xs
xsm
sm
md
lg

นับถอยหลัง 18 เดือน : ถวายของขวัญชิ้นใหญ่ให้พ่อ

เผยแพร่:   โดย: บัณรส บัวคลี่

สัปดาห์แห่งวโรกาสมิ่งมงคลกำลังผ่านพ้นไป ภาพของความปลื้มปีติร่วมกันของหัวใจไทยทั้ง 60 กว่าล้านใจ..ได้ถูกจารึกเป็นตำนานของแผ่นดิน-หนักแน่นเป็นนิรันดร์ไปเรียบร้อยแล้ว

ด้วยเหตุที่นับจากนี้จะมีสถานการณ์บ้านเมืองใหม่ๆ เข้ามา ทั้งเรื่องเศรษฐกิจและการเมือง ซึ่งอาจทำให้คนไทยทั้งปวงลืมนึกไปว่า เรายังต้องร่วมกันถวายความจงรักภักดีในวโรกาสมงคลยิ่งใหญ่อีกงานหนึ่ง

พิธีเฉลิมพระชนมพรรษา ครบ 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550

นับถอยหลังเหลืออีกแค่ 18 เดือนเท่านั้น!

ใจไทยทุกดวง อยากเห็นงานที่ยิ่งใหญ่ งดงาม เรียบร้อย ผ่านการเตรียมงานที่รอบคอบ เป็นระบบ

ไม่มีภาพของความฉุกละหุก แก้ปัญหาเฉพาะหน้า

หรือแบบที่ผู้มีอำนาจเพิ่งฉุกคิดใหม่ทำใหม่แบบกะทันหัน

จะฉุกละหุก หรือจู่ๆ ก็คิดทำกันเพราะสถานการณ์บังคับแบบไหน - จะไม่ขอยกมาเอ่ยให้เป็นรอยด่างในที่นี้ เข้าใจว่าผู้อ่านที่ติดตามข่าวสารบ้านเมืองคงจะรู้กันดี

ข้อเสนอ

1. เนื่องด้วยเรามีรัฐบาลรักษาการ และสถานการณ์การเมืองยังไม่เรียบร้อย ขอให้ภาคราชการที่เกี่ยวข้องกับงานคิด-เตรียมแผนงานทั้งหมดและเริ่มดำเนินการตั้งแต่บัดนี้

2. นอกเหนือจากนโยบายปฏิรูปการเมือง พรรคการเมืองทุกพรรค ต้องบรรจุแนวคิดและแผนงานระยะสั้นที่ชัดเจนเรื่องของการจัดงานเฉลิมฉลอง

สำหรับประชาชน ผู้เขียนขอเสนอแนวคิดการทูลเกล้าฯ ถวายของขวัญชิ้นใหญ่

ผู้เขียนไม่คิดกังวลเรื่องความร่วมมือของพี่น้องประชาชนเลย เพราะพวกเราได้ร่วมกันพิสูจน์อย่างชัดเจนแล้วว่า เมื่อถึงเวลานั้นเราพร้อมจะเทหัวใจถวายพ่อของเราเช่นไร!

ขอสารภาพว่า มีสิ่งที่แอบกังวลลึกๆ อยู่เรื่องเดียวเท่านั้น

เนื่องเพราะว่า คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจพอเพียง และสภาพัฒน์ได้กำหนดไว้ล่วงหน้าว่า

กำหนดจะทูลเกล้าฯ ถวายของขวัญชิ้นใหญ่ ในเดือนธันวาคม 2550

ด้วยการถวายรายงานผลการดำเนินการผลักดันและขับเคลื่อนเศรษฐกิจพอเพียง ที่ทรงประทานลงมา


แอบกังวล - ก็เพราะว่าการดำเนินการนับจากวันที่ 21 พฤศจิกายน 2542 ที่ทรงมีพระบรมราชวินิจฉัย ผ่านหนังสือที่ รล.0003/18888 ถึงประธานคณะกรรมการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ พระราชทานพระบรมราชานุญาต ให้เผยแพร่ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง

ตามมาด้วยการขับเคลื่อนผลักดันแนวทางดังกล่าวและได้ตั้งเป้าจะทูลเกล้าฯ ถวายผลงานนั้น

นับจากวันนั้นถึงวันนี้ เป็นเวลาเกือบ 7 ปีเต็ม

และตอนนี้เหลือเวลาอีกแค่ 18 เดือนเท่านั้น!!

