xs
xsm
sm
md
lg

ทักษิณถ่มน้ำลายรดฟ้า

เผยแพร่:   โดย: ปราโมทย์ นาครทรรพ

"เฮ้ย อะไรกันโว้ย ทักษิณพล่ามอะไร" สายโทรศัพท์ผมแทบจะไหม้ หูผมแทบจะแตก หลายคนไม่เชื่อหู นี่หรือนายกรัฐมนตรี

ถ้าถือตามหลักกฎหมาย หลักรัฐธรรมนูญ หลักความชอบธรรมแบบประชาธิป ไตยที่แท้จริง ทักษิณ หาใช่นายกรัฐมนตรีไม่ เป็นผู้ฉวยโอกาสยึดอำนาจ โดยอาศัยช่องว่าง และความล้มเหลวของระบบการปกครองไทย

วิธีเจริญสมาธิ เวลาหงุดหงิดของผม คือ เขียนหรืออ่านกวีนิพนธ์ นึกถึงโคลงเก่าบทหนึ่ง จำคนแต่งไม่ได้ จำความได้ครึ่งเดียวว่า

ถ่มถุยเขฬะขึ้น นภา    กาศเอย
กลับตกต้องเกศา      แปดเปื้อน


เลยต้องเขียนต่อเอง สำนึกอยากให้ชาวบ้านเข้าใจง่ายๆ ได้โคลงปิดท้ายตอนจบหนึ่งบท

เขาว่า สำเนียงส่อภาษา กิริยาส่อตระกูล คำกล่าวของทักษิณต่อข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ที่ทำเนียบเมื่อบ่ายวันที่ 29 มิถุนายนนี้ หากไม่ถึงระดับสุนทรพจน์ของนายกรัฐมนตรี คำพูดของทักษิณมีลักษณะแบ่งได้เป็น 4 คือ (1) ถ่มน้ำลายรดฟ้า (2) ว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเอง (3) เป็นการกระพือข่าวลือ และยุให้แตก กับ (4)ไม่เข้าใจและไม่เป็นประชาธิปไตย

สุนทรพจน์ทางการของนายกรัฐมนตรีต้องมีแบบฉบับ ชัดเจน สุภาพ เป็นผู้ดี และสร้างสรรค์จรรโลงใจ การพูดถึงปัญหา ต้องมีภูมิหลัง ข้อเท็จจริง( แบบที่ทักษิณอุตส่าห์เอามาอ้างคือ "ทิ้งแฟกต์ และ ฟิกเกอร์ ทิ้งความจริง ทิ้งตัวเลข ทิ้งการวิจัย" ) และมีบทวิเคราะห์ที่เป็นรูปธรรม พร้อมกับทางแก้ไขที่นำไปปฏิบัติได้
 วิชาการต้องถูกต้องอ้างอิงได้ มิใช่ฉาบฉวยตื้นเขิน หากจะเสนอความคิดใหม่ก็ไม่ควรเพ้อเจ้อโอ้อวด ต้องถ่อมตัวและแฝงอำนาจทางศีลธรรม ไม่เหมือนหัวหน้าอั้งยี่ปิดประตูพูดกับลูกสมุน

ทักษิณเริ่มว่า "เรื่องยุ่งๆ ที่เกิดขึ้นในวันนี้ เพราะว่าหลายคนไม่รู้หน้าที่ของตัวเอง ไม่ทำหน้าที่ของตัวเอง" ยกบัญญัติรัฐธรรมนูญมาตรา 70 เรื่องหน้าที่ข้าราชการประจำมาอ้าง ความจริง เป็นการตีวัวกระทบคราด เพื่อส่งลูกต่อ

