xs
xsm
sm
md
lg

สู้กับทักษิณ

เผยแพร่:   โดย: ปราโมทย์ นาครทรรพ

ผมไปพูดที่โคราชเมื่อวันอาทิตย์ที่ 4 มิถุนายน นี้ และปฏิเสธหัวข้อที่เจ้าภาพตั้งให้ คือ “ลอกคราบทักษิณ ปฏิญญาฟินแลนด์” ผมบอกว่า ผมไม่รู้อะไรเกี่ยวกับปฏิญญาฟินแลนด์นัก แต่ผมทราบว่าทำไมทักษิณกับพรรคพวกจึงกินปูนร้อนท้อง หรือเป็นวัวสันหลังหวะ

บรรดาผู้ฟังแสดงความห่วงใยที่ผมถูกฟ้อง ต่างก็เสนอจะช่วยเหลือกันคนละไม้ละมือ ผมขอบคุณและขอให้ทุกคนใจเย็นๆ ช่วยกันต่อสู้ให้ชาวโคราชเข้าใจทักษิณดีขึ้นจะดีกว่า จะได้สมกับที่อำเภอเมืองโคราชเป็นเขตปลดปล่อย คือปลดปล่อยประชาชนออกจากความหลอกลวงของไทยลักไทย พากันลงคะแนน “ไม่เลือก” หรือโนโหวตมากกว่าคะแนนของผู้สมัคร ต่อไปท่านควรช่วยโคราชทั้งจังหวัดให้เป็นเขตปลอดทักษิณ ให้ทั้งประเทศเป็นเขตปลอดไทยลักไทย เริ่มจากในเขตเทศบาลที่ประชาชนมีข้อมูลจากสื่อสิ่งพิมพ์ วิทยุและทีวีก่อน

ผมเองไม่กลัวแม้แต่น้อย ผมเคยสู้เผด็จการมาตั้งแต่ทักษิณยังแก้ผ้า ถ้าทักษิณเป็นประชาธิปไตยสิผมจะไม่สู้ ถึงจะสู้ก็คงสู้ไม่ได้ เป็นทักษิณเผด็จการ ยังไงก็ไม่พอมือผม คณะพันธมิตรไม่ต้องเดือดร้อน ปฏิบัติหน้าที่ภาคประชาชนต่อไปให้ดี ผมจะจัดการให้เอง

ทักษิณฟ้องผมทำไม ผมมีแต่ปากกับปากกา และความเมตตาหวังดีต่อทักษิณตลอดมา ผมจะให้เวลาทักษิณและคณะ 2 สัปดาห์ พ้นกำหนดแล้วผมจะสู้ “ความ” กับทักษิณอย่างไม่ลดละ “ความ” ในที่นี้มิใช่เฉพาะแต่คดีเท่านั้น แต่รวมถึง “ความ” และเรื่องราวต่างๆ ที่จะดีหรือเลวก็ขึ้นอยู่ที่ความนั้นเอง มิใช่เรื่องของตัวบุคคล ถ้าทักษิณพิสูจน์ได้ว่ามีความดีมากกว่าความเลว ทักษิณก็ไม่ต้องเดือดร้อนอะไร ผมเองจะต้องเสียคน

ผมรู้ว่าทักษิณเป็นคนชอบค้าความ ผมเคยฟังพระราชดำรัสเดือนธันวาคม 2548 แล้ว นึกว่าทักษิณจะรู้จักกลับตัว ถือพระบรมราโชวาทข้างล่างนี้เป็นแนวทาง

“คราวนี้นักกฎหมายก็ชอบให้ฟ้อง ให้จับเข้าคุก อันนี้นักกฎหมายก็สอนนายกฯ ว่าต้องฟ้อง ต้องลงโทษ ” และ “ถ้าด่านายกฯ นายกฯ เดือดร้อนไหม ไม่ควรเดือดร้อน”

