20 กว่าปีก่อน พ.อ.ประจักษ์ สว่างจิตร นายทหารแกนนำกลุ่มยังเติร์กหรือ จปร.7 ผู้ล่วงลับไปแล้วเคยเล่าให้ฟังสั้นๆ สรุปความได้ว่า...
ค่ำวันที่ 31 มี.ค.2524 ตอนที่ท่าน (พ.อ.ประจักษ์)ไปเรียนให้พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ( ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และ (ผบ.ทบ.) ทราบว่าคณะทหารซึ่งนำโดยกลุ่มยังเติร์กได้ตัดสินใจเด็ดขาดแล้วว่าจะทำการปฏิวัติยึดอำนาจตอนเช้าวันรุ่งขึ้น (1 เม.ย.24) พล.อ.เปรมได้นำพ.อ.ประจักษ์เดินออกกำลังกายรอบบ้านสี่เสาเทเวศร์ 2- 3 รอบ..
ระหว่างเดินพ.อ.ประจักษ์เรียน พล.อ.เปรมว่ามีความจำเป็นที่จะต้องจัดการกับทุจริตคอร์รัปชัน และพัฒนาประเทศใหม่...พล.อ.เปรมถามทำนองว่าจะพัฒนาบ้านเมืองแนวทางไหน อย่างไร ตอนหนึ่งพ.อ.ประจักษ์บอกว่าตัวอย่างที่เกาหลีใต้ กรณีโรงเรียนเซมาเอิลอุนดอง น่าสนใจ...
วอล์กกิ้งรอบสุดท้าย..พล.อ.เปรมบอกว่า...ป๋าสัญญากับประชาชนไว้แล้วว่าจะปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย...พ.อ.ประจักษ์บอกว่าได้สั่งเคลื่อนกำลังทหารต่างจังหวัดเข้ากรุงเทพฯ แล้ว ขอให้ป๋าช่วยรับตำแหน่งหัวหน้าคณะปฏิวัติ...ยังเติร์กปฏิวัติเพื่อป๋า..ป๋าเป็นนายกฯต่อไปแน่นอน..
เมื่อพล.อ.เปรมเข้าไปในบ้าน ไม่นานก็ออกมาและขี้นรถเดินทางไปยังพระตำหนักจิตรลดารโหฐาน...
เพราะ “ป๋า” ปฏิเสธ ยังเติร์กจึงบ่ายหน้าไปขอให้พล.อ.สัณห์ จิตรปฏิมา ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งรองผบ.ทบ. เป็นหัวหน้าคณะปฏิวัติ และกลุ่มยังเติร์กมอบให้พ.อ.มนูญ รูปขจร (ชื่อ-ยศ ขณะนั้น) เป็นเลขาธิการคณะปฏิวัติ...
...............................
ครับ ก็อย่างที่ท่านผู้อ่านส่วนใหญ่ ทราบแล้วว่า แม้จะมีกำลังถึง 42 กองพัน แต่รัฐประหาร 1 -3 เม.ย.24ของยังเติร์กจบลงด้วยความพ่ายแพ้ จึงเรียกกันว่า “กบฏเมษาฮาวาย”
เหตุที่ผมหยิบยกเกร็ดข่าว เรื่องราวประวัติศาสตร์ทางการเมือง การทหารฉากนี้มาเล่าสู่กันฟัง เรียนตามตรงว่าไม่มีอะไรมากไปกว่า ผมกำลังจะพูดถึงเรื่องร้อนที่อยู่ในกระแส....
“ผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ...” ที่พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี พูดถึงโดย กล่าวหาว่า “เข้ามาวุ่นวายองค์กรที่มีในระบบรัฐธรรมนูญมากไป มีการไม่เคารพกติกา...” นั่นล่ะครับ...
ใสๆ ตรงไปตรงมา..หลังจากอ่าน - ฟัง สิ่งที่พ.ต.ท.ทักษิณพูดเมื่อวันที่ 29 มิ.ย.ที่ผ่านมาอย่างละเอียดแล้ว “ผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ” ความเห็น ความเชื่อของผมก็คือ พ.ต.ท.ทักษิณหมายถึง... พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์
ย้ำนะครับว่า...นี่คือความเห็น ความเชื่อ...ที่ห้ามกันไม่ได้ ส่วนจริงๆ แล้ว พ.ต.ท.ทักษิณจะหมายถึงบุคคลที่มีสถานภาพสูงกว่า พล.อ.เปรม หรือหมายถึงใครคนอื่นก็สุดแท้แต่....