"เอาให้ชัดอีกข้อหนึ่งก็คือมาตรา 215 บอกว่ากรณีรัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่งอันเกิดจากการยุบสภาก็ดี หรือหมดวาระก็ดีต้องอยู่ในตำแหน่งเพื่อปฏิบัติหน้าที่จนกว่าคณะรัฐมนตรีที่ตั้งขึ้นใหม่จะเข้ารับหน้าที่ เน้นรัฐธรรมนูญใช้คำว่าต้อง เพราะฉะนั้นไล่เราไม่ได้ เพราะต้องอยู่ นี่คือระบอบประชาธิปไตย"

ข้าราชการประจำต้องปฎิบัติตามระเบียบบริหารราชการแผ่นดินอยู่แล้ว จะไม่มีความยุ่งยากอึดอัด หากฝ่ายการเมืองไม่ไปสั่งให้เขาทำผิดหรือเกินหน้าที่ เป็นต้นว่า ให้ไปเกณฑ์คนมาต่อต้านพันธมิตร ให้จัดตั้งชมรมคนรักทักษิณ หรือให้เอาเงินงบผู้ว่าฯซีอีโอไปช่วยหาเสียงวุฒิฯ

นายกรัฐมนตรีก็ต้องปฏิบัติตามระเบียบบริหารราชการเช่นกัน เรื่องการ
เข้าออกและมอบหมายหน้าที่ต่างๆ ก็ด้วย ทักษิณถูกฟ้องหลายคดี ว่าทำผิดจนขาดสถานภาพไปแล้ว จึงหวาดหวั่นไม่มั่นใจ แข็งนอกอ่อนใน เลยเรียกข้าราชการมาแสดงอำนาจ ยกเอามาตรา 215 มาอ้าง ว่า ต้องอยู่ ใครมาไล่ไม่ได้


ทักษิณลืมความจริงไป 2 ข้อว่า (1) แท้ที่จริงทักษิณถูกขับไล่มาตั้งแต่ก่อนยุบสภาแล้ว และที่ทักษิณยุบสภาก็เพราะต้องการหลบหนีการขับไล่ ที่ถูกขับไล่ ก็เพราะหลีกเลี่ยงไม่ยอมตอบข้อกล่าวหาว่าปฏิบัติหน้าที่ทุจริตและบกพร่อง และ(2) เมื่ออยู่ในตำแหน่งรักษาการเพื่อปฏิบัติหน้าที่ นอกจากทักษิณจะหลบเลี่ยงการปฏิบัติหน้าที่ตาม ม. 215 ด้วยการหนีไปเที่ยวพักผ่อนและชอปปิงเมืองนอก ดร.วิษณุ เครืองาม อดีตรองนายกรัฐมนตรี สงสัยว่ารัฐบาลรักษาการอาจจะอยู่ในตำแหน่งนานเกินควร และอาจจะขาดธรรมาภิบาลในบางเรื่องอีกด้วย

พอ บวรศักดิ์ กับ วิษณุ ลาออกไป แทนที่จะสำรวจตนเอง ทักษิณกลับอ้างว่าทั้งคู่ "มาขอลาออก ก็ยังพูดกับผมถึงเรื่องแรงจูงใจที่มีคนมาขอให้ออก" และพูดถึง "เรื่องที่ไม่เป็นประชาธิปไตย" และ "หัวหน้า..ทำให้ระบบขององค์กรของตัวเองเสีย เพื่อที่จะทำตามนโยบาย ผู้ที่ร้องขอบางราย"
หากเรื่องดังกล่าวจริง ทักษิณต้องไม่พูดเป็นปริศนา และต้องจัดการกับ"เรื่องที่ไม่เป็นประชาธิปไตย" มิฉะนั้นจะถือว่าทักษิณไม่ปฏิบัติตามหน้าที่ มีความผิดร้ายแรง

"คนไม่รู้หน้าที่ของตัวเอง ไม่ทำหน้าที่ของตัวเอง" จนกระทั่งปั่นป่วนไปทั้งแผ่นดิน มิใช่ใครที่ไหน ทักษิณนั่นเอง

