xs
xsm
sm
md
lg

เมืองไทยยังมีลูกผู้ชายไม่พอ

เผยแพร่:   โดย: ยอดธง ทับทิวไม้

เมืองไทยของเราทุกวันนี้ สิ่งที่เราอาจจะชี้ให้คนทุกคนเห็นร่วมกันได้อย่างชัดเจนก็คือว่าประเทศไทยเราเป็นประเทศที่ขาด “ลูกผู้ชาย” อยู่มาก

ความหมายของคำว่าลูกผู้ชายเป็นคำเปรียบเทียบที่นำมาใช้คู่กับคำว่า “ลูกผู้หญิง” ซึ่งถือว่าเป็นคำสูงและในขณะที่คนชั้นต่ำจะเรียกคำที่หนักหน่วงไปกว่านั้นคือคำว่า “หน้าตัวเมีย” เท่ากับสัตว์พันธุ์อื่นๆ ที่ไม่มีคุณงามความดีอะไรในโลกนี้

ในทางการเมืองเราอาจจะเรียกคนประเภทนี้ซึ่งมีอยู่เต็มบ้านเต็มเมืองก็จะได้แก่พวกนักการเมืองประเภทโกหก ทรยศคดโกง ไม่กล้าทำอะไรที่เกี่ยวกับความดีความงามที่โลกรู้จัก แต่เป็นพวกซ่อนกิน ฮุบกิน เห่าหอน และขายชาติไปวันๆ เสียมากกว่าซึ่งคนเหล่านี้กำลังทำลายบ้านเมืองอยู่ทุกวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นพวกหัวหงอกหัวดำ พวกที่เรียนหนังสือมาหลายเล่มและเป็นบุคคลที่ถูกเรียกว่าท่านหรือ ฯพณฯ ส่วนมากจะได้รับการเรียกขานจากประชาชนส่วนใหญ่ว่า “ด็อกเตอร์” หรืออะไรแบบนั้นก็ได้

เฉพาะพวกนี้ขึ้นมาปกครองบ้านเมืองหรือเป็นนักการเมืองจากการลงทุนใช้เงินที่คดโกงได้มามากพอสมควรมาซื้อเสียงเลือกตั้ง หรือซื้อนักการเมืองที่มีหน้าที่เพียงยกมือสนับสนุนให้มีอำนาจวาสนาเป็นท่านขึ้นมา

ยิ่งในระยะนี้ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร ผมพบแต่คนที่นิยมการบ่นและการปรารภไร้สาระร้อยแปดเรื่อง เมื่อก่อนนี้ไปไหนพรรคพวกก็จะพูดถึงความยุ่งยากของการจราจร แต่มาถึงสมัยนี้ นอกจากปัญหาน้ำมันแพงและสินค้าทุกชนิดที่ชาวบ้านต้องกินต้องใช้เป็นประจำแพงอย่าง “ฉิบหายวายวอด” ทำไมบ้านเมืองของเราจึงไม่มีความเป็นลูกผู้ชายที่เพียงพอสำหรับแก้ไขปัญหาชั่วร้ายของสังคมซึ่งเกิดซ้ำซ้อนกันขึ้นมาทุกวันไม่ได้หยุด

ผู้ชายในบ้านเมืองของเราทุกวันนี้ส่วนมากจะมีผู้ชายประเภท “อ้ายกร๊วก” แทรกเข้ามาซึ่งมีอำนาจวาสนาอยู่ในวงการเมืองและกิจการต่างๆ ของบ้านเมืองหรือไม่ก็พวกโจรที่เกิดมาเพื่อทำอย่างเดียวคือการผนวกกำลังกันเข้าปล้นชาติถาวร โดยมีกฎหมายรับรองอย่างเป็น หลักเป็นฐานที่ใครทำอะไรก็ได้

อะไรบ้างที่มันจะเป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติประชาชน คนพวกนี้จะไม่รู้จักและทำไม่เป็น และยิ่งมาถึงทุกวันนี้ เรามีคนสำคัญของบ้านเมืองส่วนมากจะเป็นพวกที่พยายามทำตัวเป็นสุนัขรับใช้คนที่มีเงินกว่าหรือพูดได้แต่เรื่องโกหก และกะล่อนร้อยแปดไปวันๆ มันน่าจะทำให้ต้องเป็นห่วงเมืองไทยว่ามันจะไปไม่รอดกันง่ายๆ

