต่างมีจุดหมายมุ่งตรงต่อองค์พระมหากษัตริย์ แต่ถ้าพระมหากษัตริย์องค์ใด ขาดปัญญาและเมตตาบารมี ก็จะอ่อนแอ
ทั้ง 9 มิติที่กล่าวมานี้มีความสัมพันธ์ตามกฎธรรมชาติ เป็นหนึ่งเดียวกับกฎธรรมชาติ มีลักษณะพระธรรมจักร (ลักษณะแผ่กระจาย กับรวมศูนย์ เป็นปัจจัยให้เกิดดุลยภาพ ตั้งอยู่ได้อย่างยั่งยืน
10.ระบอบการเมือง (หลักการปกครอง) เป็นลักษณะทั่วไป แผ่ความเป็นธรรม ความเสมอภาคทางโอกาส สู่ปวงชนทั้งแผ่นดิน ประชาชนเป็นลักษณะเฉพาะอันแตกต่างหลากหลายก็ต้องขึ้นต่อระบอบการเมืองอย่างเสมอหน้ากัน แต่...
ประเทศไทยนับแต่การเปลี่ยนแปลง 2475 เป็นต้นมา มีรัฐประหาร 14 ครั้ง กบฏ 12 ครั้งเกิดสงครามก่อการร้าย และสงครามกลางเมืองโดยพรรคคอมมิวนิสต์ และใช้รัฐธรรมนูญมากถึง 16 ฉบับ เป็นเวลายาวนานถึง 74 ปีแล้ว แต่ยังไม่เคยมี หลักการปกครอง (ลักษณะทั่วไป) และในรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันมีแต่เพียง วิธีการปกครองถึง 336 มาตรา (ลักษณะเฉพาะ) อันเป็นด้านความแตกต่างหลากหลาย เท่านั้น จึงมีลักษณะสับสนดังรูป
รัฐบาลใดก็ตามที่เข้ามาตามระบอบนี้ จะต้องเสียคน บริหารประเทศล้มเหลว และต่างก็ทำลายหักล้างกันเอง ต่างชาติเขาก็ได้แต่หัวเราะ ขำกลิ้ง เห็นความโง่เขลาเบาปัญญาของผู้ปกครองไทย
อีกนัยหนึ่ง เมื่อระบอบปัจจุบันนี้เมื่อไม่มีหลักการปกครองอันเป็นด้านลักษณะทั่วไป มีแต่ด้านวิธีการปกครอง อุปมา วัวไม่มีหลัก วัวเพียงตัวหรือสองตัวถ้าไม่มีหลักผูกก็สับสนแล้ว นี้ตั้ง 336 มาตรา จะสับสนขนาดไหน สาธุชนต่างก็ประจักษ์ดีอยู่แล้ว
เมื่อมีคุณทักษิณ เข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรี (หรือใครก็ตาม) คุณทักษิณ ก็จะกลายเป็นลักษณะทั่วไป หรือกลายเป็นหลักการของระบอบปัจจุบัน จึงได้เรียกขานว่า “ระบอบทักษิณ” และคุณทักษิณเองไม่ใช่ตัวธรรมะ และไม่ได้เป็นองค์ประกอบของรัฐ แต่ได้สำแดงความเป็นองค์ประกอบของรัฐ คุณทักษิณจึงใหญ่กว่าใครทั้งหมดในแผ่นดินนี้
ส่วนสถาบันหลักแห่งชาติ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ กลายเป็นลักษณะเฉพาะของคุณทักษิณอย่างเป็นไปเอง ทั้งๆ ที่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เป็นเพียงลักษณะเฉพาะ ร่วมกับฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายตุลาการ จึงเป็นเหตุให้คุณทักษิณ ลืมตัวและยืนอยู่ผิดหลัก ผิดที่ ผิดทางสับสนไปหมด มันจึงเกิดปัญหาต่างๆ ขึ้นอย่างมากมาย และได้กล่าววาจาอันลามกที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทยว่า “...