xs
xsm
sm
md
lg

นักการเมืองไทย ไม่มีอะไรนอกจากขี้กับไส้

เผยแพร่:   โดย: ยอดธง ทับทิวไม้

ในบรรดาคนไทยทุกคนที่เคยเป็นหัวหน้าคณะรัฐบาลมาแล้วหลายท่านที่ผ่านมา มีรัฐบาลและคณะรัฐบาลมากท่าน ที่ผมเคยรังเกียจและไม่ยอมเคารพนับถือ และไม่ยอมให้เกียรติทั้งในด้านความสามารถที่จะปฏิบัติตามนโยบายที่ให้สัญญาแก่ประชาชนและที่ถวายสัตย์ปฏิญาณต่อองค์พระมหากษัตริย์ ไม่ว่าในด้านการแก้ปัญหาหรือการทะนุบำรุงบ้านเมืองใดๆ รวมทั้งโอกาสที่จะให้เวลาคนเหล่านั้นได้กระทำตามนโยบายที่พวกเขาได้ให้สัญญาแก่ประชาชน ไม่วันหนึ่งวันใดในการเป็นรัฐบาลหรือเป็นหัวหน้าคณะรัฐบาลที่ไม่ได้รับการยอมรับจากนักการเมืองอื่นๆ จากสาเหตุอะไรก็ตาม รัฐบาลนั้นจะไม่สามารถทำงานได้ อย่างรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ในสมัยนายชวน หลีกภัย เป็นนายกรัฐมนตรี ทุกเรื่องทุกปัญหาที่เกิดขึ้นในบ้านเมืองด้วยคำคมอยู่ประโยคเดียวคือ “ยังไม่ได้รับรายงาน” เท่านั้น เขาจะไม่คิดอะไรอีกเพื่อให้หมดปัญหา เขาจะเป็นนายกรัฐมนตรีที่มีอัจฉริยะสูงสุดเพียงเท่านั้น

การบริหารอื่นๆ ที่เป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติประชาชนจะไม่มีเลย ที่ร้ายที่สุดเขายังทำหน้าที่เป็นผู้นำทางด้านการคอร์รัปชันหรือความไม่รู้ในเรื่องการคอร์รัปชันของฝรั่งต่างชาติที่ทำให้เมืองไทยต้องเสียเงินค่าโง่ไปให้แก่นักต้มมนุษย์ไทยสองสามคนกับฝรั่งสองคนที่ร่วมกันเข้ามาต้มรัฐบาลไทยไปถึง 800,000 ล้านบาทในนามของโครงการมหาเหี้ยมที่รู้จักกันในนาม ศปร. และต้องเสียนายกรัฐมนตรีที่สามารถปราบและแก้ปัญหาคอมมิวนิสต์เหมือนผู้นำคนหนึ่งในเอเชียคือ พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ นายกรัฐมนตรีก่อนหน้านั้น ที่ถูกผู้เชี่ยวชาญการเงินการคลังจำนวนหนึ่งร่วมกันต้มเพื่อหารายได้ให้แก่คนไทยและฝรั่งพวกหนึ่ง นอกจากนั้นก็ต้องเสียค่าโง่ให้แก่บรรดามหาเดียรัจฉานไทยพวกนั้นไปอย่างสบายเฉิบ

หรือพูดกันตามภาษาชาวบ้านว่ารัฐบาลที่ไม่มีน้ำยาอะไร นอกจากเป็นเพียงพวกอ้ายงั่งที่มีแต่ขี้กับไส้เท่านั้น อย่างอื่นไม่มี!