เมื่อผมเชื่อว่า..พ.ต.ท.ทักษิณหมายถึงพล.อ.เปรม ผมก็ต้องออกมาปกป้อง พล.อ.เปรมว่าท่านเป็นคนดี ซื่อสัตย์สุจริต เคารพกติกา ก็ดูตัวอย่างที่ผมเล่ามาในตอนต้นสิครับ...ขนาดลูกป๋าจะทำปฏิวัติเพื่อป๋า..ท่านก็ยังปฏิเสธ ทั้งๆ ที่ถ้าจะทำก็ชนะอยู่แล้ว...
นอกจากเคารพกติกาประชาธิปไตยแล้ว ที่สำคัญยิ่งก็คือพล.อ.เปรมรู้จักคำว่า “พอ” จึงไม่รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อในปี 2531..
และตำแหน่งรัฐบุรุษ ตำแหน่งประธานองคมนตรี ก็คือคำตอบ คือรางวัลแห่งความดี ความเคารพกติกา ละความจงรักภักดีต่อราชบัลลังก์...
ประสาปุถุชนที้ยังปล่อยวางไม่เป็น..เมื่อผมเชื่อว่าพ.ต.ท.ทักษิณต้องหมายถึงพล.อ.เปรม ผมก็กลุ้มใจต่อไปว่า...แล้วอย่างนี้พล.อ.เปรมท่านจะว่าอย่างไร บรรดา “ลูกป๋า” จะว่าอย่างไร...เพราะถ้าไม่พูดอะไรกันเลยมันอาจจะส่งผล 2 ประการ..
ประการแรก ประสาสังคมไทย ถ้านิ่งเงียบ... ผู้คนบางส่วนอาจคิดว่าสิ่งที่พ.ต.ท.ทักษิณพูดเป็นเรื่องจริง..
ประการที่สอง ความนิ่งเงียบ จะยิ่งทำให้ฝ่ายที่กล่าวหา จาบจ้วงฮึกเหิม นำไปโฆษณาขยายผลให้กับตัวเองในทางบวก..
พูดก็พูดเถอะ เท่าที่เห็นในตอนนี้ บรรดา “ลูกป๋า” ที่ออกมาพูดเรื่องนี้ก็ดูเหมือนจะมีเพียง พล.ร.ท.พะจุณณ์ ตามประทีป หัวหน้าสำนักงานประธานองคมนตรี ที่บอกว่าหากพ.ต.ท.ทักษิณหมายถึงพล.อ.เปรมจริง พ.ต.ท.ทักษิณก็ไม่ใช่ลูกผู้ชาย....
อีกท่านที่ออกมาติงเบาๆ ว่าพ.ต.ท.ทักษิณควรระมัดระวังในคำพูดก็คือ พล.อ.พงศ์เทพ เทศประทีป อดีตเสนาธิการทหารบก
นอกนั้นเงียบกริบ!! จนผิดสังเกต ..เงียบจนผมไม่แน่ใจว่า...ในไม่ช้าไม่นานน่าจะมีปฏิบัติการบางสิ่งบางอย่างเพื่อให้บทเรียนกับใครบางคนหรือเปล่า..!?
แต่ก็นั่นละครับ...ด้วยความเป็นผู้ใหญ่มีวุฒิภาวะ ถ้าจะออกมาชี้แจงหรือตอบโต้ทั้งๆ ที่พ.ต.ท.ทักษิณไม่ได้ระบุชื่อ ก็คงไม่สู้ดีนัก เผลอๆ พวกสามหาวลิ่วล้อผู้มีอำนาจอาจจะนั่งอ้าปากรอสวนอยู่แล้วว่า...ไม่กินปูน อย่าร้อนท้อง...!!
ไม่ว่าจะอย่างไรลึกๆ ผมเชื่อของผมว่า..รายการนี้ต้องมีการให้ “บทเรียน” จะช้าหรือเร็วเท่านั้น..!?
ส่วนในชั้นนี้..ภายใต้ความเชื่อว่าพ.ต.ท.ทักษิณต้องหมายถึงพล.อ.เปรม ก็คงทำได้แต่ส่งกำลังใจให้ป๋าเปรมไปพลาง ๆ..
