เมื่อผมยังเป็นเด็ก พ่อผมปลูกฝังความคิดที่จะให้ผมเป็นผู้พิพากษา ผมมีญาติผู้ใหญ่เป็นอธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ คือคุณหลวงอาทรคดีราษฎร์ วิธีการปลูกฝังความคิดของพ่อผมนั้นคือ การอธิบายว่าการเป็นผู้พิพากษานั้น มีกติกาการเลื่อนชั้นอย่างยุติธรรมไม่มีการเล่นพรรคเล่นพวก และการเป็นผู้พิพากษาถือว่าเป็นอาชีพที่ต้องใช้ความซื่อสัตย์สุจริตมากกว่าอาชีพใดๆ
พ่อผมคงได้รับอิทธิพลจากหนังสือของหลวงวิจิตรวาทการ ซึ่งวางแผนการศึกษาให้ลูก พ่อผมบอกว่าเมื่อเรียนจบนิติศาสตร์แล้ว ผมมีอายุเพียง 20 ปี ก็จะให้ไปเรียนทำ Barris ter-at-Law ที่อังกฤษก่อน คงใช้เวลา 3-4 ปี กลับมาก็เตรียมสอบผู้พิพากษาได้เลย โดยน่าจะสอบให้ได้เนติบัณฑิตไทยด้วย แต่ถ้าได้เนติบัณฑิตจากอังกฤษมาแล้วก็ไม่ต้องผ่านเนติบัณฑิตไทยก็ได้
พ่อผมอุตส่าห์ไปเรียนนิติศาสตร์ธรรมศาสตร์ ภาคค่ำเพื่อเตรียมตัวมาติวผม ผมสมัครสอบเข้ามหาวิทยาลัยเพียงสองแห่งคือ คณะนิติศาสตร์ ธรรมศาสตร์กับแผนกนิติศาสตร์ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผมสอบเข้าธรรมศาสตร์ได้ที่ 28 และที่จุฬาฯ ได้ที่ 2 เนื่องจากแผนกนิติศาสตร์ คณะรัฐศาสตร์รับนิสิตปีที่ 1 เพียง 30 คน แต่ที่ธรรมศาสตร์รับ 200 คน ผมจึงเลือกเรียนที่จุฬาฯ เพราะชั้นเล็กกว่า และอาจารย์ที่สอนก็เป็นคนเดียวกัน
ผมเรียนนิติศาสตร์ได้ปีครึ่ง ปีแรกผมสอบได้ที่ 1 โดยสอบผ่านทุกวิชาไม่ต้อง re exam เลย อาจารย์ที่สอนผมมีศาสตราจารย์ดร.ประยูร กาญจนดุล สอนกฎหมายปกครอง ศาสตราจารย์ ดร.สมภพ โหตระกิตย์ สอนกฎหมายรัฐธรรมนูญ ศาสตราจารย์ประพนธ์ ศาตะมาน สอนกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ดร.อุทิศ แสนโกศิก สอนกฎหมายอาญา
ผมไปเรียนนิวซีแลนด์เสียก่อน จึงไม่จบนิติศาสตร์และไม่ได้เป็นผู้พิพากษา ผมมีความชื่นชมนับถือผู้พิพากษามากเพราะเห็นความสมถะ และความซื่อสัตย์ของหลายท่าน และก็เป็นความจริงที่ในวงการตุลาการนั้น มีกติกาการเลื่อนชั้นตามอาวุโสอย่างเคร่งครัด จนเกือบจะรู้แน่ๆ ตั้งแต่แรกเข้าว่าใครจะมีโอกาสได้เป็นประธานศาลฎีกา
โดยปกติศาลจะไม่เข้ามาเกี่ยวข้องกับการเมือง แต่ในอดีตศาลได้มีการพิพากษาลงโทษนักการเมืองไปหลายคน ไม่ว่าใครจะกดดันหรือหว่านล้อมชักจูงอย่างไรก็เป็นการยากที่จะทำให้ศาลยอมตาม