ที่คัดมานี้เป็นเพียงพลความที่ไม่บริบูรณ์ ถ้าจะให้ดีท่านผู้อ่านควรจะกลับไปอ่านพระราชดำรัสตั้งแต่ต้นจนจบ จะได้ตรวจสอบว่า นายกฯ คนนี้หน้าไหว้หลังหลอกหรือไม่ และใครทำให้พระเจ้าอยู่หัว “เดือดร้อน” กันแน่

ทีแรกทักษิณก็ทำเป็นถอนฟ้องคนโน้นคนนี้ แต่ในที่สุดสันดานเดิมก็กลับมาอีก ในฐานะที่เป็นนักเรียนวิชารัฐศาสตร์ ผมสนใจเรื่องการวางตัวของผู้นำประเทศอยู่แล้ว ผมเลยอีเมลไปถามนักเรียนรุ่นน้องร่วมมหาวิทยาลัยคอร์เนล ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญกฎหมายเรื่องการวิพากษ์วิจารณ์ผู้นำในระบอบประชาธิปไตย และขอให้ผู้ช่วยรวบรวมคดีความของทักษิณมาดู ผมจึงทราบว่านอกจากทักษิณจะ “ซุกหุ้น” แล้ว ทักษิณยัง “ซุกคดี” อยู่หลายคดี บางคดีที่ทักษิณเป็นจำเลย หากไม่มีความบกพร่องเรื่องการตรวจสอบหรือการแจ้งความเท็จเรื่องคุณสมบัติ อย่าว่าแต่จะเป็นนายกรัฐมนตรีเลยทักษิณอาจจะไม่มีสิทธิเป็นรัฐมนตรีตั้งแต่ต้นเสียด้วยซ้ำ

ท่านผู้อ่านคงจะแปลกใจ ถ้าผมจะบอกว่าผมเป็นคนหนึ่งที่โปรทักษิณ แต่ผมทำด้วยความระมัดระวัง มิให้ออกนอกหน้า และทำในฐานะนักวิชาการอิสระ ที่ไม่ต้องการมีความเกี่ยวพันใดๆ กับทักษิณทั้งสิ้น แปลกอีกเรื่องหนึ่ง ทักษิณเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 4 ของประเทศไทยที่ผมไม่รู้จักเป็นส่วนตัว อีกสามท่านคือ พระยามโนปกรณ์ฯ พระยาพหลฯ และคุณทวี บุณยเกตุ แต่ผมรู้จักพ่อของทักษิณ คือคุณเลิศ ชินวัตร โดยการแนะนำของโค้วตงหมง หรือคุณประสิทธิ์ กาญจนวัฒน์ ผู้ใหญ่การเมืองไทยที่ผมเคารพอย่างสูง

ผมรู้จักอดีตรัฐมนตรีปรีดา พัฒนถาบุตร ที่มีหน้าห้องชื่อทักษิณ คุณปรีดาเป็นเพื่อนรุ่นเดียวกับ นพ.ประสาน ต่างใจ เพื่อนอาวุโสที่สนิทยิ่งของผม ผมจึงรู้จักเพื่อนร่วมรุ่นของคุณหมอที่เป็นนักการเมืองทั้งหมดด้วย คือ โกศล ไกรฤกษ์ ประกายเพชร อินทุโสภณ และประเทือง คำประกอบ

คุณปรีดา เคยมาเยี่ยมผมที่บ้านกับสมาชิกวุฒิสภา ปรีดี หิรัญพฤกษ์ เพื่อเล่าแผนการที่จะช่วยให้ทักษิณเป็นนายกรัฐมนตรี ผมก็ตอบอย่างจริงใจว่า ถึงเวลาแล้วที่เมืองไทยจะมีนายกฯ เป็นคนหนุ่มเสียที และดูแล้วทักษิณน่าจะมีภาษีมากกว่าเพื่อน ภาษีนี้ผมหมายถึงคุณสมบัติอย่างอื่นด้วย มิใช่ความเป็นอภิมหาเศรษฐีอย่างเดียว แต่ผมเข้าใจความล้าหลังของระบบการเมืองไทยดี ถึงทักษิณจะเก่งอย่างไร ถ้าไม่มีเงินเสียอย่างก็คงไม่มีทาง ผมหวังอยู่ในใจว่า เมื่อมีอำนาจแล้ว ทักษิณอาจจะปฏิรูปการเมืองไทยให้พ้นกระแสน้ำเน่าของเงินเสียที จะทำเช่นนั้นได้ ทักษิณจะต้องไม่ใช้เงินเป็นปัจจัยหลักในการขึ้นสู่อำนาจเสียแต่ต้น แต่จะต้องใช้ความคิดหรือแนวทางที่ถูกต้อง

