xs
xsm
sm
md
lg

มารยาท เป็นเรื่องวัฒนธรรมและค่านิยม

เผยแพร่:   โดย: ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง

ท่านผู้อ่านจะรู้สึกตกใจเหมือนผมไหม ถ้าอยู่ๆ มีคนทำการสำรวจศึกษาแล้วได้ผลสรุปว่า คนกรุงเทพฯ มีมารยาทแย่ ได้คะแนนมารยาทต่ำ ติดอันดับ 25 จากทั้งหมด 35 ประเทศ

จากการสำรวจของนิตยสารรีดเดอร์ ไดเจสท์ ซึ่งหนังสือพิมพ์แนวหน้านำมาตีพิมพ์ไว้ในหน้า 10 ฉบับประจำวันอาทิตย์ที่ 2 กรกฎาคม 2549

ผลสำรวจฯ ปรากฏว่า เมืองนิวยอร์ค ประเทศสหรัฐอเมริกา, เมืองซูริค ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เมืองโตรอนโต ประเทศแคนาดา, เมืองเบอร์ลิน ประเทศเยอรมัน ติดอันดับเมืองที่มารยาทสูงสุด 1-4 ตามลำดับ! คนเอเชียมีมารยาทต่ำสุด!

ในขณะที่ คนกรุงเทพฯ ได้คะแนนมารยาทอยู่ในกลุ่ม 10 อันดับท้ายสุด!

อันที่จริง ผมก็ไม่ได้คิดว่าคนกรุงเทพฯ จะต้องมีมารยาทวิเศษกว่าคนเมืองอื่นๆ ในประเทศอื่นๆ เพียงแต่อาศัยความรู้สึก เท่าที่ได้สัมผัสกับชาวเมืองกรุงฯ ทุกระดับชั้น นึกเปรียบเทียบกับคนประเทศอื่นๆ เท่าที่เคยออกไปเผชิญมา บอกตามตรง ยังรู้สึกว่า คนกรุงเทพฯ มีอัธยาศัย มีมารยาทที่งดงามในแบบของเรา

เมื่อรู้ว่ามีการสำรวจเรื่องนี้ แล้วได้ผลสำรวจอย่างนี้ ก็เลยอยากรู้ว่า เขาสำรวจกันอย่างไร

นิตยสารรีดเดอร์ ไดเจสท์ ใช้วิธีการส่งทีมงานจากกองบรรณาธิการในแต่ละประเทศ แฝงตัวเข้าไปในฝูงชน เพื่อประเมินความเป็นสุภาพชนของประชาชนในเมืองต่างๆ ผ่านพฤติกรรมการแสดงออก เมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์ทดสอบแบบไม่ให้ผู้ถูกทดสอบรู้ตัว 3 อย่าง คือ

(1) เดินตามผู้คนเข้าประตูอาคาร แล้วดูว่า เขารั้งประตูไว้ให้คนข้างหลัง หรือไม่? ถ้ารั้ง แสดงว่า มารยาทดี ถ้าไม่รั้ง แสดงว่าไม่มีมารยาท

(2) ซื้อของจากร้านค้า แล้วดูว่า คนขายกล่าวคำว่า “ขอบคุณ” หรือไม่? ถ้าขอบคุณ แสดงว่า มารยาทดี

(3) แกล้งทำแฟ้มเอกสารหนาเตอะ หล่นในละแวกที่มีผู้คนพลุกพล่าน แล้วดูว่า มีใครช่วยเก็บหรือไม่? ถ้ามีคนช่วยเก็บ แสดงว่า มารยาทดี


นี่คือวิธีการทดสอบที่นิตยสารรีดเดอร์ ไดเจสท์ ใช้เป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วโลก

ไม่สงสัยเลยว่า ทำไม ผลสำรวจที่ได้จึงปรากฏว่า เมืองที่ถูกจัดอันดับว่า มารยาทดีลำดับต้นๆ ล้วนเป็นเมืองในโลกตะวันตก แถบอเมริกาและยุโรป ทั้งนั้น

เพราะวิธีการที่ใช้ทดสอบทั้งสามข้อ ล้วนแต่เป็นแบบแผนชีวิตและค่านิยมที่คนในชาติตะวันตกคุ้นชินมากกว่าคนเอเชียหรือคนไทยเรา