การเมืองไทยในยุคปัจจุบัน เป็นการเข้าครอบงำองค์กรอิสระ ฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติถูกควบคุมอย่างเด็ดขาดไปแล้ว ตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดการครอบงำองค์กรอิสระก็คือวุฒิสภา เพราะเรามีสมมติฐานที่ผิดว่าวุฒิสภาจะมีความเป็นกลาง เราจึงให้วุฒิสภาเป็นผู้เลือกตัวบุคคลเข้าไปอยู่ในองค์กรอิสระ
อำนาจที่องค์กรอิสระ คือ กกต.และศาลรัฐธรรมนูญมีนั้น เบ็ดเสร็จเด็ดขาดจริงๆ กกต.มีอำนาจเยี่ยงศาลเพราะเป็นผู้ให้ใบแดงและใบเหลือง ที่จริงเราควรให้ กกต.ดำเนินการเลือกตั้ง และอำนาจตัดสินว่าใครทำผิดกฎหมายเลือกตั้งหรือไม่นั้น ควรเป็นอำนาจของศาล เพราะเมื่อดูที่มาและประวัติการทำงานของ กกต.แล้ว ก็จะเห็นได้ว่าส่วนใหญ่ใน กกต.ไม่ได้มีประวัติการทำงานแบบผู้พิพากษา ในสำนักงาน กกต.เองตำแหน่งสำคัญๆ ก็มีตำรวจเข้ามาทำหน้าที่
ผมได้ฟังคำกล่าวหา กกต.จากบุคคลที่เป็น กกต.จังหวัดหลายครั้งหลายหน คำกล่าวหาเหล่านี้หากเป็นความจริงก็นับว่าเป็นภัยอันตรายที่จะต้องรีบกำจัดเสียโดยเร็ว ในอนาคตหากมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญใหม่ กกต.กับศาลรัฐธรรมนูญจะเป็นองค์กรอิสระที่จะได้รับผลกระทบมากที่สุด อาจถึงขั้นยุบไปเลย
เหตุที่ทำให้เกิดความวุ่นวายระส่ำระสายทางการเมืองไปทั่วนี้ก็เพราะเรายังขาดวัฒนธรรมของการทำงานที่ผู้ดำรงตำแหน่งสำคัญๆ และมีอำนาจมากๆ มีความซื่อตรงคงมั่น มีความเป็นอิสระ ตลอดจนมีประวัติการทำงานอย่างยาวนาน และได้รับการตรวจสอบจากสาธารณชน
ฝ่ายตุลาการในฐานะอำนาจอธิปไตย จึงเป็นที่พึ่งแหล่งสุดท้าย และด้วยประเพณีการทำงานอันยาวนาน ตุลาการจึงได้รับการหล่อหลอมให้เป็นผู้ซื่อสัตย์มีความเป็นอิสระ การเลื่อนตำแหน่งก็มีกติกา ผิดกับข้าราชการฝ่ายอื่นๆ ซึ่งมักจะมีการได้ความสนับสนุนจากนักการเมืองบุญคุณนั้นก็ติดมา
ผมเป็นห่วงว่า เมื่อนักการเมืองเห็นว่าฝ่ายตุลาการมีศักยภาพที่จะให้คุณให้โทษทางการเมืองได้ ก็จะพยายามเข้าควบคุมฝ่ายตุลาการโดยผ่านทางคณะกรรมการตุลาการ ในเดือนตุลาคมนี้จะมีการเลือกประธานศาลฎีกาท่านใหม่ ซึ่งเราควรจับตามอง เดือนกรกฎาคม-ตุลาคมนี้จึงเป็นระยะเวลาการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ ฝ่ายการเมืองต้องการคุมอำนาจให้เบ็ดเสร็จเด็ดขาด หากมีการเลือกตั้งในเดือนตุลาคม การเปลี่ยนแปลงในกองทัพ และวงการตุลาการจะมีผลทำให้ฝ่ายการเมืองสามารถคุมองค์กรทุกองค์กรได้หมดภายใต้เงื่อนไขของรัฐธรรมนูญ