วันนี้องค์กรนอกรัฐธรรมนูญ คือบุคคลดูเหมือนมีบารมีนอกรัฐธรรมนูญเข้ามาวุ่นวายองค์กรที่มีในระบบรัฐธรรมนูญมากไปมีการไม่เคารพกติกา...” และ “ผมจะรักษาประชาธิปไตยด้วยชีวิต” (ทั้งๆ ที่คุณทักษิณกำลังรักษาระบอบเผด็จการด้วยชีวิต) ต่อปัญหานี้จึงเป็นการยากที่สุด ที่จะสู้กับคุณทักษิณ และพรรคไทยรักไทย (หรือพรรคใดๆ ใครอื่นก็ตามที่ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี) ทั้งนี้เพราะการร่างรัฐธรรมนูญ เพื่อสร้างระบอบของ ขบวนการลัทธิรัฐธรรมนูญ จึงเป็นวิธีการมิจฉาทิฐิที่ได้ทำลายองค์ประกอบของรัฐให้พินาศอย่างแยบยลที่สุด เพื่อไปสู่การปกครองแบบสาธารณะรัฐ (Republic) ของพวกตัวเป็นไทย แต่ใจเป็นRepublic และอยากมีสามัญชนเป็นประมุขในอนาคต
เราก็รู้ทันพวกนี้ทุกทีไป เพียงแต่ยังไม่มีคณะบุคคลที่เข้าใจจริงอย่างกว้างขวางและจัดการให้ถูกต้องโดยธรรม ทั้งนี้เพราะผู้คนในประเทศนี้ไม่รู้จักคิด ไม่รู้จักวิจัย มักจะเป็นคนเชื่อง่าย และเชื่อตามๆ กันมาอย่างไม่ได้ไตร่ตรอง และติดยึดในสิ่งที่ผิดๆ ในมิจฉาทิฐิว่าถูกต้อง จนยากที่จะแก้ไข พวกเราคนไทยจึงล้าหลัง และมีการเมืองของชาติไว้เพื่อให้ผู้เห็นแก่ตัวตักตวงทรัพย์สมบัติแห่งชาติไปเป็นของตนและคณะพรรค จนคนไทยทุกวันนี้บางกลุ่ม บางเหล่าโง่เขลาเบาปัญญายิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉาน “ไม่มีลิง วัว ควาย ฯลฯ ยอมรับเสือเป็นจ่าฝูง” คิดดูเอาก็แล้วกัน ไม่ได้พูดเกินเลย
นัยที่ถูกต้อง ระบอบการปกครองที่ถูกต้องโดยธรรม จะต้องมีการสถาปนาหลักการปกครองโดยธรรม โดยยกสถาบันหลักแห่งชาติ คือ ชาติ (อำนาจอธิปไตยของปวงชน) ศาสนา (ธรรมาธิปไตย) พระมหากษัตริย์ เชิดชูขึ้นเป็นหลักการปกครองร่วมกับหลักธรรมอื่นๆ (ธรรมาธิปไตย 9) และเป็นกฎหมายความมั่นคงของชาติ (Supreme Law) อันเป็นด้านลักษณะทั่วไป หรือเป็นด้านความสัมพันธ์หลัก หรือเป็นด้านจุดมุ่งหมาย และเป็นด้านเอกภาพของปวงชน (คือประชาชนไทยทุกคน) เมื่อหลักการปกครองโดยธรรมแล้ว จากนั้นจึงยกร่างรัฐธรรมนูญ (Principle law) ได้แก่หมวด และมาตราต่างๆ อันเป็นด้านความสัมพันธ์รอง และเป็นลักษณะเฉพาะอันแตกต่างหลากหลายหมวดและมาตรา ตามลักษณะพิเศษและความจำเป็นของประเทศ โดยที่หมวดและมาตราต่างๆ จะต้องสอดคล้อง และขึ้นต่อหลักการปกครอง ก็จะได้ระบอบการเมืองโดยธรรมตามกฎธรรมชาติซึ่งมีลักษณะพระธรรมจักร ดังรูป
11. รัฐบาลเป็นผู้ดำเนินการและใช้กฎหมายภายใต้กรอบของรัฐธรรมนูญ มิจฉาทิฐิ ปัจจุบันนี้ จึงนำไปสู่ความอ่อนแอ และขัดแย้งต่างๆ เช่น กับประชาชน, สถาบันพระมหากษัตริย์, สถาบันสงฆ์ สถาบันครู ข้าราชการ รัฐวิสาหกิจ และความเลวร้ายปลีกย่อยต่างๆ ในแผ่นดิน
