xs
xsm
sm
md
lg

ตอนที่ 27 พระคาถามหาสูญ

เผยแพร่:   โดย: เรืองวิทยาคม

พระสมเด็จวัดระฆังรุ่นแรกๆ ที่ทำขึ้นตั้งแต่สมัยเจ้าประคุณสมเด็จยังมีชีวิตอยู่กับพระสมเด็จวัดระฆังที่ทำในชั้นหลังๆ นั้น ถึงแม้ว่าวันเวลาจะห่างกันนับร้อยปีแต่ก็ยังคงมีพุทธลักษณะที่สง่างดงามน่านับถือศรัทธาและเป็นแบบอย่างเดียวกันไม่ผิดเพี้ยน ดูด้วยตาก็สามารถเห็นถึงความแตกต่างกับพระสมเด็จของวัดอื่นๆ ได้โดยไม่ยากไม่ลำบากเลย

เจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี นั้นเป็นพระมหาเถระที่ทรงพรหมวิหารธรรมระดับสูงสุด ทรงอิทธิปาฏิหาริย์เป็นที่ประจักษ์ และยึดมั่นในพระรัตนตรัย ไม่เคยที่จะยกฐานะของเจ้าประคุณขึ้นเสมอกับพระรัตนตรัยเลย

แม่ชีเฒ่าเคยเล่าให้ฟังว่าเจ้าประคุณสมเด็จทำพระสมเด็จโดยถือพระประธานในพระอุโบสถวัดระฆังเป็นต้นแบบ ตลอดยุคสมัยของเจ้าประคุณไม่เคยมีปรากฏว่าได้ทำพระสมเด็จโดยใช้รูปลักษณะของเจ้าประคุณสมเด็จเป็นต้นแบบเลย ดังนั้นพระสมเด็จวัดระฆังที่ทำเป็นรูปของเจ้าประคุณสมเด็จจึงเป็นพระเครื่องที่ทำขึ้นในชั้นหลังจากที่เจ้าประคุณสมเด็จดับขันธ์แล้ว

คนที่เคยอยู่วัดระฆังไม่ว่ารุ่นไหนๆ ล้วนรู้และเชื่อกันเช่นนี้ทั้งนั้น แต่ก็ยังมีการอวดอ้างว่าพระสมเด็จที่เป็นรูปเจ้าประคุณสมเด็จเป็นของเก่าแก่แท้จริงให้เห็นอยู่เสมอ ซึ่งผมก็มิได้ขัดข้องอะไร เพราะอย่างไรเสียการแขวนรูปเจ้าประคุณสมเด็จก็เป็นเรื่องที่ดี เพราะเป็นเครื่องเตือนสติให้ละกรรมชั่ว ทำแต่กรรมดีเหมือนกัน

แนวความคิดในการทำพระสมเด็จที่อาศัยรูปแบบของพระพุทธรูปเป็นต้นแบบ เป็นความนิยมที่มีมาตั้งแต่โบราณกาล เพิ่งมาเพี้ยนเอาเมื่อไม่เกินห้าสิบปีมานี้ ที่พระสงฆ์บางรูปโดยเฉพาะลูกศิษย์ที่คิดอ่านยกย่องอาจารย์ตนให้เสมอกับพระพุทธเจ้าหรือใกล้เคียงกับพระพุทธเจ้า ทำรูปพระสงฆ์ขึ้นเป็นพระเครื่องในรูปแบบต่างๆ กัน ซึ่งเท่ากับเป็นการสร้างรูปบูชาให้มีการยึดมั่นถือมั่นในครูบาอาจารย์เสมอด้วยพระรัตนตรัย