ผมมั่นใจว่าจะต้องมีการต่อสู้ทุกรูปแบบเพื่อป้องกันสภาวการณ์เช่นนี้ ผมยังมีความหวังว่าในที่สุดการเมืองไทยคงไม่เข้าสู่สภาพเผด็จการเบ็ดเสร็จ เว้นแต่เสรีภาพจะถูกซื้อได้ด้วยเงินเท่านั้น
พ่อผมคงได้รับอิทธิพลจากหนังสือของหลวงวิจิตรวาทการ ซึ่งวางแผนการศึกษาให้ลูก พ่อผมบอกว่าเมื่อเรียนจบนิติศาสตร์แล้ว ผมมีอายุเพียง 20 ปี ก็จะให้ไปเรียนทำ Barris ter-at-Law ที่อังกฤษก่อน คงใช้เวลา 3-4 ปี กลับมาก็เตรียมสอบผู้พิพากษาได้เลย โดยน่าจะสอบให้ได้เนติบัณฑิตไทยด้วย แต่ถ้าได้เนติบัณฑิตจากอังกฤษมาแล้วก็ไม่ต้องผ่านเนติบัณฑิตไทยก็ได้
พ่อผมอุตส่าห์ไปเรียนนิติศาสตร์ธรรมศาสตร์ ภาคค่ำเพื่อเตรียมตัวมาติวผม ผมสมัครสอบเข้ามหาวิทยาลัยเพียงสองแห่งคือ คณะนิติศาสตร์ ธรรมศาสตร์กับแผนกนิติศาสตร์ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผมสอบเข้าธรรมศาสตร์ได้ที่ 28 และที่จุฬาฯ ได้ที่ 2 เนื่องจากแผนกนิติศาสตร์ คณะรัฐศาสตร์รับนิสิตปีที่ 1 เพียง 30 คน แต่ที่ธรรมศาสตร์รับ 200 คน ผมจึงเลือกเรียนที่จุฬาฯ เพราะชั้นเล็กกว่า และอาจารย์ที่สอนก็เป็นคนเดียวกัน
ผมเรียนนิติศาสตร์ได้ปีครึ่ง ปีแรกผมสอบได้ที่ 1 โดยสอบผ่านทุกวิชาไม่ต้อง re exam เลย อาจารย์ที่สอนผมมีศาสตราจารย์ดร.ประยูร กาญจนดุล สอนกฎหมายปกครอง ศาสตราจารย์ ดร.สมภพ โหตระกิตย์ สอนกฎหมายรัฐธรรมนูญ ศาสตราจารย์ประพนธ์ ศาตะมาน สอนกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ดร.อุทิศ แสนโกศิก สอนกฎหมายอาญา
ผมไปเรียนนิวซีแลนด์เสียก่อน จึงไม่จบนิติศาสตร์และไม่ได้เป็นผู้พิพากษา ผมมีความชื่นชมนับถือผู้พิพากษามากเพราะเห็นความสมถะ และความซื่อสัตย์ของหลายท่าน และก็เป็นความจริงที่ในวงการตุลาการนั้น มีกติกาการเลื่อนชั้นตามอาวุโสอย่างเคร่งครัด จนเกือบจะรู้แน่ๆ ตั้งแต่แรกเข้าว่าใครจะมีโอกาสได้เป็นประธานศาลฎีกา
โดยปกติศาลจะไม่เข้ามาเกี่ยวข้องกับการเมือง แต่ในอดีตศาลได้มีการพิพากษาลงโทษนักการเมืองไปหลายคน ไม่ว่าใครจะกดดันหรือหว่านล้อมชักจูงอย่างไรก็เป็นการยากที่จะทำให้ศาลยอมตาม
การเมืองไทยในยุคปัจจุบัน เป็นการเข้าครอบงำองค์กรอิสระ ฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติถูกควบคุมอย่างเด็ดขาดไปแล้ว ตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดการครอบงำองค์กรอิสระก็คือวุฒิสภา เพราะเรามีสมมติฐานที่ผิดว่าวุฒิสภาจะมีความเป็นกลาง เราจึงให้วุฒิสภาเป็นผู้เลือกตัวบุคคลเข้าไปอยู่ในองค์กรอิสระ