เป็นเรื่องน่าแปลกอัศจรรย์อย่างไม่น่าเชื่อที่อาชีพสุนัขรับใช้นักการเมืองสวะในบ้านเมืองของเราได้รับการยกย่องเทิดทูนเป็นอย่างมาก

“คนไทยสมัยก่อนของเราอย่างเช่น คนสมัยบางระจัน จะไม่เคยมีคนที่มีลักษณะนี้หรือไม่มีคุณสมบัติแบบนี้กันเลย ถ้าเขาไม่รู้เรื่องอะไรเลยเพราะไม่ได้เรียนจบด็อกเตอร์ที่ไหนมา เขาก็จะเอาแต่ก้มหน้าก้มตาทำมาหากินไปเฉพาะตัวเขา และจะไม่แส่ไม่เสือกไปทำให้คนอื่นเดือดร้อนหรือทำอะไรให้ใครเดือดร้อน หรือทำตัวให้คนอื่นเชื่อว่าตนเป็นเทวดาลงมาเกิด เฉพาะคนบางระจันนั้น มีแต่ลูกผู้ชายทั้งนั้น ชาวบ้านบางระจันคนหนึ่งบอกกับผม เมื่อผมเดินทางไปเยี่ยมพรรคพวกเก่าแก่ที่นั่น ไม่ว่าคนพวกนี้จะยากดีมีจนยังไงก็ตาม สิ่งที่คนที่นี่จะรักษาหวงแหนอย่างยิ่งก็คือความเป็นลูกผู้ชาย”

ผมนั่งฟังโดยไม่ยอมโต้เถียงอะไรมาก

“คนบางระจันเรามีความเป็นลูกผู้ชายมาก”

ผมก็ยังไม่ยอมออกความเห็นอะไร เพราะถือว่าเราปกครองกันในระบอบประชาธิปไตย ใครจะเป็นเทวดาหรือเป็นหมูเป็นหมาอะไรก็เป็นสิทธิของเขา เป็นเสรีภาพของเขา คนอื่นไม่มีสิทธิไปขัดขวางผลประโยชน์ของเขา

ผมก็เหมือนกัน

เราจะไปขัดขวางอะไรใครไม่ได้ ในระบอบประชาธิปไตยระยำอัปรีย์ที่เราอยู่กันทุกวันนี้ ถึงแม้ว่าเราจะรู้จะเห็นกันอยู่เต็มอกว่าบ้านเมืองของเราทุกวันนี้เราไม่สนใจคนดีคนชั่ว เราสนใจแต่คนที่เป็นท่าน หรือ ฯพณฯ ใครอยากจะเป็นอะไร อยากชั่วช้าสกปรกอย่างไรก็สามารถเลือกเอามาใช้ในการมีชีวิตอยู่ได้อย่างเป็นสุขสบาย

ทุกคนจะไม่พยายามเป็น และหลีกเลี่ยงความเป็นลูกผู้ชายกันมากที่สุดเท่าที่จะทำได้

อย่างคนโบราณในสมัยอยุธยา บ้านเมืองมีเวรมีภัยมีอันตรายจากข้าศึกศัตรูอย่างน้อยที่สุดก็คือพม่าที่จะเข้ามายึดครองกรุงศรีอยุธยานั้น ว่ากันว่าเพื่อลงทุนเข้ามาอาศัยไร่นาเมืองไทยทำนาเตรียมข้าวปลาอาหารหลายปีในชายแดนไทยที่ติดกับพม่า เพื่อทำสงครามกับไทย และยึดเมืองไทยเป็นเมืองขึ้นโดยไม่ต้องขนอาหารการกินมาจากประเทศพม่า

ปรากฏว่าอยุธยาสมัยนั้นไม่มีลูกผู้ชายเลย

ผู้รับผิดชอบบ้านเมืองไทยสมัยนั้น นอกจากจะพยายามสร้างคนมีบุญญาธิการขึ้นมาเพื่อรอรับการประจบสอพลอจากสัตว์เลี้ยงต่างๆ ลืมไพร่ฟ้าประชาชนในแผ่นดินที่พยายามรอคอยความหวังตามภาษาไพร่ทาสของแผ่นดิน แต่บรรดาผู้มีอำนาจวาสนาในแผ่นดินทุกคนก็มั่วสุมสนุกสนานอยู่กับคำบอกกล่าวกันในสมั้ยนั้นว่า “ค่ำเช้าเฝ้าสีซอ เข้าแต่หอล่อกามา” กันอึกทึกครึกโครมชนิดที่ว่ากรุงศรีอยุธยาสมัยนั้นจะย่อยยับไป

