“นิชคาร์” ไม่หวั่นเศรษฐกิจทรุด มั่นใจยอดขายรถสปอร์ตหรูทะลุเป้า โดยเฉพาะลัมโบร์กินี่ยอดจองล้นโควต้า พร้อมเตรียมส่งซูเปอร์คาร์รุ่นล่าสุด ลัมโบร์กินี่ มูร์ซิเอลาโก แอลพี 640 โรดสเตอร์ ลุยตลาดปีหน้า ขณะที่รถสปอร์ตเล็กก็ไม่น้อยหน้าปลายปีนำ “โลตัส เอ็กซีก” ยั่วน้ำลายเศรษฐีไทย ที่สำคัญเนรมิตโชว์รูมใหม่บนห้างหรูสยามพารากอน ฟื้นแบรนด์แอสตัน มาร์ติน ต้อนรับ เจมส์บอนด์ คนใหม่
นายเสรี รักษ์วิทย์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท นิชคาร์ จำกัด เปิดเผยว่า สถานการณ์ทางการเมืองและเศรษฐกิจที่ยังอึมครึมขณะนี้ ไม่ส่งผลกระทบต่อยอดขายของรถระดับพรีเมี่ยมอย่าง ลัมโบร์กินี หรือ แอสตัน มาร์ติน และสิ่งที่พิสูจน์ประโยคนี้ได้ดีคือยอดขายของรถลัมโบร์กินี่มียอดจองสูงถึง 18 คัน หลังจากเปิดตัวในห้างหรูย่านใจกลางเมือง “สยามพารากอน”
“เราขอโควต้ารถลัมโบร์กินี่ ทั้งรุ่น มูร์ซิเอลาโก, กัลญาโด และกัลญาโด สไปเดอร์ จำนวน 25 คันแต่ได้รับโควต้ามาเพียง 18 คันเท่านั้นแบ่งเป็น รุ่นใหม่ล่าสุดอย่างกัลญาโด สไปเดอร์จำนวน 5 คัน ที่เหลือเป็นมูซิเอลาร์โก แอลพี 640 และกัลลาโด จำนวน 13 คัน ซึ่งทั้ง 18 คันได้รับการสั่งจองหมดแล้ว”
สาเหตุที่ทำให้ยอดจองไม่เป็นตามคำขอก็เนื่องมาจากว่า ความต้องการของรถลัมโบร์กินี่จากทั่วโลกสูงขึ้นเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะในตลาดตะวันออกกลางมียอดจองถึง 200 คัน ถือเป็นอันดับ 1 ของยอดขายรถซูปเปอร์คาร์ในแถบนั้น แต่คาดว่าบริษัทแม่จะส่งมอบได้เพียง 60-70 คัน ทั้งนี้โรงงานประกอบรถยนต์ของลัมโบร์กินี่มีกำลังการผลิตจำกัดประมาณ 1,800-2,000 คันต่อปี
สำหรับในปีหน้าบริษัทฯ เตรียมที่จะนำเข้าอีก 2 รุ่น คือ ลัมโบร์กินี่ มูร์ซิเอลาโก แอลพี 640 โรดสเตอร์ แต่ยังไม่ได้กำหนดราคาจำหน่าย ขณะที่ราคาของลัมโบร์กินี่ที่มีจำหน่ายในปัจจุบัน อย่างรุ่น มูร์ซิเอลาโก แอลพี 640 ราคา 36.5 ล้านบาท รุ่นกัลญาโด สไปเดอร์ ราคา 25.5 ล้านบาท และรุ่นกัลญาโด ราคา 24 ล้านบาท
นายเสรี กล่าวต่อว่า ในด้านของแอสตัน มาติน อีกหนึ่งแบรนด์ที่บริษัทฯ เป็นตัวแทนจำหน่ายอยู่ ขณะนี้กำลังเตรียมจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการพร้อมกับรถรุ่นใหม่ ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นรุ่น แวนเทจ (Vantage) แบบเกียร์อัตโนมัติ (E-gear) พร้อมกับเตรียมลงทุนเพิ่มอีก 10 กว่าล้านบาท ขยายโชว์รูมรองรับรถรุ่นใหม่แบรนด์ แอสตัน มาร์ติน โดยใช้พื้นที่ 70-80 ตรม.