ผมบอกคุณปรีดาไปว่า ถ้าจะให้ผมช่วยคิดอ่าน ผมจะต้องรู้เสียก่อนว่าทักษิณมีความเข้าใจปัญหาการเมืองไทยว่าเป็นอย่างไร และมีความคิดว่าจะแก้แบบไหน ถ้าไม่รู้ก็คงจะช่วยอะไรไม่ได้ ตั้งแต่วันนั้นผมก็ไม่ได้คุยกับคุณปรีดาอีก จนกระทั่งทักษิณได้เป็นนายกรัฐมนตรี

คุณปรีดาอาจจะจำไม่ได้แล้ว แต่ผมจำได้ว่าผมตอบคุณปรีดาไปถึงข้อได้เปรียบเสียเปรียบหรือจุดแข็งจุดอ่อนของทักษิณว่าเป็นเรื่องเดียวกัน คือ ทักษิณมีจุดแข็งที่ “ถิ่นเก่า เหล่าทัพ ทรัพย์สมบัติ บริษัทบริวาร” ถ้าทักษิณใช้สิ่งเหล่านี้ไม่เป็นหรือเอามาใช้ในทางที่ผิด ทักษิณก็จะพังเพราะสิ่งเหล่านี้แหละ

เมื่อทักษิณได้เป็นนายกฯ ใหม่ๆ สมัยแรก ระหว่างการต่อสู้คดีซุกหุ้น กัลยาณมิตรอาวุโสของผมหลายท่าน อาทิ นพ.ประเวศ วะสี และคุณอาหมอเสม พริ้งพวงแก้ว ต่างก็ตื่นเต้นและฝากความหวังไว้กับนายกรัฐมนตรีคนใหม่เป็นล้นพ้น คุณอาหมอเสมถึงกับอาสารวบรวมไปรษณียบัตรล้านใบเพื่อโน้มน้าวใจศาลรัฐธรรมนูญ ผมเคยเป็นตุลาการรัฐธรรมนูญรุ่นอาจารย์สัญญา ธรรมศักดิ์ ผมรู้ว่าถ้าหากเราใช้ Rule of Law หรือหลักนิติธรรมเป็นบรรทัดฐาน ทักษิณไม่มีวันหลุด เพราะทักษิณได้กระทำในสิ่งที่กฎหมายระบุว่าต้องห้าม (Mala Prohibita) มีทางเดียวเท่านั้นที่ทักษิณจะชนะคืออ้างหลัก Democracy หรือสัญญาประชาคม ผมอับอายมากที่ตุลาการเสียงข้างมากพากันอ้างข้างๆ คูๆว่าต้องใช้หลักนิติศาสตร์และหลักรัฐศาสตร์ทั้งสองอย่าง ผมได้อ่านความเห็นแย้งของประธานศาลคือคุณประเสริฐ นาสกุล ทำให้ผมเคารพนับถือในความรู้และความแกล้วกล้าของท่านเป็นอย่างยิ่ง สังคมไทยควรจะกลับไปอ่านความเห็นของท่านอีกครั้ง

