ผู้จัดการรายวัน - อีสท์วอเตอร์เร่งศึกษาสร้างโรงไฟฟ้าโคเจนฯขนาดเล็ก เพื่อบริหารต้นทุนค่าไฟที่นับวันเพิ่มสูงขึ้น คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในปลายปีนี้ โดยบริษัทจะใช้ไฟเอง 3 เมกะวัตต์ ที่เหลือขายให้กฟผ. หวังลดต้นทุนเพื่อไม่ได้เป็นภาระแก่ผู้ประกอบการที่ใช้น้ำดิบ
นายวันชัย หล่อวัฒนตระกูล กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท จัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก จำกัด (มหาชน) หรืออีสท์ วอเตอร์ เปิดเผยว่า จากค่าไฟที่มีแนวโน้มปรับเพิ่มสูงขึ้นตามราคาน้ำมันในตลาดโลก ทำให้ต้นทุนการผลิตน้ำดิบของบริษัทฯเพิ่มขึ้น ดังนั้นบริษัทจึงศึกษาความเป็นไปได้ในการสร้างโรงไฟฟ้าระบบโคเจนเนเรชั่นที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงทดแทน การซื้อไฟจากการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) คาดว่าผลศึกษาจะเสร็จในปลายปีนี้
โดยโรงไฟฟ้าโคเจนเนอเรชั่นมีขนาดกำลังการผลิต 10 เมกะวัตต์ โดยอีสท์วอเตอร์จะใช้ไฟอยู่ประมาณ 3 เมกะวัตต์ ที่เหลือจะขายให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ทำให้ลดต้นทุนด้านพลังงานลงไม่เป็นภาระให้กับผู้ใช้น้ำ หากบริษัทตัดสินใจลงทุนสร้างโรงไฟฟ้าดังกล่าวจะสร้างที่บริเวณมาบข่าใกล้อ่างเก็บน้ำดอกกรายเพื่อป้อนไฟฟ้าให้เครื่องสูบน้ำ ซึ่งปัจจุบันพื้นที่ดังกล่าวยังไม่มีการวางท่อก๊าซธรรมชาติไปถึง แต่เชื่อว่าในอนาคตปตท.จะวางท่อก๊าซฯไปถึงทำให้ต้นทุนสร้างโรงไฟฟ้าไม่สูงขึ้นมาก
นายวันชัย กล่าวว่า ในการปรับราคาน้ำดิบในช่วงต้นเดือนก.ย. อีก 0.50 บาท/ลูกบาศก์เมตร(ลบ.ม.) ทำให้บริษัทฯ มีรายได้เพิ่ม 5-10 ล้านบาท/เดือน แต่จะรับรู้รายได้ในงวดปี 2549 ไม่มาก เนื่องจากใกล้ปิดงบ ซึ่งจะรับรู้รายได้เต็มที่ในปี 2550 (ต.ค.2549-ก.ย. 2550) โดยปีนี้ยอดการใช้น้ำดิบในภาคตะวันออกคาดว่าจะขยายตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 210 ล้านลบ.ม. โตขึ้น 15%เมื่อเทียบจากปีก่อนที่มีการใช้น้ำอยู่ที่ 190 ล้านลบ.ม.ดังนั้นในปีนี้ อีสท์วอเตอร์คาดว่าจะมีรายได้ประมาณ 2,500 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20%มาจากธุรกิจน้ำดิบ 1,500 ล้านบาท ธุรกิจน้ำประปา 700 ล้านบาท และรักษาอัตรากำไรที่ 10% ส่วนปีหน้าจะเพิ่มอัตรากำไรให้อยู่ที่ระดับ 10-15% หลังจากพยายามบริหารจัดการต้นทุน รวมทั้งจะพยายามขยายช่องทางในการสร้างรายได้ให้เพิ่มมากขึ้น โดยจะรับรู้รายได้จากการปรับขึ้นค่าน้ำดิบในช่วงเดือนก.ย.นี้เข้ามา