ทักษิณและนักกฎหมายแกล้งโง่อ่านรัฐธรรมนูญไม่เข้าใจ คำว่า "ต้อง"ในมาตรา 215 ที่ทักษิณนำมากล่าวย้ำนี้เป็นเรื่องต้องควบ หรือต้องทั้งสองอย่าง คือ ต้องอยู่และต้องปฏิบัติหน้าที่ แปลว่าอยู่เฉยๆ ไม่ได้ต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วย และจะหนีไปไหนไม่ปฏิบัติหน้าที่ก็มิได้อีกด้วย

ความจริงใบลาและการมอบหมายหน้าที่นายกรักษาการ ขัดกับระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน เขียนขึ้นอย่างกำกวมและกลับกลอก ทำให้ทักษิณขาดความชอบธรรมที่จะอยู่ในตำแหน่งหรือย้อนกลับมาปฏิบัติหน้าที่อีกโดยสิ้นเชิง สื่อต่างประเทศพากันฉงนว่า ออกไปแล้ว กลับเข้ามาทำงานอีก ออก ๆ เข้า ๆ ตามอำเภอใจได้อย่างไร นี่การปกครองแบบไหน

การอยู่เพื่อปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งของทักษิณเกิดขึ้นตามมาตรา 215 วงเล็บ (2 )คืออายุสภาผู้แทนราษฏรสิ้นสุดลงหรือมีการยุบสภาผู้แทนราษฏร เพราะฉะนั้น ก็ ต้องอยู่ในเงื่อนเวลาที่จะมีการเลือกตั้งตามปกติเท่านั้น ไม่สามารถใช้ได้กับกรณีที่รัฐบาลออก พ.ร.ฎ.เลือกตั้ง และดำเนินการเลือกตั้งโดยมิชอบ อันเป็นเหตุให้เกิดช่องว่างที่ยาวนาน เพื่อจะให้ทักษิณถือเป็นข้ออ้างที่จะอยู่รักษาการโดยไม่มีกำหนด กรณีเช่นนี้จะต้องนำมาตรา 7 มาใช้ควบกับมาตราอื่น ๆ ที่จำเป็น เพื่อแก้ไขวิกฤตอย่างหลีกเลี่ยงมิได้

ทักษิณบอกว่า "การแต่งตั้งโยกย้ายประจำปีก็ต้องทำตามปกติ แต่ปีนี้สำหรับผู้ที่ต้องเข้าขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีหรือต้องมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ จะทำให้เสร็จสิ้นภายในไม่เกินสัปดาห์แรกของเดือนสิงหาคม"

แปลว่าบทบัญญัติมาตรา 215 วรรคเดียวกันกับที่ทักษิณนำมาอ้างไม่ต้องนำมาใช้กระนั้นหรือ นั่นก็คือ "แต่ในกรณีที่พ้นตำแหน่งตาม (๒) จะใช้อำนาจแต่งตั้งหรือย้ายข้าราชการซึ่งมีตำแหน่งหรือเงินเดือนประจำหรือพนักงานของหน่วยงานของรัฐหรือรัฐวิสาหกิจ หรือให้บุคคลดังกล่าวพ้นจากตำแหน่ง มิได้"

ที่ทักษิณยืนยันว่า "เพราะฉะนั้นไล่เราไม่ได้ เพราะต้องอยู่ นี่คือระบอบประชาธิปไตย" มีนัย 3 อย่าง คือ (1) ทักษิณอ้างประชาธิปไตยเฉพาะที่จะเป็นประโยชน์กับตัวเอง (2) ทักษิณไม่แยแสประชาธิปไตยหรือข้อกำหนดของรัฐธรรมนูญที่ขัดประโยชน์ของตนเอง และ (3) ทักษิณไม่เข้าใจประชาธิปไตย

