xs
xsm
sm
md
lg

เมืองไทยกำลังเป็นบ้า

เผยแพร่:   โดย: ยอดธง ทับทิวไม้

ลองมาอ่านพาดหัวข่าวของหนังสือพิมพ์สองสามฉบับเหล่านี้ดูกันก่อนว่ามันบอกอะไรถึงเรื่องของบ้านเมืองและคนไทยที่พยายามเอาเมืองไทยมาเล่นแร่แปรธาตุปู้ยี่ปู้ยำกันเล่นเหมือนเด็กอมมือกันอยู่ในขณะนี้ และนักเล่นแร่แปรธาตุเหล่านี้เมื่อมีโอกาสเอาบ้านเมืองมาเล่นแร่แปรธาตุกันได้ตามความพอใจแล้ว ก็ลืมเอาความเป็นผู้เป็นคนติดตัวมาด้วย

“เปิดบันทึก ปธ.ฎีกาถึงสุชน-กกต.สิ้นสภาพ ไม่เป็นกลาง -ซื่อสัตย์สุจริต ก่อปัญหาทางกม.ไม่สิ้นสุด ขาดคุณสมบัติตามมาตรา 136 มติศาลฎีกาไม่สรรหา 2 กกต.ล้มคำขอ “สุชน” ยก 5 ปมหัก-ต้องโละทั้งชุด” (มติชนรายวัน 1 มิถุนายน 2549)

ดังที่กล่าวมาแล้วว่าบ้านเมืองของเราก็เหมือนประเทศอื่น คือเป็นบ้านเมืองที่มีกฎหมาย มีข้อตกลงว่าอะไรใครจะทำได้แค่ไหนหรือทำไม่ได้ อะไรถูกต้องหรือไม่ถูกต้องก็อาศัยหลักเกณฑ์ที่ว่านั้นมาตัดสินกัน เพราะข้อตกลงหรือหลักเกณฑ์ที่จะเอามาตัดสินนั้นได้ตกลงกันโดยทั่วไปแล้วทั้งชาติ ไม่น่าจะต้องมีปัญหามาถกเถียงขัดแย้งอะไรอีก

แต่มันก็เกิดขึ้นและก็ต้องมี เพราะคนที่พยายามทำให้มันมีนั้น เนื่องจากไม่เห็นด้วยกับกฎเกณฑ์หรือข้อตกลงต่างๆ ที่ทำกันไว้เป็นครื่องมือในการปกครองประเทศ เพราะถ้าหากว่ายอมรับกันง่ายๆว่าถูกต้องและต้องยอมรับ ตัวเองและพรรคพวกก็จะเสียประโยชน์และรายได้มหาศาลจากการใช้ตำแหน่งหน้าที่เข้าไปหาวิธีการคอร์รัปชัน

เรื่องมันก็เท่านั้นแหละ!

การปกครองประเทศไทยนั้น เป็นประเทศหนึ่งที่ทุกคนเรียกกันว่าเป็นการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ผู้มีส่วนเข้าไปบริหารปกครองเป็นเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบปัญหาของประเทศในนามตัวแทนของประชาชน และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ไม่ว่าจะโดยตัวบทกฎหมายหรือนิติประเพณี ก็มีตัวมีตนครบ

ก็ไม่มีอะไรเป็นปัญหาอีก เพราะเป็นเวลาหลายร้อยปีมาแล้วที่เราปกครองดูแลกันมาอย่างนี้ เพราะทำไปตามกฎหมายและข้อตกลงทางสังคมของเราได้เป็นที่ยอมรับกันแล้วตั้งแต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยมีปัญหาร้ายแรงใดๆ จากคนในประเทศ นอกจากศัตรูนอกบ้าน

และไม่ต้องไปบอกกล่าวหรืออธิบายอะไร เรามีรัฐธรรมนูญและกฎหมาย รัฐธรรมนูญที่ว่านั้นมีอยู่ในชาติบ้านเมืองที่อาจจะเรียกได้ว่าคนไทยทุกคนแม้จะตาบอดหูหนวกก็จะได้รู้ได้เห็นว่าอะไรมันถูกอะไรมันผิด

เช่นเดียวกับการกระทำที่ผิดกฎหมายประเพณีของ กกต.คราวนี้ ไม่มีใครจะกล้าปฏิเสธว่ากลุ่มบุคคลใน กกต.ไม่ได้กระทำผิด

หรือไม่ได้สร้างความยุ่งยากแก่กฎหมายและระเบียบประเพณีของชาติ หรือการกระทำที่ยืนยันให้เห็นว่าไม่เป็นกลางและไม่ซื่อสัตย์สุจริต


