หัวเรือใหญ่ อายิโนโมะโต๊ะ แหยงพิษเศรษฐกิจ ส่อเค้าชะลอการลงทุนเปิดตัวสินค้าใหม่เหลือเพียง 2-3 ตัวในปีนี้ พร้อมรัดเข็มขัดลดต้นทุนด้านขนส่งและวัตถุดิบ แบกรับภาระแทนผู้บริโภค ล่าสุดคลอด “ซุปดี” เสริมทัพหวังเอาใจแม่บ้านยุคใหม่ครึ่งปีหลัง มั่นใจปีนี้ยังกวาดรายได้เข้ากระเป๋าเพิ่มขึ้นอีก 20 % จากเดิม 20,000 ล้านบาทในปีที่แล้ว
นายพิเชียร คูสมิทธ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อายิโนะโมะโต๊ะ เซลล์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า จากการที่เศรษฐกิจชะลอตัวมาตั้งแต่ช่วงต้นปีนั้น ปรากฏว่าครึ่งปีที่ผ่านมาตลาดเครื่องปรุงรสได้รับผลกระทบบ้างเล็กน้อย ส่งผลให้บริษัทฯต้องปรับแผนลงทุนปีนี้ใหม่ โดยจากเดิมที่บริษัทฯจะมีการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆทั้งในหมวดสินค้าใหม่และที่มีอยู่อย่างน้อย 5-6 รายการนั้น ปีนี้จะเหลือเพียง 2-3 รายการเท่านั้น
อีกทั้งยังมีแผนเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานเพื่อช่วยลดต้นทุนได้อีกทางหนึ่ง หลังจากที่ต้องแบกรับต้นทุนสูงขึ้น 20-30% ตั้งแต่ช่วงปลายปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในเรื่องของการขนส่ง และวัตถุดิบ ที่จะซื้อจากบริษัทในเครือที่มีกว่า 18 บริษัทก่อน รวมไปถึงการตัดสิ่งที่ไม่จำเป็นต่อบริษัทฯออกไป
โดยล่าสุดบริษัทฯได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ในหมวดเครื่องปรุงรส ภายใต้ชื่อ “ซุปดี” มีลักษณะเป็นผงน้ำซุป ที่เหมาะกับการปรุงอาหารประเภทน้ำโดยเฉพาะ วางงบตลาดไว้กว่า 100 ล้านบาทแบ่งเป็น 50% ในส่วนของการโฆษณาและประชาสัมพันธ์ และอีก 50% จะเป็นเรื่องของการส่งเสริมการขายต่างๆ เช่น การแจกสินค้าตัวอย่าง 2 ล้านชิ้นทั่วประเทศ โดยคาดว่าสิ้นปีซุปดีจะมียอดขายกว่า 350 ล้านบาท
จากผลสำรวจของทางเอซีนีลเส็น คาดว่าในปี 2549 นี้ ตลาดเครื่องปรุงรสจะเติบโตจากปีที่ผ่านมา 14% หรือคิดเป็นมูลค่าประมาณ 5,150 ล้านบาท จากหมวดสินค้า 2 กลุ่มใหญ่ คือ 1.เครื่องปรุงรสชนิดผง 70% และเครื่องปรุงน้ำซุป 30% ในขณะที่เครื่องปรุงรสชนิดผงนั้นปีนี้คาดว่าจะ เติบโตขึ้น 15% คิดเป็นมูลค่ากว่า 3,600 ล้านบาท โดยมีรสดีครองแชร์ความเป็นผู้นำในเซกเม้นท์นี้กว่า 88% คิดเป็นมูลค่า 3,150 ล้านบาท เติบโตขึ้น 20%
ส่วนเครื่องปรุงน้ำซุป คาดว่าจะมีมูลค่า 1,550 ล้านบาท และจะมีการเติบโตขึ้น 10% โดยเชื่อว่าซุปดีจะมีแชร์ในเซกเม้นท์นี้ประมาณ 23% หรือประมาณ 350 ล้านบาท
ในขณะที่เมื่อเปรียบเทียบรายได้จากผลิตภัณฑ์ประเภทเครื่องปรุงรสของบริษัทฯกับรายได้จากผลิตภัณฑ์ผงชูรสที่มีกว่า 30%แล้ว ถือได้เครื่องปรุงรสจะสร้างรายได้ประมาณ 15% จากรายได้ของผลิตภัณฑ์ผงชูรส
อย่างไรก็ตามในปีนี้บริษัทฯ คาดว่าจะมีรายได้รวมเติบโตขึ้น 10% จากเดิม 20,000 ล้านบาทจากปีที่ผ่านมา จาก 3 หมวดสินค้าหลัก คือ 1.เครื่องดื่ม เช่น กาแฟกระป๋องเบอร์ดี้ 2.เครื่องปรุงรส เช่น รสดี ซุปดี และ 3.อื่นๆ เช่น บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป และน้ำตาล โดยแต่ละหมวดสินค้านั้นจะสร้างรายได้ให้บริษัทในอัตราที่เท่าๆกัน คือประมาณหมวดละ 30%