ประชาชนมีสิทธิไล่รัฐบาลได้ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นระบบประธานาธิบดีที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรงและอยู่ในตำแหน่งตามกำหนด เวลาที่ระบุไว้ล่วงหน้าอย่างตายตัว หรือในระบบรัฐสภาซึ่งมิได้ระบุ กำหนดเวลาล่วงหน้าไว้ตายตัว นอกจากการหมดวาระของสภาผู้แทนราษฎร วิธีไล่ให้รัฐบาลออกตามรัฐธรรมนูญและจารีตประชาธิปไตยมีอยู่มากมาย ทักษิณคงจะศึกษาไม่ถึง

นักปราชญ์และอัศวินประชาธิปไตยที่จับได้ว่าทักษิณไม่เข้าใจและไม่เป็นประชาธิปไตย คือ (1) ศาสตราจารย์ดร.ชัยอนันต์ สมุทวณิช นายกราชบัณฑิตสภา และนักรัฐศาสตร์แนวหน้าของเมืองไทย ให้ทักษิณสอบตกความรู้เรื่องประชาธิปไตยคือได้ F (2) คุณอุทัย พิมพ์ใจชน อดีตประธานรัฐสภา อดีตประธานสภาร่างรัฐธรรมนูญ สรุปว่า "ทักษิณไม่ใช่ผู้นำสำหรับระบอบประชาธิปไตย" ไม่เข้าใจบทบาทและไม่ให้ความสำคัญสภา
เมื่อพ้นสมัยอุทัย ทักษิณก็ส่ง โภคิน พลกุล ขึ้นเป็นประธานรัฐสภาต่อ ทำลายจารีตและมารยาทประชาธิปไตยเสียสิ้น ด้วยการลงคะแนนเสียงให้รัฐบาลและเข้าร่วมประชุมพรรคอย่างแข็งขัน ซึ่งในโลกประชาธิปไตยไม่มีที่ไหนเขาทำกัน แสดงว่าผู้กำกับคือทักษิณย่อมไม่รู้มารยาทประชาธิปไตยด้วย

ตัวอย่างความคิดแอนตี้ประชาธิปไตยในคำพูดทักษิณมีอยู่มากมาย หากแพร่หลาย ประชาชนเข้าใจผิดตามไปด้วย จะเป็นอันตราย นั่นก็คือ ทักษิณบอกว่า "ประเทศไทยต้อง การเมืองน้อยๆ" "การเมืองนิ่ง" นี่คือเผด็จการ เพราะประชาธิปไตยต้องส่งเสริมให้มีการเมืองมาก การเมืองที่แข็งขันและการเมืองที่มีเสรีภาพเคลื่อนไหวทุกระดับ

ทักษิณยกตนข่มท่านว่า "วันนี้ปรากฏว่า เกิดผู้รู้ที่ไม่รู้ซะเยอะแยะ ผู้ที่เคลมว่าเป็นผู้รู้ แต่จริงๆ ก็ไม่รู้เยอะแยะ แข่งกันเสนอความคิดของตัวเอง" ที่น่าขำก็คือความรู้ผิดๆ ที่ทักษิณอ้างว่า "มีการไม่เคารพกติกา หรือที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า ไม่ ออบเซิร์ฟ รูล ออฟ ลอว์ ของหลายฝ่าย"
 
ทักษิณคงไม่เข้าใจว่า อำนาจประชาธิปไตย(democratic authority) นั้น มีทั้งที่เป็นอำนาจในทางลบ(negative authority) กับอำนาจในทางบวก (positive authority) อำนาจทางบวกเป็นอำนาจของประชาชนเรียกว่า democratic right หรือสิทธิเสรีภาพในระบอบประชาธิปไตย ส่วนอำนาจในทางลบ คืออำนาจของรัฐบาล(ที่กระเทือนสิทธิเสรีภาพของประชาชน) อำนาจของรัฐบาลจำเป็นจะต้องถูกจำกัดให้อยู่ในขอบเขต หรือพูดง่าย ๆ ว่าจะต้องเป็นไปตามกฎหมาย Rule of Law หรือ Due Process of Law มิใช่ตามอำเภอใจของผู้ปกครอง นึกจะสั่งฆ่าใครก็สั่ง คำว่า Rule of Law หรือ Due Process of Law จึงเป็นคำที่ใช้กับรัฐบาลมิใช่ใช้กับประชาชน