ประชาชนไม่ยอมรับการปกครองจากรัฐบาล และรัฐบาลก็ไม่สามารถปกครองประชาชนได้ แต่ยังดันทุรัง แสดงให้เห็นเด่นชัดขึ้นทุกวันๆ ผู้ปกครองไทยยังขาดปัญญาโดยธรรม และกลับยึดมั่นถือมั่นในระบอบการเมืองรวมศูนย์ (เผด็จการระบบรัฐสภา) การปกครองก็รวมศูนย์ จึงก่อให้เกิดปัญหา ที่ยากจะแก้ไข นี่คือเหตุแห่งปัญหา ปมเงื่อนเงื่อนของความเลวร้ายทั้งปวงในชาติ
12. ระบอบการเมืองโดยธรรม (ธรรมาธิปไตย 9) จะเป็นศูนย์กลางและเอกภาพและเป็นลักษณะทั่วไป ที่ถูกต้องคือจะแผ่ความเป็นธรรมสู่ปวงชนอย่างยุติธรรมเสมอภาค ส่วนการปกครอง นั้นจะต้องรวมศูนย์ เมื่อระบอบการเมืองแผ่กระจาย การปกครองรวมศูนย์ ก็จะดำรงอย่างดุลยภาพ
อีกอย่างหนึ่ง ระบอบการเมืองต้องแผ่กระจายอำนาจอธิปไตยของปวงชน แต่เขากลับทำให้รวมศูนย์ ส่วนการปกครองต้องรวมศูนย์ เขากลับมากระจาย เช่น การปกครองส่วนท้องถิ่น มีรูปธรรม คือจัดให้เลือกนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด และจะเลือกผู้ว่าราชการจังหวัดต่อไป คือพยายามที่จะให้มีการแยกตัวจากการปกครองส่วนกลาง จะก่อให้เกิดปัญหาวิกฤตตามมา เช่นปัญหา 3 จังหวัดชายแดนใต้ มันผิดธรรม ผิดกฎธรรมชาติ ผิดไปจากสามัญสำนึกที่ถูกต้อง
การปกครองส่วนท้องถิ่นโดยธรรม จะต้องกึ่งรวมศูนย์กึ่งกระจาย กึ่งรวมศูนย์เพราะว่าต้องขึ้นต่ออำนาจส่วนกลาง และกึ่งกระจายเพื่อให้เกิดความรวดเร็วและสอดคล้องกับความต้องการของท้องถิ่นนั้นๆ
ระบอบการเมืองเป็นลักษณะทั่วไป จะต้องเป็นสิ่งที่ดีงาม เป็นศูนย์กลางของปวงชน แต่เมื่อเราสร้างระบอบการเมืองขึ้นมาอย่างมิจฉาทิฐิ การแก้ปัญหาที่ปลายเหตุนอกจากจะแก้ปัญหาไม่ได้แล้ว จะเสียเวลาและสูญเปล่า ยิ่งทำให้ปัญหาลักษณะเฉพาะขยายตัวมากยิ่งขึ้น และจะนำไปสู่ความขัดแย้งที่แก้ไขยาก หรือสงครามกลางเมือง อย่าได้ประมาท แม้คุณทักษิณ จะออกไปแล้ว ก็ใช่จะแก้ปัญหาเหตุวิกฤตให้ตกไปได้ ยกเว้น
มีทางเดียวอันศักดิ์สิทธิ์ คือ พสกนิกรผู้จงรักภักดีทั้งหลายรวมใจกันเป็นหนึ่งเชิดชูธรรมาธิปไตย จะเป็นปัจจัยให้ในหลวงทรงสถาปนาการปกครองแบบธรรมาธิปไตย สู่อารยธรรมใหม่แก้ไขเหตุวิกฤตชาติและโลกต่อไป (บทความนี้ไม่มีค่าอันใดเลยสำหรับผู้มืดบอด แต่จะมีค่ายิ่งใหญ่ต่ออริยชน)
1. กฎธรรมชาติ นั่นดำรงอยู่บนความสัมพันธ์ระหว่างด้านลักษณะทั่วไป (General Law) และ ด้านลักษณะเฉพาะ (Individual law)
2. ลักษณะทั่วไป คือ ลักษณะที่แผ่กระจายครอบงำ โอบอุ้มส่วนย่อยทั้งหมด หรือ ลักษณะเฉพาะที่มีความแตกต่างหลากหลายที่สัมพันธ์เกี่ยวพันกันทั้งหมด