เมื่อพูดกันตามภาษาชาวบ้าน ก็จะพูดกันเต็มปากว่า เป็นรัฐบาลชุดที่ไม่มีน้ำยาอะไร นอกจากนั้นก็มีรัฐบาลชุดเส็งเคร็งที่พอทำหน้าที่เป็นเจว็ดของประเทศไทยด้วยการซื้อเสียงประชาชนมาจัดตั้งคณะรัฐบาลใหม่ขึ้นมาแทนจนกระทั่งบัดนี้ (ดูรายละเอียดเพิ่มเติมใน ศปร. รายงานการวิเคราะห์วินิจฉัยเสนอการศึกษา การเสนอแนะ และมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารการจัดการระบบการเงินของประเทศ (ศปร. 31 มีนาคม 2541)

ผมมีพรรคพวกซึ่งเป็นนักการเมืองในพรรคต่างๆหลายพรรค เคยช่วยพรรคการเมืองต่างๆ ตั้งพรรคมาหลายพรรค ผมไปยุ่งเกี่ยวกับพรรคเหล่านี้เพราะผมเคารพนับถือเพียงตัวบุคคลที่จะมาทำพรรค เพราะผมเชื่อว่าท่านเหล่านั้นมีอายุอานามและมีความจริงใจ มีความสามารถหลายๆ ประการ แต่ตามธรรมนียมการเมืองที่มีการทำลายกันด้วยทุจริตใจ และความโง่เป็นหลักอย่างไม่มีกฎเกณฑ์ เมื่อเข้ามาเป็นนักการเมืองเข้าแล้ว คนเหล่านี้จะหมดกำลังใจและเบื่อหน่ายต่อการทำลายไม่เว้นแต่ละวันของฝ่ายค้านทันที และก็จะยุติการเข้ามาเป็นนักการเมืองหรือจะทำงานทางการเมืองเพียงมีโอกาสและมีตำแหน่งที่จะได้เงินเดือนคนละแสนกว่าบาท เช่น ส.ส.หรือ ส.ว.ที่เรามีกันอยู่ในขณะนี้ หรือแม้เงินเดือนคนละ1 ล้านบาทที่สามารถจะเบิกจ่ายโดยไม่มีเหตุผลตามความต้องการของนายกรัฐมนตรีเช่นบรรดาพวกมีตำแหน่งใน กกต.เป็นต้น

ผมก็ต้องทิ้งการเมืองไทยและเบื่อหน่ายเมืองไทยต่อไปอีก เพราะความหวังจะได้คนที่มีความสามารถอย่างเพียงพอต่อการแก้ปัญหาประเทศไทยได้แต่ไม่นานนักก็มีคนใหม่พวกใหม่ติดต่อให้ไปช่วยเหลือต่อไป ก็เกิดความเชื่อมั่นขึ้นมาว่าคนผู้นี้มีทั้งเงิน มีทั้งความซื่อสัตย์ สุจริต มีกระทั่งความสามารถในการบริหาร แต่เมื่อตั้งเป็นพรรคการเมืองเข้าแล้วอย่างไม่ทันเป็นรัฐบาลก็ต้องอำลาการเมืองไป เพราะทุกอย่างที่มีอยู่นั้นจะไม่ช่วยให้แก้ปัญหาเมืองไทยได้ คนผู้นั้นคือ ท่านบุญชู โรจนเสถียร

ผมเชื่อและหวังอย่างมากในตัวท่านบุญชู โรจนเสถียร อย่างน้อยที่สุดท่านก็เป็นคนต่างจังหวัดที่ไม่เรียนจบด็อกเตอร์มาจากไหน และด้วยความสามารถและการต่อสู้ที่ถูกต้อง ท่านน่าจะแก้ปัญหาการเมืองไทยได้ เฉพาะอย่างยิ่ง ความยากจนของประชาชนจำนวนมหาศาลในชนชั้นที่ท่านเคยเป็นมาก่อนมีความจำเป็นมากที่จะต้องแก้ไขกันก่อน แต่ท่านทำไม่สำเร็จ ทุกคนจะแสดงความร่วมมือเพียงว่าจะเอาด้วยกันทั้งนั้น

แต่สิ่งที่จะเอานั้นคือผลประโยชน์ ไม่ว่าจะมากหรือน้อย

นั่นคือการเมืองไทยและคนที่จะเป็นนักการเมืองไทย!!