นายพิเชียร คูสมิทธ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อายิโนะโมะโต๊ะ เซลล์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า จากการที่เศรษฐกิจชะลอตัวมาตั้งแต่ช่วงต้นปีนั้น ปรากฏว่าครึ่งปีที่ผ่านมาตลาดเครื่องปรุงรสได้รับผลกระทบบ้างเล็กน้อย ส่งผลให้บริษัทฯต้องปรับแผนลงทุนปีนี้ใหม่ โดยจากเดิมที่บริษัทฯจะมีการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆทั้งในหมวดสินค้าใหม่และที่มีอยู่อย่างน้อย 5-6 รายการนั้น ปีนี้จะเหลือเพียง 2-3 รายการเท่านั้น
อีกทั้งยังมีแผนเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานเพื่อช่วยลดต้นทุนได้อีกทางหนึ่ง หลังจากที่ต้องแบกรับต้นทุนสูงขึ้น 20-30% ตั้งแต่ช่วงปลายปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในเรื่องของการขนส่ง และวัตถุดิบ ที่จะซื้อจากบริษัทในเครือที่มีกว่า 18 บริษัทก่อน รวมไปถึงการตัดสิ่งที่ไม่จำเป็นต่อบริษัทฯออกไป
โดยล่าสุดบริษัทฯได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ในหมวดเครื่องปรุงรส ภายใต้ชื่อ “ซุปดี” มีลักษณะเป็นผงน้ำซุป ที่เหมาะกับการปรุงอาหารประเภทน้ำโดยเฉพาะ วางงบตลาดไว้กว่า 100 ล้านบาทแบ่งเป็น 50% ในส่วนของการโฆษณาและประชาสัมพันธ์ และอีก 50% จะเป็นเรื่องของการส่งเสริมการขายต่างๆ เช่น การแจกสินค้าตัวอย่าง 2 ล้านชิ้นทั่วประเทศ โดยคาดว่าสิ้นปีซุปดีจะมียอดขายกว่า 350 ล้านบาท
จากผลสำรวจของทางเอซีนีลเส็น คาดว่าในปี 2549 นี้ ตลาดเครื่องปรุงรสจะเติบโตจากปีที่ผ่านมา 14% หรือคิดเป็นมูลค่าประมาณ 5,150 ล้านบาท จากหมวดสินค้า 2 กลุ่มใหญ่ คือ 1.เครื่องปรุงรสชนิดผง 70% และเครื่องปรุงน้ำซุป 30% ในขณะที่เครื่องปรุงรสชนิดผงนั้นปีนี้คาดว่าจะ เติบโตขึ้น 15% คิดเป็นมูลค่ากว่า 3,600 ล้านบาท โดยมีรสดีครองแชร์ความเป็นผู้นำในเซกเม้นท์นี้กว่า 88% คิดเป็นมูลค่า 3,150 ล้านบาท เติบโตขึ้น 20%
ส่วนเครื่องปรุงน้ำซุป คาดว่าจะมีมูลค่า 1,550 ล้านบาท และจะมีการเติบโตขึ้น 10% โดยเชื่อว่าซุปดีจะมีแชร์ในเซกเม้นท์นี้ประมาณ 23% หรือประมาณ 350 ล้านบาท
ในขณะที่เมื่อเปรียบเทียบรายได้จากผลิตภัณฑ์ประเภทเครื่องปรุงรสของบริษัทฯกับรายได้จากผลิตภัณฑ์ผงชูรสที่มีกว่า 30%แล้ว ถือได้เครื่องปรุงรสจะสร้างรายได้ประมาณ 15% จากรายได้ของผลิตภัณฑ์ผงชูรส
อย่างไรก็ตามในปีนี้บริษัทฯ คาดว่าจะมีรายได้รวมเติบโตขึ้น 10% จากเดิม 20,000 ล้านบาทจากปีที่ผ่านมา จาก 3 หมวดสินค้าหลัก คือ 1.เครื่องดื่ม เช่น กาแฟกระป๋องเบอร์ดี้ 2.เครื่องปรุงรส เช่น รสดี ซุปดี และ 3.อื่นๆ เช่น บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป และน้ำตาล โดยแต่ละหมวดสินค้านั้นจะสร้างรายได้ให้บริษัทในอัตราที่เท่าๆกัน คือประมาณหมวดละ 30%