3. ลักษณะเฉพาะ คือ ส่วนย่อย ที่มีความแตกต่างหลากหลาย
4. อสังขตธรรม เป็นลักษณะทั่วไปของกฎธรรมชาติ เพราะอยู่เหนือกฎไตรลักษณ์ ส่วน สังขตธรรม เป็นลักษณะเฉพาะของกฎธรรมชาติ ได้แก่ธาตุต่างๆ สิ่งไม่มีชีวิต และสิ่งมีชีวิตทั้งพืชและสัตว์ทั้งมวล เป็นด้านลักษณะเฉพาะ และตกอยู่ใต้กฎไตรลักษณ์ (อนิจจตา ทุกขตา อนัตตตา)
อีกนัยหนึ่ง บรมธรรม, นิพพาน, ธรรมาธิปไตย เป็นลักษณะทั่วไป และพ้นจากกฎไตรลักษณ์ ส่วน ขันธ์ 5 เป็นลักษณะจำเพาะ และอีกความสัมพันธ์หนึ่ง นิพพาน เป็นลักษณะทั่วไป ส่วนการปรุงแต่งจิต เป็นกุศล และอกุศล เป็นลักษณะเฉพาะ และตกอยู่ใต้กฎไตรลักษณ์
5. ดวงอาทิตย์ เป็นลักษณะทั่วไป ส่วน ดาวเคราะห์ เป็นลักษณะเฉพาะ
ในอีกมิติหนึ่ง ถ้าลักษณะทั่วไปเป็นธรรม ลักษณะเฉพาะ ก็จะพลอยเป็นธรรมไปด้วย เช่น เมื่อใจบริสุทธิ์ การคิด, การพูด, การกระทำ ก็จะดีไปด้วย หรือ ถ้าดวงอาทิตย์ดำรงอยู่ได้ ดาวเคราะห์ทั้งมวลก็ยังดำรงอยู่ได้
6. ถ้าลักษณะทั่วไปเลว ลักษณะเฉพาะหรือส่วนย่อยที่ประกอบกันขึ้นก็จะเลว ย่ำแย่ตามไปด้วย เช่น ถ้ากิเลสครอบงำจิต การคิด การพูด การกระทำ ก็จะเป็นไปตามอำนาจกิเลส
จากนั้นนำกฎธรรมชาติไปประยุกต์ใช้ทางการเมือง การปกครอง เศรษฐกิจ สังคม ฯลฯ
7. ประเทศชาติ เป็นลักษณะทั่วไป และเป็นด้านเอกภาพ ส่วน ประชาชนเป็นลักษณะเฉพาะ ที่มีความแตกต่างหลากหลาย ประชาชนในชาติ จะต้องขึ้นต่อชาติเสมอไป และเมื่อประชาชนบางส่วนคิดจะแยกประเทศ แสดงให้เห็นว่าระบอบการปกครอง และรัฐบาลมีปัญหาอย่างแน่นอน
8. พระรัตนตรัย เป็นลักษณะทั่วไป และเป็นด้านเอกภาพ เป็นศูนย์กลาง เป็นจุดมุ่งหมายสูงสุดทางใจของชาวพุทธแท้ทั้งมวล ส่วนพุทธศาสนิกชน เป็นลักษณะเฉพาะ อันแตกต่างหลากหลาย เป็นปัจจัยให้เกิดดุลยภาพตามกฎธรรมชาติดำรงอยู่ได้สองพันกว่าปีแล้ว
9. พระมหากษัตริย์ ประมุขแห่งชาติ เป็นลักษณะทั่วไป ทรงแผ่โอบอุ้มพสกนิกรทั้งมวล ส่วนพสกนิกรเป็นลักษณะเฉพาะ เพราะมีความแตกต่างหลากหลาย ต่างมีจุดหมายมุ่งตรงต่อองค์พระมหากษัตริย์ แต่ถ้าพระมหากษัตริย์องค์ใด ขาดปัญญาและเมตตาบารมี ก็จะอ่อนแอ
ทั้ง 9 มิติที่กล่าวมานี้มีความสัมพันธ์ตามกฎธรรมชาติ เป็นหนึ่งเดียวกับกฎธรรมชาติ มีลักษณะพระธรรมจักร (ลักษณะแผ่กระจาย กับรวมศูนย์ เป็นปัจจัยให้เกิดดุลยภาพ ตั้งอยู่ได้อย่างยั่งยืน
10.ระบอบการเมือง (หลักการปกครอง) เป็นลักษณะทั่วไป แผ่ความเป็นธรรม ความเสมอภาคทางโอกาส สู่ปวงชนทั้งแผ่นดิน ประชาชนเป็นลักษณะเฉพาะอันแตกต่างหลากหลายก็ต้องขึ้นต่อระบอบการเมืองอย่างเสมอหน้ากัน แต่...