แนวทางการพัฒนาที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของทางสายกลางและความไม่ประมาท โดยคำนึงถึงความพอประมาณ ความมีเหตุผล การสร้างภูมิคุ้มกันที่ดีในตัว ตลอดจนใช้ความรู้ ความรอบคอบ และคุณธรรม ประกอบการวางแผนการตัดสินใจและการกระทำ ที่เรียกว่าเศรษฐกิจพอเพียงดังกล่าว

สภาพัฒน์ได้อัญเชิญมาเป็นแนวทางในการจัดทำแผนชาติฉบับที่ 9 (2545-2549)

ก็คือแผนฯ ที่กำหนดทิศทางเราท่านกันอยู่เวลานี้แหละ

บังเอิญอย่างยิ่งที่รัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีนโยบายที่ชัดเจนว่าจะใช้นโยบายของตัวเองในการบริหารประเทศ ไม่เหมือนกับรัฐบาลก่อนๆ หน้านี้ที่ยึดแผนชาติฯ และแผนของระบบราชการมาเป็นหลัก

ดูเหมือนว่าแนวทางแบบทักษิโณมิกส์ ไม่สอดคล้องกับแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงตามแผนชาติฉบับที่ 9 เท่าไหร่

ยกตัวอย่างสั้นๆ เป็นตอนๆ พอให้เกิดภาพ

วิสัยทัศน์ของแผน 9 กำหนดจุดมุ่งหมายหลัก บอกว่า

“ให้เกิด “การพัฒนาที่ยั่งยืนและความอยู่ดีมีสุขของคนไทย” โดยให้ความสำคัญกับการพัฒนาแบบองค์รวมที่ยึดคนเป็นศูนย์กลางของการพัฒนาและการพัฒนาอย่างมี “ดุลยภาพ”

ในส่วนของค่านิยมร่วมระบุว่า

..สร้างจิตสำนึกให้คนไทยตระหนักถึงวิกฤตของประเทศและความจำเป็นที่ต้องปรับเปลี่ยนกระบวนการคิด ทัศนคติ และกระบวนการทำงาน

โดยยึด “ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” เป็นปรัชญานำทาง

....มีความสามารถเลือกใช้ความรู้และเทคโนโลยีได้อย่างคุ้มค่าและเหมาะสม มีระบบภูมิคุ้มกันที่ดี และมีความยืดหยุ่นพร้อมรับการเปลี่ยนแปลง ควบคู่ไปกับการเสริมสร้างคนดีที่เพียบพร้อมด้วยคุณธรรมและความซื่อสัตย์สุจริต”


ไปพลิกดูกันเองนะครับ เพราะตัดตอนมาแบบนี้เดี๋ยวก็มีครหาว่าตัดต่อครึ่งๆ กลางๆ เพื่อให้เข้ากับที่ตัวเองต้องการนำเสนอ

แล้วมาเปรียบเทียบกับที่พวกเราชาวไทยพบเจอในรอบ 5-6 ปีที่ผ่านมานี้

มีจริงหรือเปล่า ใช้ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเป็นปรัชญานำทาง?

มีจริงหรือเปล่า การพัฒนาประกอบจากเงื่อนไขขององค์ความรู้และคุณธรรมกำกับควบคู่กัน?

มีจริงหรือเปล่า การเสริมสร้างคนดีที่เพียบพร้อมด้วยคุณธรรมและความซื่อสัตย์?

มีจริงหรือเปล่า ส่งเสริมให้รู้จักใช้จ่าย ยับยั้งชั่งใจรู้เท่าทันบริโภคนิยม?

