ผมเดินขึ้นบันไดไปด้วยจิตใจที่ยึดมั่นในบารมีแห่งเจ้าประคุณสมเด็จอย่างเต็มเปี่ยมจนถึงหน้าห้องของอาจารย์ใหญ่ มีป้ายเขียนไว้ข้างหน้าว่าห้องอาจารย์ใหญ่ นายบุญยัง ทรวดทรง ผมจึงเดินผ่านประตูเข้าไป เห็นชายวัยห้าสิบเศษ รูปร่างเล็ก ใส่แว่น ท่าทางเคร่งขรึม แต่งตัวในชุดลูกเสือ นั่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน ซึ่งข้างหน้าโต๊ะทำงานนั้นก็มีโต๊ะรับแขกวางอยู่อีกชุดหนึ่ง
ผมเข้าไปแล้วยืนอยู่ใกล้กับประตู พลางยกมือขึ้นไหว้แล้วกล่าวว่ากระผมมาขอพบท่านอาจารย์ใหญ่ครับ ขณะที่ใจก็ตั้งความปรารถนาให้ครูใหญ่ได้เมตตาสงสารผู้ยากด้วย
อาจารย์บุญยังเงยหน้าขึ้นจากโต๊ะทำงาน มองมาที่ผมแล้วพยักหน้าเป็นทีให้เข้าไปหา ผมก็เดินเข้าไปที่หน้าโต๊ะทำงานของอาจารย์ใหญ่แล้วกระทำคำนับแบบเด็กนักเรียน อาจารย์บุญยังมีท่าทีงุนงงสงสัย เพราะเมื่อเข้าไปใกล้ท่านก็รู้ว่าผมไม่ใช่นักเรียนโรงเรียนวัดมกุฏกษัตริย์ จึงเอ่ยถามขึ้นว่ามาหาใคร
ผมกุมสติไว้มั่นอยู่ก่อนแล้วจึงตอบไปในทันทีว่ากระผมมากราบขอพบท่านอาจารย์ใหญ่ ท่านถามกลับมาว่ามีธุระอะไร ผมจึงตอบไปว่ากระผมเป็นคนบ้านนอก มาจากต่างจังหวัดเพื่อจะมาเรียนหนังสือที่กรุงเทพฯ แต่จนถึงเวลานี้ยังไม่มีที่จะเล่าเรียนเลย ไม่เห็นใครเป็นที่พึ่ง จึงมากราบขอความกรุณาเพื่อขอเรียนหนังสือที่โรงเรียนนี้
ครูบุญยังได้ฟังก็แปลกใจ เพราะคนที่เข้ามาหาก็ไม่เคยรู้จักมาก่อนและเรื่องราวที่ได้ยินก็คงไม่เคยได้พบมาก่อน แต่ด้วยวิสัยของคนเป็นครูที่มีคุณธรรมสูงล้ำ ท่านมิได้แสดงท่าทีที่รังเกียจเดียดฉันท์หรือแสดงอาการไม่พอใจหรือไม่ต้อนรับแต่ประการใด กลับบอกให้ผมนั่งที่เก้าอี้หน้าโต๊ะทำงานนั้น
ในขณะนั้นพลันนึกถึงคำสอนของแม่ที่เคยพร่ำสอนมาแต่น้อยและย้ำเตือนหลายครั้งหลายหนว่าความนอบน้อมต่อผู้ใหญ่นั้นจะเป็นมงคลแก่ตัว
แม่ยังเคยบอกด้วยว่าคำให้พรของพระหลังจากพระสวดพระปริตรเสร็จหรือหลังจากพิธีกรรมใดๆ ในทางพระพุทธศาสนาที่พระให้พรว่าอายุ วรรณะ สุขะ พละ นั้น ไม่ใช่พระให้พรเฉยๆ