เจ้าประคุณสมเด็จท่านเป็นศิษย์ของพระพุทธเจ้า ดังนั้นในทัศนะของเจ้าประคุณจึงไม่มีสิ่งใดยิ่งใหญ่ทรงความศักดิ์สิทธิ์ทรงอานุภาพเสมอด้วยพระพุทธเจ้า เหตุนี้ท่านจึงใช้รูปแบบของพระพุทธรูปคือพระประธานในพระอุโบสถวัดระฆังเป็นรูปแบบของพระสมเด็จ และพระประธานในโบสถ์วัดระฆังนั้นก็เป็นพระพุทธรูปที่มีประวัติเก่าแก่ยาวนานจนขณะนี้ก็ยังสืบสาวไปไม่ถึงต้นตอว่ามีมาแต่ครั้งไหน มีพุทธลักษณะงดงามสง่าน่าศรัทธา และเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ทั้งทรงไว้ซึ่งความศักดิ์สิทธิ์และปาฏิหาริย์ สำแดงนิมิตต่างๆ ให้เห็นเป็นนิตย์

สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชก็มีความศรัทธาในพระประธานวัดระฆัง แต่ยังหาหลักฐานที่พระองค์ทรงพบเห็นนิมิตอันเกิดแต่พระประธานวัดระฆังไม่พบ พบก็แต่กรณีของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ซึ่งพระองค์ท่านมีความศรัทธาในพระประธานวัดระฆังเป็นอันมาก ทรงเสด็จไปวัดระฆังเสมอๆ โดยเฉพาะในเทศกาลทอดผ้าพระกฐิน

และปรากฏความจากพระโอษฐ์ของพระองค์เองว่าทรงพบเห็นนิมิตอันเกิดแต่พระประธานวัดระฆัง ดังที่ทรงตรัสว่าทุกครั้งที่เสด็จเข้าไปในพระอุโบสถ พระประธานในโบสถ์ยิ้มให้กับพระองค์ ดังนั้นเมื่อทรงอยู่ในวัยพระชราภาพจึงมีกระแสพระราชดำรัสตรัสสั่งว่าพระนพปฎลเศวตฉัตรที่กั้นพระเมรุมาศเมื่อสิ้นการพระราชพิธีพระบรมศพแล้วให้นำไปถวายพระประธานวัดระฆัง

จึงเป็นเหตุให้ฉัตรที่กั้นพระประธานวัดระฆังเป็นฉัตรเก้าชั้นซึ่งเป็นเครื่อง อิสริยยศของพระมหากษัตริย์ แตกต่างจากฉัตรที่กั้นพระประธานในโบสถ์วัดอื่นๆ ซึ่งมีห้าชั้นหรือเจ็ดชั้นเป็นพื้น ยกเว้นก็แต่เฉพาะวัดหลวงสำคัญที่ทรงมีพระราชศรัทธาเป็นการเฉพาะ จึงพระราชทานฉัตรเก้าชั้นกางกั้นพระประธาน

ครั้นถึงแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ทรงมีพระราชศรัทธาในพระประธานวัดระฆังเป็นอันมาก จนปรากฏว่าครั้งหนึ่งเมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จมาพระราชทานผ้าพระกฐิน ณ วัดระฆัง ได้ทรงมีพระราชดำรัสแก่ผู้เข้าเฝ้าใกล้ชิดว่า “ไปวัดไหน ไม่เหมือนมาวัดระฆัง พอเข้าประตูโบสถ์พระประธานยิ้มรับฟ้าทุกที” ด้วยเหตุนี้จึงทรงถวายเครื่องราชอิสริยาภรณ์นพรัตน์ราชวราภรณ์และมหาปรมาภรณ์ช้างเผือกแด่พระประธานองค์นี้เป็นพิเศษ