โดยโชว์รูมของแอสตัน มาร์ติน จะเปิดอย่างเป็นทางการภายในปีนี้ และอาจเป็นช่วงเดียวกับที่ภาพยนตร์เรื่อง “เจมส์ บอนด์” ตอนใหม่ เริ่มฉายในไทยก็เป็นได้ เพราะในหนังดังกล่าวทาง แอสตัน มาร์ติน สร้างรถรุ่นพิเศษ ดีบีเอส สำหรับใช้เป็นพาหนะคู่กาย เจมส์ บอนด์ และคาดว่ารุ่น ดีบีเอส จะผลิตจำหน่ายจริงในแบบลิมิเต็ดเอ็ดดิชั่นเพียง 200 คันทั่วโลก สำหรับเมืองไทยน่าจะได้โควตาเพียง 1 คันเท่านั้น
ส่วนแบรนด์ “โลตัส” อีกหนึ่งแบรนด์ภายใต้การบริหารของบริษัทฯ มียอดขายอย่างต่อเนื่องและเตรียมจะเปิดตัวรถรุ่นใหม่ เอ็กซีก (Exige) รถสปอร์ตขนาดเล็ก ซึ่งมีกำลังสูงสุด 200 แรงม้า แต่ยังไม่ได้กำหนดราคา คาดว่าจะเปิดตัวก่อนสิ้นปีนี้ ขณะที่แบรนด์ “ฮัมเมอร์” ยอดขายในช่วงที่ผ่านมา 30-40 คัน
ในด้านของศูนย์บริการ บริษัทฯ มีการขยายศูนย์ที่เพลินจิต คาดว่าจะเสร็จสมบูรณ์ปี 2008 เพื่อรองรับจำนวนของลูกค้าลัมโบร์กินี่ ที่เพิ่มมากขึ้นจากปัจจุบันที่มีอยู่ราว 50-60 คันเป็น 80-100 คันในอีก 2 ปีข้างหน้า
นายเสรี รักษ์วิทย์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท นิชคาร์ จำกัด เปิดเผยว่า สถานการณ์ทางการเมืองและเศรษฐกิจที่ยังอึมครึมขณะนี้ ไม่ส่งผลกระทบต่อยอดขายของรถระดับพรีเมี่ยมอย่าง ลัมโบร์กินี หรือ แอสตัน มาร์ติน และสิ่งที่พิสูจน์ประโยคนี้ได้ดีคือยอดขายของรถลัมโบร์กินี่มียอดจองสูงถึง 18 คัน หลังจากเปิดตัวในห้างหรูย่านใจกลางเมือง “สยามพารากอน”
“เราขอโควต้ารถลัมโบร์กินี่ ทั้งรุ่น มูร์ซิเอลาโก, กัลญาโด และกัลญาโด สไปเดอร์ จำนวน 25 คันแต่ได้รับโควต้ามาเพียง 18 คันเท่านั้นแบ่งเป็น รุ่นใหม่ล่าสุดอย่างกัลญาโด สไปเดอร์จำนวน 5 คัน ที่เหลือเป็นมูซิเอลาร์โก แอลพี 640 และกัลลาโด จำนวน 13 คัน ซึ่งทั้ง 18 คันได้รับการสั่งจองหมดแล้ว”
สาเหตุที่ทำให้ยอดจองไม่เป็นตามคำขอก็เนื่องมาจากว่า ความต้องการของรถลัมโบร์กินี่จากทั่วโลกสูงขึ้นเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะในตลาดตะวันออกกลางมียอดจองถึง 200 คัน ถือเป็นอันดับ 1 ของยอดขายรถซูปเปอร์คาร์ในแถบนั้น แต่คาดว่าบริษัทแม่จะส่งมอบได้เพียง 60-70 คัน ทั้งนี้โรงงานประกอบรถยนต์ของลัมโบร์กินี่มีกำลังการผลิตจำกัดประมาณ 1,800-2,000 คันต่อปี
สำหรับในปีหน้าบริษัทฯ เตรียมที่จะนำเข้าอีก 2 รุ่น คือ ลัมโบร์กินี่ มูร์ซิเอลาโก แอลพี 640 โรดสเตอร์ แต่ยังไม่ได้กำหนดราคาจำหน่าย ขณะที่ราคาของลัมโบร์กินี่ที่มีจำหน่ายในปัจจุบัน อย่างรุ่น มูร์ซิเอลาโก แอลพี 640 ราคา 36.5 ล้านบาท รุ่นกัลญาโด สไปเดอร์ ราคา 25.5 ล้านบาท และรุ่นกัลญาโด ราคา 24 ล้านบาท
นายเสรี กล่าวต่อว่า ในด้านของแอสตัน มาติน อีกหนึ่งแบรนด์ที่บริษัทฯ เป็นตัวแทนจำหน่ายอยู่ ขณะนี้กำลังเตรียมจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการพร้อมกับรถรุ่นใหม่ ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นรุ่น แวนเทจ (Vantage) แบบเกียร์อัตโนมัติ (E-gear) พร้อมกับเตรียมลงทุนเพิ่มอีก 10 กว่าล้านบาท ขยายโชว์รูมรองรับรถรุ่นใหม่แบรนด์ แอสตัน มาร์ติน โดยใช้พื้นที่ 70-80 ตรม.
โดยโชว์รูมของแอสตัน มาร์ติน จะเปิดอย่างเป็นทางการภายในปีนี้ และอาจเป็นช่วงเดียวกับที่ภาพยนตร์เรื่อง “เจมส์ บอนด์” ตอนใหม่ เริ่มฉายในไทยก็เป็นได้ เพราะในหนังดังกล่าวทาง แอสตัน มาร์ติน สร้างรถรุ่นพิเศษ ดีบีเอส สำหรับใช้เป็นพาหนะคู่กาย เจมส์ บอนด์ และคาดว่ารุ่น ดีบีเอส จะผลิตจำหน่ายจริงในแบบลิมิเต็ดเอ็ดดิชั่นเพียง 200 คันทั่วโลก สำหรับเมืองไทยน่าจะได้โควตาเพียง 1 คันเท่านั้น
ส่วนแบรนด์ “โลตัส” อีกหนึ่งแบรนด์ภายใต้การบริหารของบริษัทฯ มียอดขายอย่างต่อเนื่องและเตรียมจะเปิดตัวรถรุ่นใหม่ เอ็กซีก (Exige) รถสปอร์ตขนาดเล็ก ซึ่งมีกำลังสูงสุด 200 แรงม้า แต่ยังไม่ได้กำหนดราคา คาดว่าจะเปิดตัวก่อนสิ้นปีนี้ ขณะที่แบรนด์ “ฮัมเมอร์” ยอดขายในช่วงที่ผ่านมา 30-40 คัน
ในด้านของศูนย์บริการ บริษัทฯ มีการขยายศูนย์ที่เพลินจิต คาดว่าจะเสร็จสมบูรณ์ปี 2008 เพื่อรองรับจำนวนของลูกค้าลัมโบร์กินี่ ที่เพิ่มมากขึ้นจากปัจจุบันที่มีอยู่ราว 50-60 คันเป็น 80-100 คันในอีก 2 ปีข้างหน้า