เมื่อศาลชี้ว่า กกต.มีความผิดและต้องลาออก ปรากฏว่าได้รับการคั
ดค้านอย่างด้านๆ กลับยืนขึ้นมาสู้ท้าทายด้วยประการต่างๆ ที่จะดันทุรังอยู่ต่อไป ซึ่งนอกจากจะเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายและยังเป็นการกระทำที่หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ยังพยายามจะ “เสือก” ทำกันอยู่อย่างดื้อด้านหรือหนาที่สุด และถ้าเรามัวแต่ด้านและหนากันอย่างนี้เพียงอย่างเดียว คนไทยและสังคมไทยจะอยู่กันยังไง ถ้าเรายังปล่อยให้มีการประพฤติปฏิบัติและมีความเห็นอันดื้อด้านดันทุรังที่ทำกันอยู่นี้ ก็เท่ากับว่าเราพร้อมที่จะให้คนชั่วขึ้นมากินบ้านกินเมือง และทำลายขนบประเพณีของชาติเป็นหลักกระนั้นหรือ?

นั่นหมายถึงว่า เมืองไทยเราเป็นบ้า และเราจะอยู่กันหน้าตาเฉยกับความบ้ากระนั้นหรือ?

เรื่องอุบาทว์หรือที่เรียกกันว่าวิกฤตการณ์ที่ทำความยุ่งยากแก่ชาติและสังคมไทยที่เป็นอยู่นี้ ความจริงไม่ใช่เรื่องใหญ่เรื่องโตอะไรเลย มันเป็นเพียงเรื่องของคนสองสามคนที่พยายามจะเข้ามางาบเอาชาติไทยและคนไทยเป็นที่ทำมาหากินเท่านั้น

คนพวกนี้จะลืมหมดไม่ว่าจะเป็นความเป็นคนไทย ขนบประเพณี หลักการในการมีชีวิตอยู่

ไม่มีอะไรจะต้องพูดและต้องคิดหรือเสียเวลาอะไรมาทะเลาะเบาะแว้งกันต่อไปอีก ตรงข้าม คนไทยควรอย่างยิ่งที่จะช่วยกันเปิดนรกขุมใหญ่ขึ้นมาสักขุมหนึ่ง แล้วก็ช่วยถีบมันลงนรกเสีย

เรื่องอย่างที่เรามีกันอยู่มันก็จะไม่มีหรือถ้ามีเรื่องมันก็จะสั้นเข้า

การเมืองในบ้านเมืองของเราเป็นการเมืองในระบอบประชาธิปไตย ซึ่งมากมายไปด้วยนักการเมืองที่เป็นนักขายตัวและกะล่อนหลอกลวง เดินชนไหล่กันอยู่มุมถนน คนที่ตั้งพรรคการเมืองเพื่อจะได้รับการสนับสนุนคะแนนด้วยการยกมือที่มีจำนวนมากพอ ทุกคนจะต้องใช้เงินซื้อเสียงหรือซื้อคนเหล่านั้นเข้ามาอยู่ในคุกของตัวเองหรือพรรคของตัวเอง ยิ่งไปกว่านั้น ยังจะต้องมีเงินอีกจำนวนมหึมาสำหรับซื้อคนทำงานให้พรรคและตัวเองเป็นจำนวนมหาศาลด้วย และเงินมหาศาลที่ว่านั้นจะได้มาจากการไปทำหน้าที่ในบ้านเมืองในฐานะตัวแทนรัฐบาลและผู้นำประเทศ เพราะฉะนั้น ปัญหาที่ยุ่งยากที่ไม่ทำให้เจ้าหน้าที่หรือพวกเดียรัจฉานทางการเมืองที่ทำงานทุจริตคิดมิชอบต่อบ้านเมือง ด้วยการพยายามทุกวิถีทางที่จะทำให้พรรคมีอำนาจ มีอิทธิพล

ทุกคนทุกหน้าที่มีโอกาสเข้าไปร่วมงานกันจะพยายามทำอย่างเดียวคือการทำมาหากิน
คดโกง ฉกชิง ปล้นทุกสิ่งที่มันจะช่วยทำเงินและความร่ำรวยให้ได้