เจ้าประคุณสมเด็จทรงภูมิธรรมในพระพุทธศาสนาที่สูงมาก ดังนั้นจึงอยู่ในวิสัยที่จะได้พบเห็นสัมผัสนิมิตมากหลายที่เกิดแต่ความศักดิ์สิทธิ์ของพระประธานวัดระฆัง ดังนั้นเมื่อกระทำพระสมเด็จจึงได้ถือเอาต้นแบบจากพระประธานวัดระฆัง เป็นรูปแบบองค์พระนั่งท่าสมาธิอยู่บนชุกชีสามชั้น มีลักษณะมั่นคงแน่นหนา และหากวัดความกว้างของช่วงเข่าเทียบกับความสูงจากพระหัตถ์ถึงพระโอษฐ์ก็จะปรากฏชัดเจนว่าช่วงระยะเกินพระโอษฐ์ไปถึงพระนาสิกซึ่งเป็นพุทธลักษณะที่เชื่อกันว่าผู้บูชาจะมีทรัพย์สินเงินทองเหลือกินเหลือใช้

กรอบที่ครอบองค์พระนั้นคือรูปจำลองของระฆังเพื่อให้มีความหมายว่าเป็นพระสมเด็จวัดระฆังนั่นเอง ทำให้ได้เห็นถึงจินตนาการที่ลึกซึ้งจริงๆ

ผมสำนักอยู่ในวัดระฆังนานวันเข้าวัตรปฏิบัติแบบเด็กวัดก็คุ้นเคยกับตัวมากขึ้นทุกที นอกจากสวดมนต์ไหว้พระก่อนนอนแล้ว ผมก็พยายามฝึกฝนทำสมาธิจากที่มีพื้นฐานมาแต่เดิม


ยามเมื่อน้อยนั้นผมอยู่กับก๋งและยาย ซึ่งยายเป็นคนแก่วัด คุ้นอยู่กับวัดตั้งแต่วัยสาวจนกระทั่งเข้าสู่วัยชรา เมื่อสาวนั้นจะถือศีลห้าเป็นนิตย์ และถือศีลแปดทุกวันพระ วันโกน แต่พอแก่ตัวเข้าก็ถือศีลแปดเป็นนิจศีล และได้ฝึกฝนสมาธิกับพระเถระต่างๆ ที่มีชื่อเสียงโด่งดังในภาคใต้หลายสำนัก หนักเข้าก็พาแม่ผมไปฝึกสมาธิด้วย ดังนั้นเวลายายจะไหว้พระสวดมนต์ประจำวันจึงมักจะเรียกผมเข้าไปไหว้พระสวดมนต์ แล้วสอนให้ทำสมาธิ ผมจึงมีพื้นฐานนี้มาตั้งแต่เด็กๆ

แต่ก็ทำไปอย่างนั้นแหละ ไม่ได้รู้เป้าหมายบั้นปลายว่าทำไปเพื่ออะไร เนื้อแท้ที่เป็นจริงก็คือทำตามที่ยายสั่งยายสอนนั่นเอง พอเป็นวัยรุ่นเข้าไปสำนักอยู่กับพระอาจารย์ซึ่งชำนาญการปฏิบัติทางจิตในพระพุทธศาสนา เป็นพระมหาเถระที่ทรงภูมิธรรมสูง เป็นที่เลื่องลือนับถือทั่วไป จึงได้ฝึกฝนการทำสมาธิเพิ่มขึ้น

แรกๆ ผมนับถือพระอาจารย์ก็เพราะนับถือตามชาวบ้าน พอรู้ความมากขึ้นก็นับถือมากขึ้นเพราะเห็นถึงความศักดิ์สิทธิ์อันประจักษ์แก่ตาเป็นประจำ คนบ้านนอกยามถูกงูกัด หากมาถึงวัดยังไม่ทันสิ้นลมก็เป็นอันมั่นใจได้ว่ารอดตายแน่ เพราะพระอาจารย์มีวิธีการรักษาพิษงูร้ายตั้งแต่งูเห่า งูบองหลา งูจงอาง ได้ชะงัดนัก

