xs
xsm
sm
md
lg

อริยชนยกจุดยืน จิต วิญญาณ ปัญญา ให้สูงส่งเพื่อมนุษยชาติ

เผยแพร่:   โดย: ป.เพชรอริยะ

พระพุทธเจ้า ได้ตรัสรู้ธรรมอันลึกซึ้งละเอียดสุขุมคัมภีรภาพ ยากแก่การเข้าใจของเวไนยสัตว์ ทรงเปรียบเทียบอุปนิสัยของเวไนยสัตว์กับดอกบัว 4 เหล่า

(1) อุคฆฏิตัญญู คือผู้มีปัญญามากเข้าใจในเร็วพลัน เพียงยกหัวข้อธรรมขึ้นแสดงก็ตรัสรู้ได้ เปรียบดังดอกบัวที่โผล่พ้นน้ำแล้ว พอถูกแสงอาทิตย์ก็เบ่งบานทันที

(2) วิปจิตัญญู คือ ผู้รู้เข้าใจได้ต่อเมื่อท่านอธิบายขยายอรรถธรรมจึงรู้แจ้ง เปรียบดังดอกบัวที่โผล่เสมอผิวน้ำ พร้อมจะบานในวันพรุ่ง

(3) เนยยะ คือ ผู้ที่พอจะพร่ำสอนบ่อยๆ จึงจะเข้าใจได้ เปรียบดังดอกบัวที่อยู่ใต้น้ำ พร้อมที่จะบานในวันต่อๆ ไป

(4) ปทปรมะ คือ ผู้อ่อนด้อยปัญญา ไม่สามารถที่จะเข้าใจเห็นแจ้งในธรรม สอนไปก็เพื่อให้เป็นอุปนิสัยปัจจัยในภพต่อๆ ไป เปรียบดังดอกบัวที่มีโรค และยังอยู่ใต้โคลนตม ไม่มีโอกาสขึ้นจะบานได้ ต้องเป็นอาหารเต่าอาหารปลา

นอกจากนี้พระพุทธองค์ตรัสสอนยกจิตให้สูงส่งในหลายๆ มิติ ด้วยสมถะและวิปัสสนาภาวนา (Insight Meditation) เพื่อถ่ายถอนอุปาทาน คือการยึดมั่นถือมั่น หลงผิดว่าชีวิตเป็นอัตตาตัวตน ให้เบาบางลงๆ เป็นลำดับๆ เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน จนกว่าจะเข้าถึง พระนิพพาน ได้แก่

(1) ยกจิตขึ้นจาก กามภพ สู่รูปภพ สู่อรูปภพ แล้วหลุดพ้นสู่ โลกุตตรภพ สามเหลี่ยมซ้ายมือ หมายถึงภูมิต่ำมีมาก-สูงมีน้อย ภาพขวา หมายถึงสภาวะจิตสูง ทัศนะกว้าง

0. นิพพาน จะพ้นภาวะ
1. อรูปภพ
2. รูปภพ
3. กามภพ

(2) ยกจิตขึ้นจากอบายภูมิ 4 มนุษย์ 1 เทวดา 6 รูปพรหม 16 อรูปพรหม 4 แล้วหลุดพ้นสิ้นอาสวะกิเลส สู่ พระอรหันต์

0. พระอรหันต์ จะพ้นภาวะ
1. อรูปพรหม 4
2. รูปพรหม 16
3. เทวดา 6
4. มนุษย์ 1
5. อบายภูมิ 4

(3) ยกจิตจากปุถุชน ก้าวกระโดดสู่พระโสดาบัน ค่อยเป็นค่อยไปสู่พระสกทาคามี แล้วก้าวกระโดดสู่พระอนาคามี จากนั้นก้าวกระโดดอีกที สู่ พระอรหันต์

0. พระอรหันต์ จะพ้นภาวะ
1. พระอนาคามี
2. พระสกทาคามี
3. พระโสดาบัน
4. ปุถุชน

(4) ละสังโยชน์ 10 ได้แก่ สักกายทิฐิ, วิจิกิจฉา, สีลัพพตปรามาส, กามราคะ, ปฏิฆะ, รูปราคะ, อรูปราคะ, มานะ, อุทธัจจะ, อวิชชา พ้นจากนี้ก็เข้าสู่พระอรหันต์ พบสภาวะนิพพาน, ธรรมาธิปไตย สมดังอุทานธรรมที่ว่า “ละสังโยชน์ได้น้อย กิเลสมาก ละสังโยชน์ได้มาก กิเลสน้อย ละสังโยชน์เต็มร้อย สิ้นอุปาทาน สัมมาวิมุตติ สัมมาญาณรู้แจ้งธรรมทั้งองค์รวม”