แต่ที่มันเกิดมีขึ้นในประเทศชาติจนเป็นเรื่องอื้ออึง และถือว่าเป็นวิกฤตครั้งสำคัญของชาติในระบอบประชาธิปไตยของเรานั้นได้มีความชั่วร้ายประการหนึ่งแอบแฝงในกลุ่มผู้ทำหน้าที่ตามกฎหมาย คนพวกนั้นเราเรียกกันว่านักการเมืองคือพวกคนที่ถูกเลือกตั้งขึ้นมาที่รู้จักกันในนามของ กกต.ที่มีหน้าที่มาจัดการการเลือกตั้ง การจัดการของ กกต.พวกนี้ได้ถูกปล่อยให้ทำผิดกฎหมายกันมาเพราะไม่ครบองค์ประชุม และดำเนินการการกระทำความผิดที่คนทั้งบ้านทั้งเมืองรู้กันคือขาดความเป็นกลาง -ข่าวพาดหัวหนังสือพิมพ์ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตและก่อให้เกิดปัญหาทางกฎหมายตามที่กล่าวถึงในตอนต้น (การฟ้องร้องกล่าวหา กกต.ชุดนี้จะไม่มีเพียงเท่านี้ แต่ยังจะมีอีกมากมายเฉพาะอย่างยิ่งการคอร์รัปชันจำนวนมหาศาลหลักฐานต่างๆ สามารถลากคอเข้าคุกกันได้อยู่ที่พลตำรวจเอกประทิน สันติประภพวุฒิสมาชิกอาวุโสท่านหนึ่งที่มีคนรักบ้านรักเมืองเอาไปมอบให้)

เพราะความจริงมีอยู่ว่า เจ้าหน้าที่จัดการเลือกตั้งกลุ่มนี้เป็นลูกจ้างหรือเป็นพวกสุนัขรับใช้ของนักการเมืองกลุ่มหนึ่งถูกจ้างเข้ามาเพื่อทำการละเมิดกฎหมาย และคดโกงบ้านเมืองเพื่อประโยชน์กับนายจ้างซึ่งเป็นพรรคการเมืองที่ต้องการใช้การเมือง และการเลือกตั้งเพื่อสร้างความเป็นปึกแผ่นแก่ตนเองที่จะช่วยทำให้การทำมาหากินทางการเมืองของตนให้มั่นคงต่อไป

นี่คือตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดอีกเรื่องหนึ่งในกิจกรรมการคอร์รัปชันของประเทศ ที่เป็นต้นเหตุวิกฤตการณ์ทางการเมืองครั้งนี้

เพราะการเมืองคอร์รัปชัน!

ถ้าพูดตามภาษาชาวบ้านก็ว่ากันชนิดฉิบหายวายวอดว่างั้นเถอะ!

นี่คือเมืองไทยหรือประชาธิปไตยเมืองไทย

และเรื่องที่บ้าหนักยิ่งเข้าไปอีก ก็คือเอาคนสำคัญที่พยายามทำตัวเองโง่ให้ถึงที่สุดคือไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ทั้งๆ ที่เป็นตัวเองก็บอกว่าเป็นคนอื่นแม้แต่การอ้างคนอื่นที่นั่งอยู่ข้างๆว่าเป็นตัวเองก็ทำ

พร้อมๆ กันกับที่จะใช้ความชั่วทุกประการเพื่อความสำเร็จในการจัดการเลือกตั้ง กลุ่มโจรและสมุนบริวารต่างๆ ของพรรคจะแบ่งงานกันในการคดโกง และละเมิดกฎหมายหรือความเป็นธรรมและความถูกต้องต่างๆ แม้แต่การจ้างผู้สมัครในพรรคที่มนุษย์ไม่เคยรู้จักมาสมัครร่วมเพื่อให้ถูกต้องตามกฎหมาย เพราะการเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตยของเราครั้งนี้มีพรรคสมัครลงเลือกตั้งเพียงพรรคเดียว ผู้สมัครรับเลือกตั้งจะต้องสู้กับตัวเองแต่เพียงคนเดียว ก็เกิดปัญหาขึ้นว่าถ้าไม่มีคนไปลงคะแนนไม่เกิน 20 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนผู้เลือกตั้ง ก็ถือว่าไม่ได้รับเลือกนอกจากจะมีคู่แข่งที่ไม่มีใครยอมลงสมัครมาสมัครแข่งขัน หรือแม้แต่การใช้อำนาจหน้าที่ของตัวกระทำการทุจริต ท้าทายกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นการพิมพ์บัตรปลอมหรือการจัดการลงคะแนนที่เต็มไปด้วยวิธีการทุจริตต่างๆ แล้ว ถ้าหากว่าการเลือกตั้งนั้นไม่สามารถจะได้คนที่ต้องการเข้ามาเป็นสุนัขรับใช้ของพรรคตามที่ต้องการแล้ว พรรคก็จะหาวิธีโกงที่คณะกรรมการการเลือกตั้งหรือ กกต.จะต้องใช้ก็คือจะต้องจ้างพรรคเล็กที่ไม่มีใครรู้จักเข้ามาลงเลือกตั้งโดยการจ่ายเงินค่าจ้างให้ผู้สมัครรับจ้าง