ทุกครั้งที่มีผู้พาคนถูกงูกัดมาถึงวัดพระอาจารย์ก็จะเอาว่านชนิดหนึ่งวางทาบลงบนปากแผล ในขณะเดียวกันก็จะเอาปูนแดงขีดวงเหนือแผลขึ้นไปประมาณสักหนึ่งคืบ แล้วพร่ำภาวนาอะไรก็ไม่รู้ สักพักหนึ่งก็จะเห็นเลือดสีดำไหลออกมาจากปากแผล เลือดสีดำไหลออกมาจนเป็นสีแดงเมื่อใดก็เป็นอันว่าพิษงูหมดสิ้นลง ณ บัดนั้น ดังนั้นใครที่ถูกงูกัดจึงต้องพยายามมาถึงวัดให้ได้ก่อนสิ้นลม หากชะตายังไม่สิ้นก็จะมาถึงตามกำหนดหมาย แต่ครั้นความตายมาถึงก็จะสิ้นลมก่อนที่จะมาถึงท่าเรือหน้าวัด

คนที่เป็นฝีธรรมดาตามเนื้อตัว พระอาจารย์ก็จะใช้แต่เพียงปูนแดงซึ่งเป็นปูนกินกับหมากวงวนไว้รอบฝี แล้วเสกเป่า 2-3 ที หากฝีไม่ทันเข้าหนองก็เป็นอันยุบไปเลย แต่ถ้าฝีเป็นหนองแล้วหนองนั้นก็จะแห้งไปเอง เป็นวิธีรักษาที่ไม่ต้องเจ็บปวดอะไรเลย

ต่อมาภายหลังผมจึงได้เล่าเรียนมนต์บทนี้จากพระอาจารย์ ซึ่งก็คือมนต์มหาสูญ ใช้สำหรับในการสูญฝี บทพระคาถามีว่า “นะสูญ โมสูญ พุธสูญ ทาสูญ ยะสูญ สัพพะฝีทั้งมูลสูญด้วยนะโมพุทธายะ”

พระอาจารย์สอนว่าการสูญฝีใช้พระคาถาพระเจ้าห้าพระองค์ ซึ่งหมายถึงพระพุทธเจ้าทั้งห้าพระองค์ที่อุบัติขึ้นแล้วในโลกและที่จะอุบัติเป็นพระศรีอาริยเมตตรัยในพุทธันดรต่อไป พระคาถานี้นอกจากจะใช้สูญฝีแล้วยังจะใช้รักษาโรคร้ายได้หลายอย่างที่เกิดแต่การอักเสบในตัวเองไม่ว่าจะบังเกิดขึ้นในส่วนใดของร่างกาย ถ้าเป็นฝีภายนอกท่านว่าให้ใช้ปูนแดงวงรอบฝีไว้ ในขณะที่เอาปูนแดงวงรอบฝีนั้นก็ให้ภาวนาพระคาถาบทนี้ แต่ถ้าเป็นฝีภายในก็ต้องใช้กำลังอำนาจจิตและสมาธิที่เข้มข้นมากขึ้น

เมื่อผมมาสำนักอยู่วัดระฆังแล้ว วันหนึ่งเข้าไปไหว้เจ้าประคุณสมเด็จในวิหาร บังเอิญเห็นแม่ชีเฒ่ากำลังสูญฝีให้กับชาวบ้านที่มาไหว้พระด้วยวิธีการเอาปูนแดงวงรอบฝี ซึ่งเป็นอย่างเดียวกันกับที่พระอาจารย์เคยทำ ผมจึงได้รู้ว่าแม่ชีเฒ่านี้มีภูมิธรรมและกำลังอำนาจจิตที่ไม่ยิ่งหย่อนกว่าพระภิกษุหลายรูปเลย ถ้าเป็นหนังสือกำลังภายในก็คล้ายๆ กับหลวงจีนหรือแม่ชีที่เฝ้าหอคัมภีร์ที่ดูรูปลักษณ์ภายนอกเหมือนตาแก่แม่เฒ่าธรรมดาๆ แต่เบื้องลึกจริงๆ กลับมีกำลังภายในและวิชชายุทธ์ที่สูงล้ำฉะนั้น