สังขารทั้งปวงเป็นของไม่เที่ยงแปรปรวนไปตามกฎไตรลักษณ์ หรือเรียกว่าสภาวะสังขตธรรม เมื่อเรายึดมั่นถือมั่นในสังขารอันเป็นมายา แต่หลงว่าเป็นจริงจึงเป็นทุกข์ตามกฎไตรลักษณ์ แต่ถ้าละวางสิ่งเป็นมายา คือกาย กับจิตปรุงแต่ง ได้แล้ว ก็จะพบของจริง คือพระนิพพาน หรือสภาวะนิโรธธาตุ จะแจ้งสภาวธรรมองค์รวมทั้งด้านอสังขตธรรมและสังขตธรรม และจะไม่ยึดมั่นถือมั่นติดในธรรมทั้งสองด้าน

สภาวะภายในอาจจะดูยากสำหรับปุถุชนทั่วไป แต่ถ้าจะดูง่ายๆ ก็ดูที่ความมุ่งมั่นและจุดมุ่งหมายในการเรียน ทำหน้าที่ และภารกิจเพื่อแผ่นดิน ดังที่ได้กล่าวว่า “เรียนอะไรก็ได้ (ตามที่ตนถนัด) ทำหน้าที่อะไรก็ได้ (ตามที่ตนถนัด) แต่มีจุดหมายเพื่อประเทศชาติ” หรือเพื่อมวลมนุษยชาติ เจริญรอยตามพระศาสดา

เปรียบเทียบคนทั่วไปที่ไม่ได้ยกจุดยืน, จิต, วิญญาณ กับผู้ที่ยกจุดยืน จิตฯ แล้ว
สภาวะจิตปุถุชน เป็นไปตามสัญชาตญาณสภาวะจิตอริยชน เจริญเมตตาแบบอย่างพระพุทธเจ้า

0. เพื่อมวลมนุษยชาติ
1. เพื่อชาติ
2. เพื่อจังหวัด
3. เพื่ออำเภอ
4. เพื่อตำบล
5. เพื่อหมู่บ้าน
6. เพื่อครอบครัว
7. เพื่อตนเอง

สภาวะจิตปุถุชน เป็นไปตามสัญชาตญาณสภาวะจิตอริยชน เจริญรอยตามพระพุทธเจ้า
เรียนทำหน้าที่จุดยืนอัตตาแบบสัญชาตญาณ

เรียนทำหน้าที่ดำเนินชีวิตตามวิถีธรรม
เห็นแก่ตัว อุปมา กบอยู่ใต้กะลาอุปมา กบอยู่ใต้ท้องฟ้า
เพื่อครอบครัว อุปมา กบอยู่ใต้ฝาชีเพื่อสังคมทุกระดับ สังคมดี ครอบครัวก็จะดีด้วย
อุปมา ตัวหมากรุก, เป็นผู้ถูกกระทำอุปมา ผู้เล่นหมากรุก, เป็นผู้กระทำ
อุปมา ต้นไม้ต้นเดียวอุปมา เจ้าของสวน
อุปมา บ้านหลังเดียวอุปมา นั่งอยู่บนดาวเทียมเหนือประเทศไทย
ดำเนินชีวิตตามสัญชาตญาณดำเนินชีวิตอุทิศตน เข้มแข็งแบบอย่างพระโพธิสัตว์
ถืออัตตาตัวตนเป็นศูนย์กลางถืออุดมการณ์ชาติ ถือธรรมาธิปไตยเป็นศูนย์กลาง
มีจำนวนมากประเทศชาติอ่อนแอไปไม่รอดมีจำนวนมากประเทศชาติก้าวหน้ารุ่งเรืองสันติสุข
เป็นบ่อเกิดของความขัดแย้ง แย่งชิงเป็นหลักประกันค้ำยันสันติภาพโลก
เป็นผู้ตาม เป็นทาส กิเลสครอบงำเป็นผู้นำ ทำหน้าที่ภารกิจอยู่เหนือกิเลส

แนวคิดดังกล่าวนี้ คือการบำเพ็ญจิตคิดให้ก่อน หรือแผ่เมตตาจิตออกไปคิดสร้างสรรค์เพื่อประเทศชาติ แล้วรับผลภายหลัง เจริญรอยตามพระพุทธเจ้า พระองค์ทรงแผ่พระเมตตาเพื่อมวลมนุษยชาติ ทำให้สาวกศรัทธาต่อพระองค์ ทำให้พระพุทธศาสนาดำรงอยู่ได้อย่างมั่นคงยาวนานถึง 2,500 กว่าปีแล้ว