ผมแอบหวังว่าทักษิณจะมีความสำนึกและทำอย่างที่ผมคิด คือใช้เสียงข้างมากและเสถียรภาพที่ไม่เคยมีในประวัติการเมืองไทย สร้างความแข็งแกร่งให้เมืองไทยและแก้ปัญญาต่างๆ ที่รัฐบาลผสมในอดีตไม่มีปัญญาทำได้ แต่ผมก็อดห่วงไม่ได้ว่าทักษิณจะเป็นดาบสองคม หรือไม่ก็ขึ้นต้นเป็นลำไม้ไผ่ นานๆ ไปเป็นบ้องกัญชา บุคคลดีๆ ที่ทยอยกันตีจากทักษิณทำให้ผมยิ่งห่วงมากขึ้น จึงตัดสินใจรับคำเชิญเขียนให้ “ผู้จัดการ” ผมบอกสนธิที่พบกันโดยบังเอิญที่สนามบินว่าผมไม่อยากเขียน เพราะสนธิและคณะเชียร์ทักษิณจนผมอยากอ้วก เมื่อสนธิสัญญาจะไม่เซ็นเซอร์ ผมจึงเริ่มเขียน

ในขณะเดียวกัน ผมก็คอยสนับสนุนให้กำลังใจคนดีๆ ที่เข้าไปทำงานช่วยทักษิณ อาทิ ดร.ชัยอนันต์ ผมให้เหตุผลว่าถึงแม้อาจเสี่ยงจะต้องเปื้อนอาจม หากเรายึดมั่นความดีและมาตรฐานอาชีพ เราจะอาศัยทักษิณนำการเปลี่ยนแปลงที่มีความหมายมาสู่สังคมไทยได้ บรรดาคนที่ทำงานกับทักษิณนั้น ผมรู้จักมักคุ้นดีหลายคน ผมไม่ตระหนี่ที่จะให้คำแนะนำ ในตอนต้นๆ ผมก็สนใจที่จะไปพบทักษิณด้วยการจัดของเขาเหล่านั้น แต่ผมเปลี่ยนใจเสียก่อน ในต่างประเทศ เวลาทักษิณและคณะไปพักโรงแรมที่ผมพักอยู่ก่อน ผมก็ย้ายออกเสีย เช่นเดียวกับที่ผมงดไปงานเลี้ยงของนักเรียนทุนรัฐบาล เพราะเพื่อนๆเล่าให้ฟังว่าเบื่อที่ทักษิณลืมตัววางท่าจะเป็นนาย

ผมมิได้รังเกียจที่จะไปเป็นวิทยากรอบรมให้ผู้บริหารและ ส.ส.พรรคไทยรักไทยหลายครั้ง ทุกครั้งผมได้พบความเหลาะแหละไม่เอาจริง จนกระทั่งผมตัดสินใจปฏิเสธคำเชิญ ผมทราบว่าทักษิณนิยมระบบลีกวนยู ถึงแม้ผมจะไม่เห็นด้วยกับโครงสร้างของระบบพรรคเดียว ผมก็นิยมพฤติกรรมและกิจกรรมบังคับของผู้แทนสิงคโปร์ ที่จัดให้ผู้แทนออกไปพบปะร่วมกิจกรรมชุมชนอย่างต่อเนื่องประจำและมีระบบ ต่างกับของเรา ผมได้นัดให้ภูมิธรรมหรืออ้วนพบปะกับตัวแทนของพรรคสิงคโปร์ เพื่อวางแผนจัดโปรแกรมให้สมาชิกพรรคไทยรักไทยไปแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับพรรครัฐบาลสิงคโปร์ ผมพบกับอ้วนเป็นครั้งคราว มีบางคนลุกขึ้นมาเดือดร้อนลามปามผม ผมเข้าใจดีว่าคนเราตกเป็นเหยื่อของระบบได้อย่างไร ผมจึงไม่ถือโทษโกรธคนเหล่านั้น รวมทั้งทักษิณด้วย

แต่ไหนๆ บัดนี้ ทักษิณกับคณะได้ประกาศฟ้องผม จะเรียกเงินค่าเสียหายถึง 2 พันล้านบาท โถคนอะไรไม่วายโลภ ผมเสียอีกที่ควรฟ้องประธานที่ปรึกษาทักษิณที่ออกรายการวิทยุว่าผมเมากัญชาตากำลังจะบอด ผมเชื่อว่าผมจะชนะ สามารถขับทักษิณออกจากตำแหน่งก่อนวันนัดศาลเสียอีก ทำไมผมจะไม่มั่นใจเล่า ในเมื่อทักษิณทำตัวเป็นวัวสันหลังหวะมีพิรุธเอง เหมือนกับคนที่ทำผิดไว้เต็มเปา กลัวคนอื่นเขาจะจับได้