ในเวลาอันสมควร พม่าก็บุกเข้ายึดกรุงศรีอยุธยา เผาวัดวาอารามและกรุงศรีอยุธยายับไปเรียบร้อย

คนไทยที่เป็นผู้ชายที่เข้าแต่หอล่อกามาเหล่านั้น ไม่ได้ทำอะไรเลย กลับสั่งห้ามเจ้าหน้าที่บ้านเมืองไม่ให้ยิงปืนใหญ่เข้าใส่พม่าที่บุกเข้ามาในเมืองโดยบอกว่าบรรดาลูกเมียที่อยู่อย่างไม่เป็นอันกินอันนอนทั้งหมดที่ตนมีอยู่จะตื่นเต้นตกใจ!

ไม่เพียงแต่ไม่เป็นลูกผู้ชายเท่านั้น เป็นอ้ายพวกฉิบหายอย่างไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นไปได้เหล่านั้นก็จะพากันตกใจไปด้วยเหมือนกัน

กรุงศรีอยุธยาและคนไทยในยุคนั้นต่างก็ไม่มีที่พึ่งพากัน ต่างก็วิบัติฉิบหายไปหมดเพราะบ้านเมืองขาดลูกผู้ชาย

แต่บังเอิญว่า กรุงศรีอยุธยาเป็นชาติหนึ่งในขณะที่คนไทยมีคำพังเพยติดปากจากยุคนั้นหลงเหลือมาถึงปัจจุบันนี้อีกเหมือนกันว่า “เมืองไทยไม่เคยสิ้นคนดี”

เพราะในขณะที่กรุงศรีอยุธยาที่เจ้าบ้านผ่านเมืองกำลังมั่วเมียน้อยและอีหนูจะตกใจเสียงปืนไม่ยี่หระอะไรทั้งสิ้นนั้น นอกจากอีหนู พฤติกรรมนี้เป็นพฤติกรรมที่คนสมัยนั้นและทุกวันนี้ก็ได้ภาษิตขึ้นมาคู่กันอีกบทหนึ่งสำหรับใช้ในชาติ ซึ่งผมก็ต้องขอโทษอีกตามเคยเพราะว่าเป็นคำหยาบและคำคนชั้นต่ำ ภาษิตนั้นคือคำว่า “กรุงศรีอยุธยาไม่สิ้นคนเหี้ย” หรือเมื่อมีภาษิตอยู่ว่ากรุงศรีอยุธยานั้นไม่เคยสิ้นคนดีก็ตาม แต่ว่ากรุงศรีอยุธยานั้นก็ไม่เคยสิ้นคนเหี้ย!!

ภาษิตหรือคำพังเพยสองประโยคนี้มันจะเป็นอมตะและไม่มีวันตาย

และในระยะนี้เมืองไทยจะหาเหี้ยและสารพัดเหี้ยที่กำลังจะทำลายประเทศไทยและคนไทยได้มากที่สุดตามแนวปรัชญา 5 ข้อ ที่ไปตกลงร่วมกันในต่างประเทศในระยะที่จะจัดตั้งพรรคการเมืองมหาวิบัติเข้ามากินบ้านกินเมืองและมารวมหัวกันขายชาติอยู่ในขณะนี้ ถ้าหากประชาชนพลเมืองไทยในขณะนี้ยังตื่นไม่ทันเล่ห์กลและวิธีการสาระยำของสารพัดเหี้ยที่กำลังดิ้นรอวันตายอยู่ในขณะนี้

ในประวัติการต่อสู้และการป้องกันชาติของคนไทยในประวัติศาสตร์ มีความแตกต่างจากคนชาติอื่นหลายประเทศเพราะในยามที่บ้านเมืองกำลังถูกท้าทายด้วยคนเหี้ยอย่างวันที่พม่าบุกเข้าปล้นกรุงศรีอยุธยา เจ้าขุนมูลนายคนสำคัญหรือถูกฆ่าถูกเผากันวอดไปนั้น ก็มีลูกผู้ชายไทยจำนวนเพียง 500 คน และอีกคนหนึ่งชื่อพระยาวชิรปราการพากันหนีออกมาจากกรุงศรีอยุธยาเพื่อมาตั้งหลักที่กรุงเทพฯ และชลบุรีเพื่อป้องกันบ้านเมืองและผู้คนที่เหลืออยู่

เพียง 500 คนเท่านั้น!