" ปัจจุบันราคาน้ำดิบเฉลี่ย อยู่ที่ 7 บาท/ลบ.ม. แต่หลังจากที่มีการอนุมัติให้มีการปรับเพิ่มอีก 50 สตางค์/ลบ.ม.จะทำให้ราคาขายปลีกน้ำดิบของอีสท์วอเตอร์ปรับเพิ่มขึ้น คาดว่าภายใน 5 ปีก็จะปรับเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 9 บาท/ลบ.ม. "
นายวันชัย หล่อวัฒนตระกูล กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท จัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก จำกัด (มหาชน) หรืออีสท์ วอเตอร์ เปิดเผยว่า จากค่าไฟที่มีแนวโน้มปรับเพิ่มสูงขึ้นตามราคาน้ำมันในตลาดโลก ทำให้ต้นทุนการผลิตน้ำดิบของบริษัทฯเพิ่มขึ้น ดังนั้นบริษัทจึงศึกษาความเป็นไปได้ในการสร้างโรงไฟฟ้าระบบโคเจนเนเรชั่นที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงทดแทน การซื้อไฟจากการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) คาดว่าผลศึกษาจะเสร็จในปลายปีนี้
โดยโรงไฟฟ้าโคเจนเนอเรชั่นมีขนาดกำลังการผลิต 10 เมกะวัตต์ โดยอีสท์วอเตอร์จะใช้ไฟอยู่ประมาณ 3 เมกะวัตต์ ที่เหลือจะขายให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ทำให้ลดต้นทุนด้านพลังงานลงไม่เป็นภาระให้กับผู้ใช้น้ำ หากบริษัทตัดสินใจลงทุนสร้างโรงไฟฟ้าดังกล่าวจะสร้างที่บริเวณมาบข่าใกล้อ่างเก็บน้ำดอกกรายเพื่อป้อนไฟฟ้าให้เครื่องสูบน้ำ ซึ่งปัจจุบันพื้นที่ดังกล่าวยังไม่มีการวางท่อก๊าซธรรมชาติไปถึง แต่เชื่อว่าในอนาคตปตท.จะวางท่อก๊าซฯไปถึงทำให้ต้นทุนสร้างโรงไฟฟ้าไม่สูงขึ้นมาก
นายวันชัย กล่าวว่า ในการปรับราคาน้ำดิบในช่วงต้นเดือนก.ย. อีก 0.50 บาท/ลูกบาศก์เมตร(ลบ.ม.) ทำให้บริษัทฯ มีรายได้เพิ่ม 5-10 ล้านบาท/เดือน แต่จะรับรู้รายได้ในงวดปี 2549 ไม่มาก เนื่องจากใกล้ปิดงบ ซึ่งจะรับรู้รายได้เต็มที่ในปี 2550 (ต.ค.2549-ก.ย. 2550) โดยปีนี้ยอดการใช้น้ำดิบในภาคตะวันออกคาดว่าจะขยายตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 210 ล้านลบ.ม. โตขึ้น 15%เมื่อเทียบจากปีก่อนที่มีการใช้น้ำอยู่ที่ 190 ล้านลบ.ม.ดังนั้นในปีนี้ อีสท์วอเตอร์คาดว่าจะมีรายได้ประมาณ 2,500 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20%มาจากธุรกิจน้ำดิบ 1,500 ล้านบาท ธุรกิจน้ำประปา 700 ล้านบาท และรักษาอัตรากำไรที่ 10% ส่วนปีหน้าจะเพิ่มอัตรากำไรให้อยู่ที่ระดับ 10-15% หลังจากพยายามบริหารจัดการต้นทุน รวมทั้งจะพยายามขยายช่องทางในการสร้างรายได้ให้เพิ่มมากขึ้น โดยจะรับรู้รายได้จากการปรับขึ้นค่าน้ำดิบในช่วงเดือนก.ย.นี้เข้ามา
" ปัจจุบันราคาน้ำดิบเฉลี่ย อยู่ที่ 7 บาท/ลบ.ม. แต่หลังจากที่มีการอนุมัติให้มีการปรับเพิ่มอีก 50 สตางค์/ลบ.ม.จะทำให้ราคาขายปลีกน้ำดิบของอีสท์วอเตอร์ปรับเพิ่มขึ้น คาดว่าภายใน 5 ปีก็จะปรับเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 9 บาท/ลบ.ม. "