สำหรับสถานการณ์บ้านเมืองก็ยังคงเดินหน้าสู่ความน่าเป็นห่วงต่อไป...ดูเหมือนว่ายากที่จะเยียวยาด้วยคำว่า “สมานฉันท์” กันแล้ว..
ถ้าเป็นเมื่อ 20 -30 ปีก่อน ก็น่าจะพูดได้สถานการณ์บ้านเมืองอย่าง 2 -3 เดือนที่ผ่านมา “ทหาร” คงจะ จัดการไปเรียบร้อยแล้ว แต่ในสมัยนี้ไม่มีใครกล้า อีกทั้งคนส่วนใหญ่ก็ไม่อยากให้เกิด และเพราะว่าบางฝ่ายรู้ว่า..ไม่มีใครกล้าทำปฏิวัตินี่แหละพวกเขาจึงปฏิบัติการรุกคืบในทุกรูปแบบไม่เว้นแม้แต่การดิสเครดิตพล.อ.เเปรม โดยไม่ต้องระบุชื่อ...หรือการวิจารณ์ศาลแบบไม่เกรงหน้าอินทร์หน้าพรหม..
ขณะเดียวกันก็ได้ตระเตรียมมวลชน ตระเตรียมกำลังกลไกรัฐ ไว้เผชิญหน้ากับฝ่ายประชาชน ซึ่งขณะนี้มีพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเป็นแกนนำ หากวุ่นวายนักก็พร้อมที่จะให้ทหารของฝ่ายตัวเองเข้าควบคุมอำนาจ...
ในอีกด้านหนึ่งก็ควบคุมกำหนดสถานการณ์ให้ไปสู่การเลือกตั้ง ภายใต้คำกว่า “กติกา” และการ “รักษาระบอบประชาธิปไตย” โดยที่ยังไม่มีการเปลี่ยนตัว กกต.ตามที่ศาลขอร้องตั้งแต่วันที่ 28 เม.ย.49 หลังพระราชดำรัสวันที่ 25 เม.ย.49 แต่อย่างใด
จากวันนี้มองไปข้างหน้าเห็นแต่ความยุ่งเหยิง...ซึ่งถ้าถึงวันนั้น ก็ได้แต่ภาวนาขอให้ดอกพิกุลร่วงจากปากป๋าเปรมของเรา ...
“กลับบ้านเถอะลูก...กลับบ้านเถอะแม้ว..”
ค่ำวันที่ 31 มี.ค.2524 ตอนที่ท่าน (พ.อ.ประจักษ์)ไปเรียนให้พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ( ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และ (ผบ.ทบ.) ทราบว่าคณะทหารซึ่งนำโดยกลุ่มยังเติร์กได้ตัดสินใจเด็ดขาดแล้วว่าจะทำการปฏิวัติยึดอำนาจตอนเช้าวันรุ่งขึ้น (1 เม.ย.24) พล.อ.เปรมได้นำพ.อ.ประจักษ์เดินออกกำลังกายรอบบ้านสี่เสาเทเวศร์ 2- 3 รอบ..
ระหว่างเดินพ.อ.ประจักษ์เรียน พล.อ.เปรมว่ามีความจำเป็นที่จะต้องจัดการกับทุจริตคอร์รัปชัน และพัฒนาประเทศใหม่...พล.อ.เปรมถามทำนองว่าจะพัฒนาบ้านเมืองแนวทางไหน อย่างไร ตอนหนึ่งพ.อ.ประจักษ์บอกว่าตัวอย่างที่เกาหลีใต้ กรณีโรงเรียนเซมาเอิลอุนดอง น่าสนใจ...
วอล์กกิ้งรอบสุดท้าย..พล.อ.เปรมบอกว่า...ป๋าสัญญากับประชาชนไว้แล้วว่าจะปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย...พ.อ.ประจักษ์บอกว่าได้สั่งเคลื่อนกำลังทหารต่างจังหวัดเข้ากรุงเทพฯ แล้ว ขอให้ป๋าช่วยรับตำแหน่งหัวหน้าคณะปฏิวัติ...ยังเติร์กปฏิวัติเพื่อป๋า..ป๋าเป็นนายกฯต่อไปแน่นอน..
เมื่อพล.อ.เปรมเข้าไปในบ้าน ไม่นานก็ออกมาและขี้นรถเดินทางไปยังพระตำหนักจิตรลดารโหฐาน...