เพราะคนเหล่านั้นคือลูกผู้ชายไทยแท้ๆ ของกรุงศรีอยุธยา
เล่นงานพม่าเสียจนต้องหอบกันกลับบ้านกลับเมืองไปอย่างไม่เหลียวหลังต่อไปอีก

คนไทย 500 คนนี้ไม่ต้องซื้อ ไม่ต้องลงทุนใดๆ ทั้งสิ้น ไม่ต้องติดสินบน เหมือนที่นักการเมืองไทยที่จะลงเล่นการเมืองในเมืองไทย ทุกคนพร้อมที่จะไปตายที่ไหนก็ได้เพื่อรักษาประเทศชาติให้ลูกหลานได้อยู่ แม้แต่ชื่อของแต่ละคนก็ไม่มีใครจดจำจารึกหรือรู้ว่าเป็นใคร และคนพวกนี้ก็ไม่ได้เคยแคร์ว่ากองทัพพม่าที่เข้ามาเผาบ้านเผาเมืองนั้น มันมีมากน้อยเท่าไร ไม่มีอะไรที่จะต้องพูดกันและไม่ต้องต่อรองอะไรกันอีก มึงต้องออกไปเท่านั้นแต่คนไทยจะต้องอยู่

มันก็เท่านั้น!!

คนอยุธยาในยุคนั้น แต่ละคนไม่มีอะไรติดตัวกันทั้งนั้น นอกจากความเป็นลูกผู้ชายอย่างเดียว

แผ่นดินไทยที่ลูกหลานคนจัญไรและอ้ายพวกทรยศเอามากินเอามาใช้ และขายให้ต่างชาติอยู่ทุกวันนี้มันเหลืออยู่ได้เพราะลูกผู้ชายไทยที่มีอยู่ในกรุงศรีอยุธยาเท่านั้น

ผมก็เห็นด้วยและคิดอยู่ว่าทุกคนก็เห็นเช่นเดียวกัน แต่มีปัญหาอย่างคำว่า ลูกผู้ชายหรือความเป็นลูกผู้ชายที่คนบางระจันมีกันอยู่นั้นมันมีรูปร่างประการใด นั่นคือปัญหา

“เยอะ” พรรคพวกรายนั้นบอก เขาบอกต่อไปว่า “ถ้าจะเอาแบบบางระจันกันจริงๆ แล้ว อ้ายคนพวกนี้มันมีไม่ได้หรอก เพราะความชั่วมันมากเกินกว่าจะเอาความดีอะไรใส่ลงไปสอดแทรกไว้ตรงไหนได้ ถ้ามันจะมีปัญญามีกันได้ก็ขออย่างเดียวก็พอ คือขอให้มันมียางอายหรือรู้จักคำว่ายางอายกันบ้าง ทุกวันนี้อ้ายคนพวกนี้ไม่มีเลย”

นั่นก็เป็นความรู้ใหม่อีกอย่างหนึ่งสำหรับผม “ถึงมันจะไม่ครบไม่สมบูรณ์ก็ขอแต่เพียงให้มันมีอยู่บ้างเท่านั้นหรือคุณเชื่อว่ามันมีกัน?”

“ก็ไปบอกให้มันเพิ่มเข้าไปอีกสักสองอย่างคือศีลธรรมกับคุณธรรม เพราะเท่าที่มองเห็นนอกจากจะไม่เคยมียางอายกันแล้ว คุณธรรมและศีลธรรมมันก็ไม่มีกันเลยหรือไม่ก็ไปเปิดโรงเรียนประชาบาลขึ้นที่บางระจันอีกสักแห่งหนึ่ง อาจจะช่วยได้ก็ได้ เมืองไทยอาจจะดีขึ้นก็ได้”

ผมว่ายังไงก็ยังทำยากหรือแก้อะไรได้ยาก

เมืองไทยเราคอร์รัปชันกันได้ โกหกอะไรก็ได้ แม้แต่ขายบ้านขายเมืองขายแผ่นดินกินก็ได้ มันเป็นวัฒนธรรมประจำชาติ เราประพฤติปฏิบัติกันมาจนชิน แต่สิ่งที่เราจะทำไม่ได้กันแน่ก็คือการทำให้นักการเมืองของเรามีความอายขึ้นมาสักนิดก็ยากแล้ว เพราะว่าความอุบาทว์เลวร้ายเหล่านี้เราก็ทำกันมาจนชินเหมือนกัน!!
กำลังโหลดความคิดเห็น