ซึ่งก็ทำให้เกิดเรื่องอื้อฉาวและถ่อยขึ้นมาในระบอบประชาธิปไตยที่เราบอกกันว่าพยายามสร้างขึ้นอีกสถานหนึ่ง นั่นคือมีคนสามารถจับผิดได้ว่ามันเป็นการกระทำที่ตบตาประชาชน และผิดกฎหมายก็เกิดเอะอะกันขึ้น

ปรากฏว่าการว่าจ้างผู้สมัครปลอมเข้าสมัครนี้ กระทำหรือเชื่อว่ามีการกระทำโดยคนสำคัญของพรรคการเมืองพรรคหนึ่งซึ่งมียศมีศักดิ์เป็นถึงนายพลทหารและทำกันด้วยการพูดจาตกลงนัดหมายกันที่กระทรวงกลาโหมที่ตนเป็นเจ้ากระทรวงอยู่

ความจริงเรื่องสกปรกในบ้านเมืองอย่างอื่นก็มีมากมายอยู่แล้ว ไม่มีใครคาดคิดว่าจะมีเรื่องการเมืองเดียรัจฉานทำนองนี้เกิดขึ้นอีก แต่เมื่อมันเกิดขึ้นมาแล้วก็ต้องสนใจทนกันต่อไปและพยายามปลงให้ตก

หนังสือพิมพ์ “มติชน” ตีข่าวพาดหัวลงไปว่า “ธรรมรักษ์เครียด-แม้วให้แจง กห.รับภาพจริง ตั้งกก.สอบเกลือเป็นหนอน” และ “อ้างบุคคลในภาพไม่ใช่ผม” ขณะที่ท่านผู้หญิงผู้คุมทุนของพรรคหนังสือพิมพ์ก็ว่า “อ้อ-ตำหนิปล่อยภาพหลุด” ซึ่งดูเหมือนกับว่าเป็นโครงการที่จะต้องทำกันเช่นนั้นแต่ไม่น่าจะปล่อยให้หลุดไปถึงชาวบ้าน และต่อจากนั้นก็เป็นเรื่อง “หัวหน้ามุ้งเครียด” (มติชน 31 พฤษภาคม 2549)

บ้ากันไปหมดทั้งชาติ

ถึงแม้ว่าจะมีอำนาจวาสนาสูงสุดเป็นใหญ่เป็นโตและมีเงินเป็นแสนล้าน มันก็เป็นเพียงอ้ายกร๊วกคนหนึ่งซึ่งไม่น่าจะมีเรื่องเฮงซวยเหล่านี้เข้ามาเหยียบหน้าเล่นๆได้

ก็น่าจะถือว่าเป็นบทเรียนสำหรับพวกอ้ายกร๊วกที่พยายามหน้าด้านกันอยู่ในขณะนี้ เพราะไม่ว่าจะฝันถึงสวรรค์วิมานอะไรมันก็คงไปไม่ถึงถ้าเริ่มพังขนาดนี้ ผมว่าควรจะลาออกเสียให้หมดเรื่องไป การพยายามใช้หน้าด้านและหน้าหนาหากินอยู่กับความสกปรกโสโครกนั้น ไม่น่าจะมีอะไรน่าปรีดาในชีวิต

ต่อจากนี้ไป คำเตือนหรือเสียงสรรเสริญมันก็จะออกมาทำนองนี้เรื่อยๆไป แต่ละเสียงที่ออกมาเรียกร้องและตักเตือนนั้น มันจะไม่ประเสริฐไปกว่าทำนองนี้คือ

“ศาลไม่รับพายเรือให้โจรนั่ง มติเอกฉันท์ปัดสรรหา 2 กกต.” และ “ทรท.ใบ้กิน ภาพฉาวถูกแฉ” (ผู้จัดการรายวัน 31 พฤษภาคม และ 1 มิถุนายน 2549 )

“ธรรมรักษ์เครียด-แม้วให้แจง กห.รับภาพจริงตั้งกก.สอบเกลือเป็นหนอน” (มติชน 31 พฤษภาคม 2549)

บ้านเมืองผู้คนเป็นใหญ่เป็นโตบ้ากันขนาดนี้แล้ว ไม่แน่ว่าจะมีบ้าอะไรกันต่อไปอีก!

และเราก็จะอยู่กันบ้าๆ อย่างนี้ต่อไปหรือ?
กำลังโหลดความคิดเห็น