ประเทศไทยนับแต่การเปลี่ยนแปลง 2475 เป็นต้นมา มีรัฐประหาร 14 ครั้ง กบฏ 12 ครั้งเกิดสงครามก่อการร้าย และสงครามกลางเมืองโดยพรรคคอมมิวนิสต์ และใช้รัฐธรรมนูญมากถึง 16 ฉบับ เป็นเวลายาวนานถึง 74 ปีแล้ว แต่ยังไม่เคยมี หลักการปกครอง (ลักษณะทั่วไป) และในรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันมีแต่เพียง วิธีการปกครองถึง 336 มาตรา (ลักษณะเฉพาะ) อันเป็นด้านความแตกต่างหลากหลาย เท่านั้น จึงมีลักษณะสับสนดังรูป
รัฐบาลใดก็ตามที่เข้ามาตามระบอบนี้ จะต้องเสียคน บริหารประเทศล้มเหลว และต่างก็ทำลายหักล้างกันเอง ต่างชาติเขาก็ได้แต่หัวเราะ ขำกลิ้ง เห็นความโง่เขลาเบาปัญญาของผู้ปกครองไทย
อีกนัยหนึ่ง เมื่อระบอบปัจจุบันนี้เมื่อไม่มีหลักการปกครองอันเป็นด้านลักษณะทั่วไป มีแต่ด้านวิธีการปกครอง อุปมา วัวไม่มีหลัก วัวเพียงตัวหรือสองตัวถ้าไม่มีหลักผูกก็สับสนแล้ว นี้ตั้ง 336 มาตรา จะสับสนขนาดไหน สาธุชนต่างก็ประจักษ์ดีอยู่แล้ว
เมื่อมีคุณทักษิณ เข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรี (หรือใครก็ตาม) คุณทักษิณ ก็จะกลายเป็นลักษณะทั่วไป หรือกลายเป็นหลักการของระบอบปัจจุบัน จึงได้เรียกขานว่า “ระบอบทักษิณ” และคุณทักษิณเองไม่ใช่ตัวธรรมะ และไม่ได้เป็นองค์ประกอบของรัฐ แต่ได้สำแดงความเป็นองค์ประกอบของรัฐ คุณทักษิณจึงใหญ่กว่าใครทั้งหมดในแผ่นดินนี้
ส่วนสถาบันหลักแห่งชาติ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ กลายเป็นลักษณะเฉพาะของคุณทักษิณอย่างเป็นไปเอง ทั้งๆ ที่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เป็นเพียงลักษณะเฉพาะ ร่วมกับฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายตุลาการ จึงเป็นเหตุให้คุณทักษิณ ลืมตัวและยืนอยู่ผิดหลัก ผิดที่ ผิดทางสับสนไปหมด มันจึงเกิดปัญหาต่างๆ ขึ้นอย่างมากมาย และได้กล่าววาจาอันลามกที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทยว่า “...