ไม่มีใครมีความจริงใจ ไม่มีใครอยากทำอะไรมากไปกว่าเป็นนักการเมืองและจะมีโอกาสได้เข้ามาเขมือบตำแหน่งใด


นั่นดูเหมือนจะเป็นสาเหตุที่ทำให้ท่านต้องวางมือไปอยู่สำนักการบัญชีของท่านตามเดิม ปัญหาของนายกรัฐมนตรีที่เป็นเพียงเป็นประชาชนคนธรรมดาก็ปิดฉากลง

ความชั่วร้ายอย่างหนักในวงการเมืองไทยเกิดขึ้นอย่างเป็นน้ำเป็นเนื้อก็คือการเข้ามาของจอมพลถนอม -ประภาส และจอมพลสฤษดิ์ที่มีอำนาจพิเศษในการสร้างความชั่วทางการเมืองโดยอาศัยขุนศึกขุนพลที่ได้ดิบได้ดีทางการทหารเพราะแก่ขึ้นและหัวหงอกมากขึ้นและมีกฎหมายที่มีมาตรา 17 เป็นเครื่องมือซึ่งจะตัดสินปัญหาอะไรก็ได้เฉพาะอย่างยิ่งเอาไปฆ่าคนที่เป็นอันตรายต่อบ้านเมืองและเป็นศัตรูของผู้มีอำนาจทุกประเภท ด้วยการยิงเป้าให้ประชาชนไม่กล้าทำความผิดใดๆ ต่อไปอีก

การเมืองไทย เงิน และอำนาจเป็นมูลเหตุจูงใจให้คนพยายามเป็นนักการเมือง แต่ไม่ว่าจะมีเงินหรืออำนาจจะไม่ให้ประโยชน์อะไรแก่ใครแม้แต่คนเดียว

ก่อนหน้านั้น ความวิบัติและความยุ่งยากทางการเมืองจะต้องเกิดขึ้นในเมืองไทยไม่เคยหยุดในยุคที่คนไทยรู้จักคำว่า การเมือง การเล่นการเมืองในประเทศประการแรกก็คือ การแสวงหาอำนาจและแย่งอำนาจกันอย่างลำหักลำโค่นหรือการกินบ้านกินเมือง และการปล้นสะดมอย่างฉิบหายวายวอดเหมือนทุกวันนี้ ซึ่งเพราะประชาชนคนไทยไม่เคยรู้จักไม่มีโอกาสได้เกี่ยวข้อง แต่เป็นภาระหน้าที่ของทหารและตำรวจผู้มีอำนาจจะซัดกันเอง ทำลายกันเอง เพราะฉะนั้นในยุคหนึ่งของการเมืองไทย จึงเป็นเรื่องของตำรวจ ทหาร และประชาชนที่แปลงชีวิตตัวเองเป็นสุนัขรับใช้ที่จงรักภักดีต่อรัฐบาล นั่นคือกลุ่มทหารที่มีจอมพลถนอม กิตติขจร พร้อมด้วยพลตำรวจเอกเผ่า ศรียานนท์ เป็นหัวหน้าเข้ามาร่วมกันยึดบ้านเมืองมาขยี้เล่นเพื่อความสุขของตนเอง ซึ่งหลังจากที่ทำความชั่วต่อประเทศชาติประชาชนตามความต้องการของตัวเอง แต่ก็ไม่สามารถจะอยู่รอดต่อไปได้ แม้แต่มีปืน มีอาวุธและอำนาจราชศักดิ์เหนือคนทั้งชาติ อยากฆ่าใครก็ฆ่าได้ อยากทำลายใครก็ทำได้อย่างสบายอารมณ์ สุนัขรับใช้ประเภทต่างๆ ที่คอยรับใช้อยู่ด้วยความจงรักภักดีทั่วทั้งแผ่นดินไม่สามารถช่วยอะไรได้ และก็อย่างที่ว่านั่นแหละคือไม่ว่าจะพิจารณาศึกษาในลักษณะไหน อภินิหารและความยิ่งใหญ่ของคนพวกนี้ที่ก้มหน้าก้มตาเขมือบอยู่ด้วยกันนั้น ก็มีแต่ขี้กับไส้เท่านั้น