เพราะ “ป๋า” ปฏิเสธ ยังเติร์กจึงบ่ายหน้าไปขอให้พล.อ.สัณห์ จิตรปฏิมา ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งรองผบ.ทบ. เป็นหัวหน้าคณะปฏิวัติ และกลุ่มยังเติร์กมอบให้พ.อ.มนูญ รูปขจร (ชื่อ-ยศ ขณะนั้น) เป็นเลขาธิการคณะปฏิวัติ...
...............................
ครับ ก็อย่างที่ท่านผู้อ่านส่วนใหญ่ ทราบแล้วว่า แม้จะมีกำลังถึง 42 กองพัน แต่รัฐประหาร 1 -3 เม.ย.24ของยังเติร์กจบลงด้วยความพ่ายแพ้ จึงเรียกกันว่า “กบฏเมษาฮาวาย”
เหตุที่ผมหยิบยกเกร็ดข่าว เรื่องราวประวัติศาสตร์ทางการเมือง การทหารฉากนี้มาเล่าสู่กันฟัง เรียนตามตรงว่าไม่มีอะไรมากไปกว่า ผมกำลังจะพูดถึงเรื่องร้อนที่อยู่ในกระแส....
“ผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ...” ที่พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี พูดถึงโดย กล่าวหาว่า “เข้ามาวุ่นวายองค์กรที่มีในระบบรัฐธรรมนูญมากไป มีการไม่เคารพกติกา...” นั่นล่ะครับ...
ใสๆ ตรงไปตรงมา..หลังจากอ่าน - ฟัง สิ่งที่พ.ต.ท.ทักษิณพูดเมื่อวันที่ 29 มิ.ย.ที่ผ่านมาอย่างละเอียดแล้ว “ผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ” ความเห็น ความเชื่อของผมก็คือ พ.ต.ท.ทักษิณหมายถึง... พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์
ย้ำนะครับว่า...นี่คือความเห็น ความเชื่อ...ที่ห้ามกันไม่ได้ ส่วนจริงๆ แล้ว พ.ต.ท.ทักษิณจะหมายถึงบุคคลที่มีสถานภาพสูงกว่า พล.อ.เปรม หรือหมายถึงใครคนอื่นก็สุดแท้แต่....
เมื่อผมเชื่อว่า..พ.ต.ท.ทักษิณหมายถึงพล.อ.เปรม ผมก็ต้องออกมาปกป้อง พล.อ.เปรมว่าท่านเป็นคนดี ซื่อสัตย์สุจริต เคารพกติกา ก็ดูตัวอย่างที่ผมเล่ามาในตอนต้นสิครับ...ขนาดลูกป๋าจะทำปฏิวัติเพื่อป๋า..ท่านก็ยังปฏิเสธ ทั้งๆ ที่ถ้าจะทำก็ชนะอยู่แล้ว...
นอกจากเคารพกติกาประชาธิปไตยแล้ว ที่สำคัญยิ่งก็คือพล.อ.เปรมรู้จักคำว่า “พอ” จึงไม่รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อในปี 2531..
และตำแหน่งรัฐบุรุษ ตำแหน่งประธานองคมนตรี ก็คือคำตอบ คือรางวัลแห่งความดี ความเคารพกติกา ละความจงรักภักดีต่อราชบัลลังก์...
ประสาปุถุชนที้ยังปล่อยวางไม่เป็น..เมื่อผมเชื่อว่าพ.ต.ท.ทักษิณต้องหมายถึงพล.อ.เปรม ผมก็กลุ้มใจต่อไปว่า...แล้วอย่างนี้พล.อ.เปรมท่านจะว่าอย่างไร บรรดา “ลูกป๋า” จะว่าอย่างไร...เพราะถ้าไม่พูดอะไรกันเลยมันอาจจะส่งผล 2 ประการ..
ประการแรก ประสาสังคมไทย ถ้านิ่งเงียบ... ผู้คนบางส่วนอาจคิดว่าสิ่งที่พ.ต.ท.ทักษิณพูดเป็นเรื่องจริง..
ประการที่สอง ความนิ่งเงียบ จะยิ่งทำให้ฝ่ายที่กล่าวหา จาบจ้วงฮึกเหิม นำไปโฆษณาขยายผลให้กับตัวเองในทางบวก..