เช่นเดียวกับ พระอริยพุทธสาวก ออกบิณฑบาตแผ่เมตตาโปรดสัตว์ แล้วได้รับปัจจัย 4 ตามมีตามได้ คือให้ก่อน (แผ่เมตตาออกไป) ก่อนรับปัจจัย 4 เป็นกริยาของพุทธสาวกที่ใจบริสุทธิ์ปราศจากกิเลส ตัณหา อุปาทาน

พระเจ้าอยู่หัว ทรงแผ่พระเมตตาต่อพสกนิกร ด้วยโครงการพระราชดำริมากกว่า 3,000 โครงการ เป็นปัจจัยให้พสกนิกรซาบซึ้งในพระองค์ ต่างจงรักภักดีต่อพระองค์ เป็นปัจจัยให้สถาบันพระมหากษัตริย์ไทยมีความเข็มแข็งและมั่นคง

ทั้งนี้จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว การบำเพ็ญจิตด้วยการแผ่เมตตา “เรียนอะไรก็ได้ ทำหน้าอะไรก็ได้ สร้างสรรค์อะไรก็ได้ ให้มีจุดมุ่งหมายเพื่อประเทศชาติ” ขอให้พูดกับตัวเองบ่อยๆ ว่า “เราจะตั้งใจเรียนและทำหน้าที่อุทิศตนเพื่อประเทศชาติ” จากนั้นไม่นานท่านจะได้รับความมหัศจรรย์เกิดขึ้นแก่ใจตนเอง จะรู้สึกสบายใจ อิ่มใจ มีความรับผิดชอบมากขึ้น ขยันมากขึ้น อดทนมากขึ้น ไม่ท้อถอย ไม่ห่อเหี่ยว ไม่สิ้นหวัง มีพลังใจ มั่นใจมากขึ้น ไหวพริบดีขึ้น ฯลฯ

ทั้งนี้เป็นเพราะธรรมนำหน้าแผ่เมตตาจิตคิดสร้างสรรค์ตั้งปณิธานปรารถนาให้เพื่อนร่วมเกิด แก่ เจ็บตายเป็นสุข และเราจะได้รับผลเป็นความสุขเช่นกัน ส่วนกายเป็นบ่าวก็ต้องมาทีหลัง กายก็คือรูป หรือวัตถุ ทรัพย์สินเงินทอง เกียรติยศ ชื่อเสียง ต้องมาทีหลัง จิตที่ให้หรือจาคะนั้น เมื่อตั้งปณิธานแล้วควรพิจารณาบ่อยๆ ทำบ่อยๆ จนเป็นอุปนิสัย จะเป็นปัจจัยให้จิตดี เมื่อจิตดีจะเป็นปัจจัยให้คิดดี...พูดดี...ทำดี...หน้าที่การงานก้าวหน้า...ความเพียรดี...มีสติระลึกดี...มีความตั้งใจมั่นดี ในท้ายที่สุดจะประสบความสำเร็จในชีวิตตามสมควรแก่ธรรม

แต่ถ้าเป็นพระภิกษุ จะเป็นปัจจัยให้รู้แจ้งปรมัตถธรรม สู่สัมมาวิมุตติ และสัมมาญาณ ได้ในที่สุด ซึ่งตรงกันข้ามกับวิธีคิดและจุดยืนของปุถุชน ที่คิดอยากได้จะเอาก่อน แล้วให้ทีหลัง เป็นการเอากิเลส ตัณหา นำหน้าการดำเนินชีวิตด้วยความอยากได้ก่อน จะเป็นการพอกพูนกิเลส ตัณหา อุปาทานให้มากขึ้นๆ นั่นเอง

มั่นใจว่าท่านผู้อ่านที่ต้องการแสวงหาความถูกต้องโดยธรรม ปรับปรุงวิธีคิดและการดำเนินชีวิตให้สอดคล้องเป็นหนึ่งเดียวกับวิถีธรรมหรือกฎธรรมชาติ เพื่อประโยชน์ในทางธรรมอันยิ่งแก่ตนเอง ประเทศชาติ และมนุษยชาติสืบไป ตามแบบอย่างพระโพธิสัตว์และพระอรหันตสาวกทั้งหลาย เจริญรอยตามองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต่างก็มีภารกิจแก้ไขเหตุวิกฤตบุคคล ประเทศชาติ และสันติภาพโลก สืบไป
กำลังโหลดความคิดเห็น