ผมเห็นแม่ชีรักษาฝีด้วยวิธีการเช่นนั้นก็สงสัย จึงไต่ถามแม่ชีว่าสูญฝีด้วยมนต์ใด แม่ชีได้ยินผมถามโดยใช้คำว่าสูญฝีก็พูดสวนมาในทันทีว่า ไอ้หนูนี่รู้เรื่องไม่เบาเลย ยายสูญฝีด้วยพระคาถาพระเจ้าห้าพระองค์ แล้วถามว่าผมรู้บทพระคาถานี้หรือไม่ ผมจึงบอกเล่าให้ฟังว่าเคยร่ำเรียนมาแต่สำนักพระอาจารย์ แม่ชีเฒ่าก็บอกว่าเป็นพระคาถาบทเดียวกัน

แม่ชีหลับตาพริ้มลงครู่หนึ่งแล้วจึงกล่าวกับผมด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลยิ่งนักว่า เจ้าหนูนี่เป็นคนโชคดีมีวาสนา เป็นศิษย์มีครู ท่านเป็นผู้เรืองวิทยาคมแก่กล้ายิ่งกว่ายายหลายเท่าตัว บรรลุถึงภูมิธรรมขั้นสูงในพระพุทธศาสนา ดังนั้นถ้ามีโอกาสก็ควรจะหมั่นเพียรเรียนวิชาจากท่านให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ จะได้นำไปใช้เพื่อประโยชน์แก่เพื่อนมนุษย์ในวันหนึ่งข้างหน้า

แม่ชีเฒ่ากล่าวความสืบไปสอดคล้องต้องเป็นอย่างเดียวกันกับที่พระอาจารย์เคยบอกว่าพระคาถาบทนี้สามารถรักษาฝีในตัวได้ด้วยแต่ต้องใช้สมาธิจิตที่สูงขึ้น โดยเฉพาะฝีในท้อง ฝีในทรวงอก ฝีตามลำคอ หรือบริเวณท้องน้อย แม่ชีเฒ่าว่าการสูญฝีในกายต้องใช้เท้าเหยียบหรือไม่ก็ต้องใช้ฝ่ามือทาบ อาการฝีลักษณะนี้ปัจจุบันถือกันว่าเป็นโรคมะเร็ง ไม่ว่าจะเป็นมะเร็งทรวงอก มะเร็งในท้อง หรือมะเร็งภายในลำคอ

ครั้นผมได้ยินว่าพระคาถามหาสูญสามารถใช้สูญฝีภายในกายโดยวิธีอันแม่ชีได้กล่าวดังนั้น จึงถามว่ายายเคยรักษาฝีแบบนี้หายมาบ้างหรือไม่ แม่ชีเฒ่าก็ว่าอันฝีในกายนั้นมีอยู่สองลักษณะ ลักษณะหนึ่งเป็นผลจากการใช้กรรมเวร หากเจอผู้มีความรู้รักษาก็หาย ไม่เจอผู้มีความรู้รักษาก็ตาย

อีกลักษณะหนึ่งเป็นฝีในกายเพราะเกิดจากเงื้อมมือของพญามัจจุราชที่มาคร่าเอาชีวิตตามอายุขัยของคน ถึงใครจะรักษาก็ต้องตาย ดังนั้นใครเป็นโรคแบบนี้มาให้ยายรักษา ยายก็จะต้องดูก่อนว่ารักษาแล้วหายหรือไม่ ถ้ารู้ว่าไม่หายก็จะไม่รักษาให้ แต่ถ้ารู้ว่าหายก็จะรักษาให้