วันนี้องค์กรนอกรัฐธรรมนูญ คือบุคคลดูเหมือนมีบารมีนอกรัฐธรรมนูญเข้ามาวุ่นวายองค์กรที่มีในระบบรัฐธรรมนูญมากไปมีการไม่เคารพกติกา...” และ “ผมจะรักษาประชาธิปไตยด้วยชีวิต” (ทั้งๆ ที่คุณทักษิณกำลังรักษาระบอบเผด็จการด้วยชีวิต) ต่อปัญหานี้จึงเป็นการยากที่สุด ที่จะสู้กับคุณทักษิณ และพรรคไทยรักไทย (หรือพรรคใดๆ ใครอื่นก็ตามที่ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี) ทั้งนี้เพราะการร่างรัฐธรรมนูญ เพื่อสร้างระบอบของ ขบวนการลัทธิรัฐธรรมนูญ จึงเป็นวิธีการมิจฉาทิฐิที่ได้ทำลายองค์ประกอบของรัฐให้พินาศอย่างแยบยลที่สุด เพื่อไปสู่การปกครองแบบสาธารณะรัฐ (Republic) ของพวกตัวเป็นไทย แต่ใจเป็นRepublic และอยากมีสามัญชนเป็นประมุขในอนาคต
เราก็รู้ทันพวกนี้ทุกทีไป เพียงแต่ยังไม่มีคณะบุคคลที่เข้าใจจริงอย่างกว้างขวางและจัดการให้ถูกต้องโดยธรรม ทั้งนี้เพราะผู้คนในประเทศนี้ไม่รู้จักคิด ไม่รู้จักวิจัย มักจะเป็นคนเชื่อง่าย และเชื่อตามๆ กันมาอย่างไม่ได้ไตร่ตรอง และติดยึดในสิ่งที่ผิดๆ ในมิจฉาทิฐิว่าถูกต้อง จนยากที่จะแก้ไข พวกเราคนไทยจึงล้าหลัง และมีการเมืองของชาติไว้เพื่อให้ผู้เห็นแก่ตัวตักตวงทรัพย์สมบัติแห่งชาติไปเป็นของตนและคณะพรรค จนคนไทยทุกวันนี้บางกลุ่ม บางเหล่าโง่เขลาเบาปัญญายิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉาน “ไม่มีลิง วัว ควาย ฯลฯ ยอมรับเสือเป็นจ่าฝูง” คิดดูเอาก็แล้วกัน ไม่ได้พูดเกินเลย
นัยที่ถูกต้อง ระบอบการปกครองที่ถูกต้องโดยธรรม จะต้องมีการสถาปนาหลักการปกครองโดยธรรม โดยยกสถาบันหลักแห่งชาติ คือ ชาติ (อำนาจอธิปไตยของปวงชน) ศาสนา (ธรรมาธิปไตย) พระมหากษัตริย์ เชิดชูขึ้นเป็นหลักการปกครองร่วมกับหลักธรรมอื่นๆ (ธรรมาธิปไตย 9) และเป็นกฎหมายความมั่นคงของชาติ (Supreme Law) อันเป็นด้านลักษณะทั่วไป หรือเป็นด้านความสัมพันธ์หลัก หรือเป็นด้านจุดมุ่งหมาย และเป็นด้านเอกภาพของปวงชน (คือประชาชนไทยทุกคน) เมื่อหลักการปกครองโดยธรรมแล้ว จากนั้นจึงยกร่างรัฐธรรมนูญ (Principle law) ได้แก่หมวด และมาตราต่างๆ อันเป็นด้านความสัมพันธ์รอง และเป็นลักษณะเฉพาะอันแตกต่างหลากหลายหมวดและมาตรา ตามลักษณะพิเศษและความจำเป็นของประเทศ โดยที่หมวดและมาตราต่างๆ จะต้องสอดคล้อง และขึ้นต่อหลักการปกครอง ก็จะได้ระบอบการเมืองโดยธรรมตามกฎธรรมชาติซึ่งมีลักษณะพระธรรมจักร ดังรูป
11. รัฐบาลเป็นผู้ดำเนินการและใช้กฎหมายภายใต้กรอบของรัฐธรรมนูญ มิจฉาทิฐิ ปัจจุบันนี้ จึงนำไปสู่ความอ่อนแอ และขัดแย้งต่างๆ เช่น กับประชาชน, สถาบันพระมหากษัตริย์, สถาบันสงฆ์ สถาบันครู ข้าราชการ รัฐวิสาหกิจ และความเลวร้ายปลีกย่อยต่างๆ ในแผ่นดิน