ทักษิณว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเอง อ้างว่าบ้านเมืองยุ่งเพราะหลายฝ่ายไม่รู้จักหน้าที่ ก็ทักษิณนั่นแหละที่ไม่รู้จักหน้าที่ อ้างว่ายุ่งเพราะหลายฝ่ายไม่รักษากติกา ก็ทักษิณและลูกสมุนนั่นแหละไม่รักษากติกา เห็นได้ชัดขึ้น ๆ ตั้งแต่ยุบสภามาจนกระทั่งถึงทุกวันนี้ อ้างว่ายุ่งเพราะข่าวลือ ก็ 4 พันกว่าคำของทักษิณนี่แหละ ข่าวลือเต็มไปหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งข่าวลือคนที่อยากเป็นนายกมาตรา 7 พูดแล้วพูดอีก มีหลักฐานอะไร บางทีก็ปล่อยจากสถานทูตเมืองนอก อ้างว่าพลเอกเปรม พลเอกสุรยุทธ พลากร สุวรรณรัฐ 3 ท่านนี้ กระสันเป็นนายกรัฐมนตรี ใครกันแน่ไม่ยอมออก แถมเมียเคยบอกเสนาะว่าต้องอยู่เต็ม 2 สมัยจึงจะปลอดภัย กลัวอะไร

แต่ที่เลวร้าย สามหาวและจ้วงจาบที่สุด ก็คือการพูดว่า "วันนี้องค์กรนอกรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่ในรัฐธรรมนูญ คือบุคคลซึ่งดูเหมือนมีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ เข้ามาวุ่นวายองค์กรที่มีในระบบรัฐธรรมนูญมากไป" เยี่ยงนี้ระคายเคืองถึงเบื้องยุคลบาท มิใช่แค่พลเอกเปรมหรอก ทักษิณถ่มน้ำลายรดฟ้า

ลูกทั้ง 2 ของผม เกิดและโตเมืองนอก พูดไทยชัดแจ๋ว ไม่เคยมีอังกฤษคำไทยคำเหมือนทักษิณเลย แต่ก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่า ถ่มน้ำลายรดฟ้า คืออะไร

ถ่มน้ำลายรดฟ้า "หมายถึงการคิดร้าย หรือดูหมิ่นบุคคลที่สูงกว่า หรือเป็นที่เคารพของคนทั่วไป มักจะเกิดภัยหรือผลร้ายแก่ตนเองเสมอ การถ่มน้ำลายขึ้นไปในที่สูงเช่นฟ้า น้ำลายนั้นก็ย่อมจะย้อนตกลงมาถูกหน้าตา ของผู้ถ่มเลอะเทอะ อย่างไม่ต้องสงสัย"

สองวันนี้ ผมกินข้าวกับอดีตอธิบดีตำรวจท่านหนึ่ง คุยกันถึงตำรวจหน้าห้องนักการเมืองที่ละทิ้งหน้าที่ไปทำมาหากินจนกระทั่งได้ดี ท่านอธิบดีบอกว่า คน ๆ นี้ไม่เคยเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ จึงไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง ใครขัดใจก็จะชนหมด เวลานี้เขาเชื่อว่าถ้าไม่สู้เขาจะต้องตาย เพราะฉะนั้น เขาตัดสินใจสู้ตาย ไม่ว่าหน้าอินทร์หน้าพรหมเขาก็ไม่กลัว

เราจะต้องระวังให้ดี

    ถ่มน้ำลายรดฟ้า        ทักษิณ
เสมหะก่อนตกดิน          ถูกหน้า
ปากเหม็นห่อนราคิน       ถึงเมฆ
คงจ่อมลงใต้หล้า         ต่ำเตี้ยเดียรัจฉาน


                                 ๒๙ มิถุนายน ๒๕๔๙
กำลังโหลดความคิดเห็น