อำนาจที่องค์กรอิสระ คือ กกต.และศาลรัฐธรรมนูญมีนั้น เบ็ดเสร็จเด็ดขาดจริงๆ กกต.มีอำนาจเยี่ยงศาลเพราะเป็นผู้ให้ใบแดงและใบเหลือง ที่จริงเราควรให้ กกต.ดำเนินการเลือกตั้ง และอำนาจตัดสินว่าใครทำผิดกฎหมายเลือกตั้งหรือไม่นั้น ควรเป็นอำนาจของศาล เพราะเมื่อดูที่มาและประวัติการทำงานของ กกต.แล้ว ก็จะเห็นได้ว่าส่วนใหญ่ใน กกต.ไม่ได้มีประวัติการทำงานแบบผู้พิพากษา ในสำนักงาน กกต.เองตำแหน่งสำคัญๆ ก็มีตำรวจเข้ามาทำหน้าที่
ผมได้ฟังคำกล่าวหา กกต.จากบุคคลที่เป็น กกต.จังหวัดหลายครั้งหลายหน คำกล่าวหาเหล่านี้หากเป็นความจริงก็นับว่าเป็นภัยอันตรายที่จะต้องรีบกำจัดเสียโดยเร็ว ในอนาคตหากมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญใหม่ กกต.กับศาลรัฐธรรมนูญจะเป็นองค์กรอิสระที่จะได้รับผลกระทบมากที่สุด อาจถึงขั้นยุบไปเลย
เหตุที่ทำให้เกิดความวุ่นวายระส่ำระสายทางการเมืองไปทั่วนี้ก็เพราะเรายังขาดวัฒนธรรมของการทำงานที่ผู้ดำรงตำแหน่งสำคัญๆ และมีอำนาจมากๆ มีความซื่อตรงคงมั่น มีความเป็นอิสระ ตลอดจนมีประวัติการทำงานอย่างยาวนาน และได้รับการตรวจสอบจากสาธารณชน
ฝ่ายตุลาการในฐานะอำนาจอธิปไตย จึงเป็นที่พึ่งแหล่งสุดท้าย และด้วยประเพณีการทำงานอันยาวนาน ตุลาการจึงได้รับการหล่อหลอมให้เป็นผู้ซื่อสัตย์มีความเป็นอิสระ การเลื่อนตำแหน่งก็มีกติกา ผิดกับข้าราชการฝ่ายอื่นๆ ซึ่งมักจะมีการได้ความสนับสนุนจากนักการเมืองบุญคุณนั้นก็ติดมา
ผมเป็นห่วงว่า เมื่อนักการเมืองเห็นว่าฝ่ายตุลาการมีศักยภาพที่จะให้คุณให้โทษทางการเมืองได้ ก็จะพยายามเข้าควบคุมฝ่ายตุลาการโดยผ่านทางคณะกรรมการตุลาการ ในเดือนตุลาคมนี้จะมีการเลือกประธานศาลฎีกาท่านใหม่ ซึ่งเราควรจับตามอง เดือนกรกฎาคม-ตุลาคมนี้จึงเป็นระยะเวลาการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ ฝ่ายการเมืองต้องการคุมอำนาจให้เบ็ดเสร็จเด็ดขาด หากมีการเลือกตั้งในเดือนตุลาคม การเปลี่ยนแปลงในกองทัพ และวงการตุลาการจะมีผลทำให้ฝ่ายการเมืองสามารถคุมองค์กรทุกองค์กรได้หมดภายใต้เงื่อนไขของรัฐธรรมนูญ
ผมมั่นใจว่าจะต้องมีการต่อสู้ทุกรูปแบบเพื่อป้องกันสภาวการณ์เช่นนี้ ผมยังมีความหวังว่าในที่สุดการเมืองไทยคงไม่เข้าสู่สภาพเผด็จการเบ็ดเสร็จ เว้นแต่เสรีภาพจะถูกซื้อได้ด้วยเงินเท่านั้น