ประชาชนไม่ยอมรับการปกครองจากรัฐบาล และรัฐบาลก็ไม่สามารถปกครองประชาชนได้ แต่ยังดันทุรัง แสดงให้เห็นเด่นชัดขึ้นทุกวันๆ ผู้ปกครองไทยยังขาดปัญญาโดยธรรม และกลับยึดมั่นถือมั่นในระบอบการเมืองรวมศูนย์ (เผด็จการระบบรัฐสภา) การปกครองก็รวมศูนย์ จึงก่อให้เกิดปัญหา ที่ยากจะแก้ไข นี่คือเหตุแห่งปัญหา ปมเงื่อนเงื่อนของความเลวร้ายทั้งปวงในชาติ
12. ระบอบการเมืองโดยธรรม (ธรรมาธิปไตย 9) จะเป็นศูนย์กลางและเอกภาพและเป็นลักษณะทั่วไป ที่ถูกต้องคือจะแผ่ความเป็นธรรมสู่ปวงชนอย่างยุติธรรมเสมอภาค ส่วนการปกครอง นั้นจะต้องรวมศูนย์ เมื่อระบอบการเมืองแผ่กระจาย การปกครองรวมศูนย์ ก็จะดำรงอย่างดุลยภาพ
อีกอย่างหนึ่ง ระบอบการเมืองต้องแผ่กระจายอำนาจอธิปไตยของปวงชน แต่เขากลับทำให้รวมศูนย์ ส่วนการปกครองต้องรวมศูนย์ เขากลับมากระจาย เช่น การปกครองส่วนท้องถิ่น มีรูปธรรม คือจัดให้เลือกนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด และจะเลือกผู้ว่าราชการจังหวัดต่อไป คือพยายามที่จะให้มีการแยกตัวจากการปกครองส่วนกลาง จะก่อให้เกิดปัญหาวิกฤตตามมา เช่นปัญหา 3 จังหวัดชายแดนใต้ มันผิดธรรม ผิดกฎธรรมชาติ ผิดไปจากสามัญสำนึกที่ถูกต้อง
การปกครองส่วนท้องถิ่นโดยธรรม จะต้องกึ่งรวมศูนย์กึ่งกระจาย กึ่งรวมศูนย์เพราะว่าต้องขึ้นต่ออำนาจส่วนกลาง และกึ่งกระจายเพื่อให้เกิดความรวดเร็วและสอดคล้องกับความต้องการของท้องถิ่นนั้นๆ
ระบอบการเมืองเป็นลักษณะทั่วไป จะต้องเป็นสิ่งที่ดีงาม เป็นศูนย์กลางของปวงชน แต่เมื่อเราสร้างระบอบการเมืองขึ้นมาอย่างมิจฉาทิฐิ การแก้ปัญหาที่ปลายเหตุนอกจากจะแก้ปัญหาไม่ได้แล้ว จะเสียเวลาและสูญเปล่า ยิ่งทำให้ปัญหาลักษณะเฉพาะขยายตัวมากยิ่งขึ้น และจะนำไปสู่ความขัดแย้งที่แก้ไขยาก หรือสงครามกลางเมือง อย่าได้ประมาท แม้คุณทักษิณ จะออกไปแล้ว ก็ใช่จะแก้ปัญหาเหตุวิกฤตให้ตกไปได้ ยกเว้น
มีทางเดียวอันศักดิ์สิทธิ์ คือ พสกนิกรผู้จงรักภักดีทั้งหลายรวมใจกันเป็นหนึ่งเชิดชูธรรมาธิปไตย จะเป็นปัจจัยให้ในหลวงทรงสถาปนาการปกครองแบบธรรมาธิปไตย สู่อารยธรรมใหม่แก้ไขเหตุวิกฤตชาติและโลกต่อไป (บทความนี้ไม่มีค่าอันใดเลยสำหรับผู้มืดบอด แต่จะมีค่ายิ่งใหญ่ต่ออริยชน)