ผมจึงถามว่าแล้วยายรู้ได้อย่างไรว่าจะหายหรือไม่หาย แม่ชีเฒ่าก็ตอบว่ายายมีวิธีที่จะรู้ของยาย การตอบของแม่ชีเฒ่าลักษณะนี้ผมจึงคาดหมายได้ว่าภูมิธรรมและสมาธิจิตของแม่ชีเฒ่าน่าจะได้ฌานสี่คือถึงซึ่งจตุตถฌานจึงสามารถกระทำอิทธิปาฏิหาริย์ได้ และสามารถที่จะหยั่งรู้เหตุการณ์ในอดีตหรืออนาคตได้ ผมจึงมีความเคารพเลื่อมใสแม่ชีเฒ่าเป็นอย่างยิ่งด้วยประการฉะนี้

จากคำพูดของแม่ชีเฒ่าเมื่อนึกย้อนไปถึงพระอาจารย์ที่เคยเห็นท่านเหยียบคนที่หน้าท้องบ้าง ที่คอบ้าง ที่ลำตัวบ้าง เว้นแต่ในกรณีเป็นสตรีก็จะเอาหยวกกล้วยพาดไปยังจุดที่เจ็บปวด แล้วท่านก็เหยียบท่อนกล้วยที่ไกลออกมาจากตัวของผู้เจ็บ จึงเข้าใจได้ว่านั่นเป็นลักษณาการรักษาฝีภายในกายหรือที่ปัจจุบันนี้เรียกว่าโรคมะเร็งนั่นเอง เหตุนี้ผมจึงคาดหมายว่าภูมิธรรมของพระอาจารย์ที่บ้านนอกก็สูงล้ำเป็นอย่างยิ่ง

แต่ในยามเมื่อน้อยผมหาได้สนใจในวิธีการรักษาความเจ็บป่วยของผู้คนเท่าใดไม่ เพราะมัวแต่สนใจในปรากฏการณ์บางอย่างที่ประหลาดมหัศจรรย์ ทั้งที่ผมเห็นเองบ้าง ทั้งที่พระเณรหรือศิษย์วัดรุ่นพี่เล่าให้ฟังบ้าง

เฉพาะที่เห็นเองก็คือการเดินทางกลับจากหมู่บ้านไปยังวัด เดินตามกันอยู่ดีๆ แต่พอลับพุ่มไม้พระอาจารย์ก็หายไปแล้ว พอเดินมาถึงวัดก็ปรากฏว่าพระอาจารย์มาถึงวัดก่อนหน้าตั้งนานแล้ว เหตุการณ์แบบนี้ทั้งผม ทั้งพระเณรและศิษย์วัดอื่นๆ รู้เห็นเป็นปกติทั่วไป

แต่ที่ได้ฟังจากคำเล่าจากพระและเณรก็คือหลายครั้งหลายหนที่พระอาจารย์กลับจากบิณฑบาตหรือกลับจากรับกิจนิมนต์โดยทางเรือ ซึ่งปกติพระอาจารย์จะนั่งอยู่กลางลำเรือเพรียวลำเล็ก ส่วนเด็กวัดหรือพระเณรจะนั่งท้ายเรือ บางครั้งก็มีพระเณรนั่งอยู่ที่หัวเรืออีกรูปหนึ่งช่วยกันพายเรือกลับวัด เวลาขากลับพอลับตาชุมชนพระอาจารย์ก็มักที่จะบอกให้พระเณรและเด็กวัดซึ่งพายเรือให้หลับตาลง เพียงครู่หนึ่งลืมตาขึ้นเรือก็มาถึงท่าหน้าวัดแล้ว

ระยะทางจากชุมชนที่ไปบิณฑบาตหรือรับกิจนิมนต์ค่อนข้างห่างไกลจากวัด ยิ่งเวลากลางคืนจะมืดสนิทและในลำคลองนั้นยังมีจระเข้ชุกชุมอีกด้วย.

โปรดติดตามตอนที่ 28 “อานาปานสติวิหาร” ในวันศุกร์ที่ 14 กรกฎาคม 2549
กำลังโหลดความคิดเห็น