ฯลฯ

สภาพัฒน์ ในยุครัฐบาลทักษิณ เปลี่ยนแปลงไปมาก เพราะไม่ได้เป็นผู้วางนโยบายประเทศอีกต่อไป รัฐบาลไทยรักไทยส่งคนนอกที่ไม่ใช่ลูกหม้อมานั่งหัวโต๊ะผ่านมาแล้ว 2 คน ขณะที่ประธานบอร์ดคนปัจจุบันก็ชื่อ ดร.ทนง พิทยะ

เขาบอกอย่างสวยหรูว่าเป็นแผนกลยุทธ์ สศช. 2547-2550 จัดทำยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศสู่ความสมดุลและยั่งยืน ยึดประโยชน์ส่วนรวมฯ

แต่ในทางปฏิบัติรัฐบาลไทยรักไทยใช้สภาพัฒน์เพื่อกลั่นกรองโครงการใหญ่ อีกนัยคือให้มาเป็นตราประทับโครงการตามนโยบายพรรค หรือไม่ก็ในช่วงที่มีเงินกองกลางใช้เยอะๆ บอกว่าเป็นงบกระตุ้นเศรษฐกิจ ก็ใช้สภาพัฒน์นี่แหละมาเป็นตัวแสตมป์

ที่รับไม่ได้จริงๆ คือ ในเมื่อสภาพัฒน์ประกาศว่าคือหน่วยงานผลักดันแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง รู้เท่าทันโลกาภิวัตน์ สร้างภูมิคุ้มกันให้ชุมชน

สภาพัฒน์ได้สร้างไอคอนว่าด้วย ยุทธศาสตร์แก้ไขปัญหาความยากจน อ.อาจสามารถ จ.ร้อยเอ็ด ขึ้นมาบนเว็บไซต์ของสภาพัฒน์

เคลมว่า นี่คือเส้นทางการพัฒนาสู่ความพอเพียง ยุทธศาสตร์แก้ไขปัญหาความยากจน-ว่ากันไปโน่น

เอกสารน่าเชื่อถือครับ แต่ผมเชื่อตาของผมมากกว่า

ภาพข่าวพ.ต.ท.ทักษิณ ควักเงินหว่านชาวบ้านอย่างไร มีขบวนแห่แบบไหน ไปทำอะไรกันที่นั่น - อย่างนี้เหรอที่เรียกว่าตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง ?

ไม่ใช่ อาจสามารถโมเดล ตามที่ใครเขาเรียกกันหรอก

แต่เป็น อาจสามารถโมเดลลิ่ง!!

มีนายแบบหน้าเหลี่ยม ขี่มอเตอร์ไซค์บ้าง พายเรือบ้าง ไปหาบน้ำรดผักบ้าง ..ทำได้ทุกท่าเมื่อเห็นกล้องทีวี-หารู้ไม่ว่าแบบนี้ถ้าไม่แสดงตลกก็เข้าข่ายบ้า!!

เศรษฐกิจพอเพียง เป็นเกราะป้องกันให้สังคมไทยยืนได้ท่ามกลางกระแสเชี่ยวกรากของทุนนิยมเสรีโลกาภิวัตน์ ลงลึกไปถึงระดับจิตใจและวิถีการดำเนินชีวิต มิหนำซ้ำยังดึงคุณค่าทางจิตวิญญาณว่าด้วยคุณธรรมจริยธรรมมาเป็นแกนให้กับสังคม

เป็นประชาชนคุณภาพที่อยู่ในสังคมทุนนิยมใหม่ได้อย่างรู้เท่า-รู้ทัน

5-6 ปีที่ผ่านมา ก็เพิ่งจะเห็นการนำเสนอข่าวสาร แนวคิดแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงอย่างเต็มอกเต็มใจและมีความถี่ก็ในช่วงสัปดาห์มหามงคลนี่แหละ - มันไม่พอครับ

อย่างที่เรียนไว้ครับ ผมแอบกังวลลึกๆ ว่าของขวัญชิ้นใหญ่ที่คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจพอเพียง กำหนดจะรวบรวมผลงานทูลเกล้าฯ ถวาย จะไม่เรียบร้อยงดงามตามที่หวัง

แผน 9 แผนเศรษฐกิจพอเพียงก็กำลังจะผ่านพ้นไป.. เป็น 5 ปีที่เปล่าดาย

ไม่ได้ฉีกก็เหมือนกับฉีกนั่นแหละ!!

ในเมื่อหวังกับนักการเมืองไม่ได้ ก็ต้องหันมาหวังในตัวพี่น้องประชาชนเพื่อร่วมชาติ

เหลือเวลาอีกแค่ 18 เดือนเท่านั้น

มาร่วมมือกันสร้างของขวัญชิ้นใหญ่ทูลเกล้าฯถวายพ่อของเรากันเถอะ!
กำลังโหลดความคิดเห็น