ผมไม่เคยพูดสักหน่อยว่าผมรู้เรื่องว่าทักษิณกับคณะไปฟินแลนด์หรือไม่ไป ไปทำปฏิญญาอะไรกันหรือไม่ แต่ผมได้ศึกษาพฤติกรรมของทักษิณและพรรคมาหลายปี เก็บข้อมูลและเขียนบทความมากว่าร้อยเรื่อง แยกเป็นหัวข้อใหญ่ๆได้ 5 กลุ่มตามพฤติกรรมหลักพรรคไทยลักไทย คือ (1) สร้างระบบการเมืองเป็นระบบพรรคเดียว (2) ทำลายความเข้มแข็งแบบเก่าของระบบราชการ โดยทำให้ระบบราชการต้องรับใช้ระบบการเมืองโดยไม่มีเงื่อนไข (3) แปลงสินทรัพย์ของรัฐให้เป็นส่วนหนึ่งของระบบทุนนิยมเสรี (4) ทำให้สถาบันกษัตริย์เป็นแต่เพียงสัญลักษณ์ให้มากที่สุด...และ (5) สร้างระบบพรรคแบบรวมศูนย์การนำสูงสุด เป็นพรรคของกรรมการ แบบ cadre party แต่แฝงอยู่ในเสื้อคลุมหรือเปลือกนอก (ที่หลอกลวง) ว่าเป็นพรรคมวลชน

ผมว่า เรื่องที่ไทยลักไทยร้อนตัวและมีพิรุธที่สุดก็คือข้อที่ 4 จะเห็นได้จากการเขียนคำฟ้องโดยการตัดตอนบทความของผมมาแบบครึ่งๆ กลางๆ ทำให้ผิดตรรกะและหลักภาษา โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อความต่อไปนี้ “การก่อตั้งพรรคไทยรักไทยขึ้นเมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม ซึ่งเป็นสัญลักษณ์วันชาติฝรั่งเศส และโค่นล้มระบบกษัตริย์, การลิดรอนพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์, การแย่งชิงพระราชอำนาจ” อ่านดูคล้ายๆ ผมกล่าวหาว่าทักษิณจะโค่นล้มระบบกษัตริย์ โธ่เอ๋ย กลับไปอ่านให้ดีเสียก่อน

เรื่องปฏิญญาฟินแลนด์นี้ มีสื่อนำไปถามองคมนตรีท่านหนึ่ง ท่านตอบว่าไม่ทราบ แต่กรรมเป็นเครื่องชี้เจตนา

ผมจะนำสืบให้ศาลและประชาชนเห็นชัดจนสิ้นสงสัยว่า มีกรรมอะไรบ้างที่เป็นเครื่องชี้เจตนาว่าทักษิณมีเป้าหมายหลักทั้งห้าข้างต้น ผมตั้งใจจะขอให้ศาลออกหมายเรียกท่านเหล่านี้มาเป็นพยาน คือ 1. พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร 2. พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ 3. นายเสนาะ เทียนทอง 4. นายอุทัย พิมพ์ใจชน 5. ดร.คณิต ณ นคร 6. นายประมวล รุจนเสรี

ถึงเวลานั้นใครคนหนึ่งโปรดอย่าหนีหมายศาลก็แล้วกัน

ระหว่างรอคดี ผมจะเขียนบทความเจาะลึกเรื่องที่กล่าวมาทั้งหมด และจะเขียนบทความชุด “สอนทักษิณ” ซึ่งมีความมุ่งหมายจะให้ความรู้เรื่องการเมืองแก่ประชาชนทั่วไป และผู้ที่อยากจะเตรียมตัวเป็นผู้นำการเมืองที่มีมาตรฐานและจริยธรรม

ท่านผู้อ่านที่เคารพ ยกที่หนึ่งเริ่มแล้วครับ
กำลังโหลดความคิดเห็น