พูดง่ายๆ ว่า เป็นแบบทดสอบที่มีค่านิยม วัฒนธรรม ที่ยึดเอาแบบตะวันตกเป็นมาตรฐาน

ทั้งๆ ที่ แต่ละเมือง แต่ละประเทศ ในโลกนี้ ล้วนมีค่านิยม วัฒนธรรม แตกต่างกัน

ยกตัวอย่าง

(1) คนไทยเราถือเรื่องการจัดลำดับชั้นสูง-ต่ำ หัวเป็นอวัยวะสูง เท้าเป็นของต่ำ จะเล่นหัวกันไม่ได้ ถือว่าเสียมารยาทมาก เวลาจะเข้าไปในบ้านใคร ก็ควรจะถอดรองเท้าให้เรียบร้อย ถ้าใส่รองเท้าย่ำเข้าไป ถือว่ามารยาทแย่มาก

แต่สำหรับคนตะวันตก เขาไม่มีความคิดเรื่องการจัดชั้นสูง-ต่ำ เวลาเข้าบ้าน เขามักจะไม่ถอดรองเท้า ใส่รองเท้าเข้าไปเลย กระทั่งใส่รองเท้านอนเลย การเล่นหัว ลูบหัวคนอื่นก็เป็นเรื่องปกติ

(2) ในสังคมตะวันตก เรื่องการกอดจูบในที่สาธารณะถือเป็นการแสดงออกความรักต่อกัน กอดกัน หอมกัน ถือเป็นเรื่องปกติ ถ้าทำก็ไม่ถือว่าเสียมารยาท

แต่สำหรับสังคมไทย การกอดจูบในที่สาธารณะกลับถือเป็นเรื่องเสียมารยาท

สิ่งเหล่านี้ สะท้อนว่า การประเมินว่า พฤติกรรมแบบใดเป็นการแสดงมารยาทดีหรือไม่ดี ต้องอาศัยบรรทัดฐานทางวัฒนธรรมของสังคมนั้นๆ

พฤติกรรมธรรมดาๆ ในสังคมหนึ่ง อาจจะกลายเป็นมารยาทแย่เมื่อนำไปแสดงออกในสังคมอื่น หรือแม้กระทั่งพฤติกรรมที่เป็นมารยาทดีในสังคมหนึ่ง ก็อาจจะกลายเป็นมารยาทไม่ดีเมื่อนำไปแสดงออกในสังคมอื่นที่มีวัฒนธรรมและค่านิยมแตกต่างกัน

เรื่องมารยาท จึงเป็นวัฒนธรรมและค่านิยม

ไม่ใช่เรื่องข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์

ไม่ใช่เรื่องที่จะนำมาเปรียบเทียบกันได้ง่ายๆ ตื้นๆ อย่างที่รีดเดอร์ไดเจสท์ทำ

คนกรุงเทพฯ ไม่ได้มารยาทต่ำอย่างที่เขาว่า หรืออย่างน้อย หากเราแย่ก็แย่ในแบบค่านิยมของเขา แต่เราก็ไม่ได้แย่ในแบบค่านิยมของเรา

เรื่องค่านิยมจึงไม่ใช่เรื่องที่จะมาเปรียบเทียบว่าใครดีกว่ากันในสังคมที่ต่างกัน

ถ้าเป็นสังคมเดียวกัน แต่คนที่มีพื้นฐานแตกต่างกัน ก็ยังยากที่จะเปรียบเทียบกัน

เช่น ถ้าต้องการเปรียบเทียบว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน มีมารยาทแย่กว่าหรือดีกว่า คุณอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรี ผู้ได้ชื่อว่าเป็น “ผู้ดีรัตนโกสินทร์” โดยพิจารณาเปรียบเทียบพฤติกรรมของบุคคลสาธารณะทั้งสอง ในสิ่งที่แสดงออก ที่สื่อถึงการมีมารยาท

ไม่ว่าจะเป็น การพูดจา ใครอ่อนน้อมถ่อมตน หรือใครชอบอวดตัว ยกตนข่มท่าน ยโสโอหัง จาบจ้วง ?

การโกหก ใครตลบตะแลง กะล่อนปลิ้นปล้อนตอแหล หรือใครรักษาคำพูดคำสัตย์ ?

การไม่เห็นแก่ตัว ใครเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว รวยแล้วยังไม่รู้จักพอ ทะยานอยากไม่สิ้นสุด?

แบบนี้ ก็ยังยากจะนำมาเปรียบเทียบกันได้ คนส่วนหนึ่งคงเห็นว่า “ผู้ดีรัตนโกสินทร์” ดีกว่า แต่อย่างน้อย นายหญิงและเนวินคงต้องออกมาบอกว่า นายทุนนิยมสามานย์ดีกว่า นี่ก็เพราะพื้นฐานรากเหง้าของคนมันต่างกัน

เป็นเรื่องจนได้..

กำลังโหลดความคิดเห็น