ก็ไม่มีอะไรผิดไปจากรัฐบาลอื่นที่เคยมีมาแล้วและกำลังเป็นอยู่ว่าขอให้อวดศักดาภินิหารอันน่าสยดสยองเพียงใดก็ตาม เพราะมันเป็นวัฒนธรรมประเพณีของนักการเมืองไทย

ความชั่วทางการเมืองของประเทศไทยที่เกิดขึ้นในบ้านเมืองทุกวันนี้ เป็นผลลัพธ์จาก กฤฎาภินิหารที่ลงมือสร้างความชั่วทุกชนิดที่เปลี่ยนคุณธรรมของการเมืองรวมถึงคุณธรรมทุกชนิดของนักการเมืองทุกวันนี้นั่นเอง

ความยุ่งเหยิงวุ่นวาย ความขัดแย้งในวงการผู้มีอำนาจ และคนมีอาวุธแย่งกันกินแย่งกันเขมือบ ประชาชนไม่มีสิทธิมีอำนาจอะไรนอกจากนั่งคอยดูกันว่ามันจะฉิบหายลงอย่างไร จนกระทั่งวาระสุดท้ายก็ไม่มีใครได้อะไรติดมือกลับบ้านหรือโยนไปในหลุมฝังศพของแต่ละคน ในที่สุด จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ก็อีกคนหนึ่งที่เข้ามากวาดล้างความชั่วร้าย และมนุษย์วายร้ายทั้งหมดในยุคนั้นจนวอดวายกันไป ที่น่าสังเวชก็คือมันมีความเลวระยำกว่าที่ผ่านมาเพราะการแก้ปัญหาของจอมพลท่านนั้นคือใช้ความโหดร้ายรุนแรงเป็นหลัก ไม่พอใจก็ฆ่าหรือยิงทิ้ง และเปิดคุกตะรางไว้จัดการกับฝ่ายที่จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ไม่พอใจ

ชั่วช้า โง่เขลา ไม่มีน้ำยาเหมือนกันทุกคน!

จุดมุ่งหมายคืออำนาจบาตรใหญ่ การเหยียบหัวเหยียบไหล่ ปราบปรามข่มขู่ประชาชนพลเมืองของตน การกอบโกยทรัพย์สินของประชาชนอย่างไม่รามือ และในที่สุดก็จะต้องไปตายที่ไหนสักแห่งหนึ่งพร้อมกับเสียงสาปแช่งของปวงชนตามหลังไปอีกเป็นร้อยๆ ปี

เมื่อกรุงศรีอยุธยาแตก เราก็มาสร้างกรุงเทพฯ กรุงธนบุรีขึ้นมาใหม่เพื่อให้คนไทยมีที่ซุกหัวนอน แต่ไม่มีใครแม้แต่คนเดียวที่สามารถปกครองป้องกันภยันตรายใดๆได้ในยุคนี้ แผ่นดินส่วนหนึ่งที่เรามีอยู่คือ 3 จังหวัดภาคใต้ถูกปล่อยไว้เป็นแผ่นดินสำหรับปล่อยให้คนฆ่ากันไม่เว้นแต่ละวัน และตลอดเวลา 5 ปีที่ผ่านมา เราแก้ไขอะไรไม่ได้ นอกจากแก้ปัญหาด้วยความโง่และบัดซบที่สุดคือแก้ด้วยคำว่า “เรามาถูกทางแล้ว”

ปัญหาหนักอีกปัญหาหนึ่งที่เป็นปัญหาประจำชาติที่เราไม่เคยแก้ ไม่ว่าจะสร้างราชวงศ์ใหม่อีกกี่ราชวงศ์ก็จะไม่มีวันแก้ได้สำเร็จ นั่นคือการคอร์รัปชันและการแย่งอำนาจของผู้มีตำแหน่งหน้าที่

ไม่มีอะไรในรัฐบาลนอกจากการโกหกหลอกลวงและบัดซบ

มีแต่เพียงขี้กับไส้เท่านั้น!


ขอโทษเถอะ, อ้ายฉิบหาย!!
กำลังโหลดความคิดเห็น