พูดก็พูดเถอะ เท่าที่เห็นในตอนนี้ บรรดา “ลูกป๋า” ที่ออกมาพูดเรื่องนี้ก็ดูเหมือนจะมีเพียง พล.ร.ท.พะจุณณ์ ตามประทีป หัวหน้าสำนักงานประธานองคมนตรี ที่บอกว่าหากพ.ต.ท.ทักษิณหมายถึงพล.อ.เปรมจริง พ.ต.ท.ทักษิณก็ไม่ใช่ลูกผู้ชาย....
อีกท่านที่ออกมาติงเบาๆ ว่าพ.ต.ท.ทักษิณควรระมัดระวังในคำพูดก็คือ พล.อ.พงศ์เทพ เทศประทีป อดีตเสนาธิการทหารบก
นอกนั้นเงียบกริบ!! จนผิดสังเกต ..เงียบจนผมไม่แน่ใจว่า...ในไม่ช้าไม่นานน่าจะมีปฏิบัติการบางสิ่งบางอย่างเพื่อให้บทเรียนกับใครบางคนหรือเปล่า..!?
แต่ก็นั่นละครับ...ด้วยความเป็นผู้ใหญ่มีวุฒิภาวะ ถ้าจะออกมาชี้แจงหรือตอบโต้ทั้งๆ ที่พ.ต.ท.ทักษิณไม่ได้ระบุชื่อ ก็คงไม่สู้ดีนัก เผลอๆ พวกสามหาวลิ่วล้อผู้มีอำนาจอาจจะนั่งอ้าปากรอสวนอยู่แล้วว่า...ไม่กินปูน อย่าร้อนท้อง...!!
ไม่ว่าจะอย่างไรลึกๆ ผมเชื่อของผมว่า..รายการนี้ต้องมีการให้ “บทเรียน” จะช้าหรือเร็วเท่านั้น..!?
ส่วนในชั้นนี้..ภายใต้ความเชื่อว่าพ.ต.ท.ทักษิณต้องหมายถึงพล.อ.เปรม ก็คงทำได้แต่ส่งกำลังใจให้ป๋าเปรมไปพลาง ๆ..
สำหรับสถานการณ์บ้านเมืองก็ยังคงเดินหน้าสู่ความน่าเป็นห่วงต่อไป...ดูเหมือนว่ายากที่จะเยียวยาด้วยคำว่า “สมานฉันท์” กันแล้ว..
ถ้าเป็นเมื่อ 20 -30 ปีก่อน ก็น่าจะพูดได้สถานการณ์บ้านเมืองอย่าง 2 -3 เดือนที่ผ่านมา “ทหาร” คงจะ จัดการไปเรียบร้อยแล้ว แต่ในสมัยนี้ไม่มีใครกล้า อีกทั้งคนส่วนใหญ่ก็ไม่อยากให้เกิด และเพราะว่าบางฝ่ายรู้ว่า..ไม่มีใครกล้าทำปฏิวัตินี่แหละพวกเขาจึงปฏิบัติการรุกคืบในทุกรูปแบบไม่เว้นแม้แต่การดิสเครดิตพล.อ.เเปรม โดยไม่ต้องระบุชื่อ...หรือการวิจารณ์ศาลแบบไม่เกรงหน้าอินทร์หน้าพรหม..
ขณะเดียวกันก็ได้ตระเตรียมมวลชน ตระเตรียมกำลังกลไกรัฐ ไว้เผชิญหน้ากับฝ่ายประชาชน ซึ่งขณะนี้มีพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเป็นแกนนำ หากวุ่นวายนักก็พร้อมที่จะให้ทหารของฝ่ายตัวเองเข้าควบคุมอำนาจ...
ในอีกด้านหนึ่งก็ควบคุมกำหนดสถานการณ์ให้ไปสู่การเลือกตั้ง ภายใต้คำกว่า “กติกา” และการ “รักษาระบอบประชาธิปไตย” โดยที่ยังไม่มีการเปลี่ยนตัว กกต.ตามที่ศาลขอร้องตั้งแต่วันที่ 28 เม.ย.49 หลังพระราชดำรัสวันที่ 25 เม.ย.49 แต่อย่างใด
จากวันนี้มองไปข้างหน้าเห็นแต่ความยุ่งเหยิง...ซึ่งถ้าถึงวันนั้น ก็ได้แต่ภาวนาขอให้ดอกพิกุลร่วงจากปากป๋าเปรมของเรา ...
“กลับบ้านเถอะลูก...กลับบ้านเถอะแม้ว..”