คำให้พรของพระในตอนนี้ยังมีเงื่อนไขกำกับไว้อยู่เสมอ แต่ไม่ค่อยมีใครสนใจหรือสังเกตว่าเป็นการให้พรโดยมีเงื่อนไข เพราะเมื่อพระให้พรด้วยพระคาถาว่าให้มีอายุ วรรณะ สุขะ พละ แล้วยังมีบทคาถาต่อไปอีกว่า อายุ วรรณะ สุขะ พละนั้นย่อมบังเกิดมีแก่ผู้ที่มีความนอบน้อมเป็นนิตย์
ผมนึกขึ้นมาได้เช่นนั้นจึงได้กระทำคำนับท่านอาจารย์ใหญ่ด้วยความเคารพอีกครั้งหนึ่งแล้วเข้าไปนั่งลงที่เก้าอี้ตามคำของอาจารย์ใหญ่
ท่านมองมาที่ผมด้วยสีหน้าที่ปรากฏชัดเจนว่ามีความประหลาดใจ แต่ปรากฏในแววตานั้นว่ามีความเมตตาอาทรอยู่อย่างลึกซึ้ง
ท่านอาจารย์ใหญ่มองผมอยู่ครู่หนึ่งแล้วเอ่ยคำด้วยน้ำเสียงดังกังวานชัดถ้อยชัดคำว่าเธอไปอยู่ที่ไหนมา โรงเรียนเปิดเทอมมาเกือบจะเดือนแล้ว เหตุใดจึงมาขอเรียนเอาเวลานี้
ผมจึงเล่าความแต่หนหลังให้อาจารย์ใหญ่ฟังทุกประการ ในขณะที่เล่าความนั้นในใจก็รำลึกถึงเจ้าประคุณสมเด็จ ขอบารมีเจ้าประคุณเกื้อหนุนดลใจให้ได้รับความเมตตาจากท่านอาจารย์ใหญ่ด้วย
ท่านอาจารย์ใหญ่นั่งฟังด้วยความตั้งใจและแปลกใจ บางครั้งท่านก็พยักหน้าซึ่งไม่รู้ว่าจะมีความหมายประการใด
พอผมเล่าความจบท่านก็พูดว่าเธอมาขอเรียนกลางเทอมกลางคันอย่างนี้ออกจะยุ่งยาก หากมาขอเรียนชั้น ม.ศ.1 หรือชั้น ม.ศ.4 ก็จะง่ายและสะดวกกว่าที่จะมาขอเรียนเอาในชั้น ม.ศ.3 เช่นนี้ เพราะวิชาที่เรียนมาอาจจะไม่เสมอกันกับนักเรียนของโรงเรียนนี้ที่ได้เรียนมาอย่างต่อเนื่อง
ท่านอาจารย์บุญยัง ทรวดทรง กล่าวดังนั้นแล้วก็หยุดชะงักไปครู่หนึ่ง ผมมองไปที่ใบหน้าท่านอาจารย์ใหญ่ก็เห็นมีอาการครุ่นคิด จึงทำเอาผมประหวั่นพรั่นใจว่าเห็นท่าจะผิดหวังอีกครั้งหนึ่งแล้วกระมัง
แต่แล้วก็ได้ยินเสียงท่านอาจารย์ใหญ่ถามขึ้นอย่างหนักแน่นว่าเธอเรียนเก่งไหม ผลการเรียนจากโรงเรียนเก่าเป็นอย่างไรบ้าง ผมได้ฟังดังนั้นใจก็ชื้นขึ้นมาหน่อยหนึ่ง
ผมตอบด้วยความมั่นใจด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นแต่เปี่ยมไปด้วยความเคารพต่อท่านอาจารย์ใหญ่ว่าผมเป็นนักเรียนบ้านนอก แต่เป็นนักเรียนที่เรียนเก่ง
ท่านอาจารย์ใหญ่ได้ซักไซร้ไต่ถามถึงผลการเรียนวิชาเลขคณิต พีชคณิต เลขาคณิต ภาษาไทย สังคม และอื่นๆ
ผมก็ตอบไปตามความเข้าใจของผมว่าผมเรียนเก่งทุกวิชา แต่ภาษาอังกฤษนั้นเห็นจะยังอ่อนเพราะเป็นนักเรียนจากบ้านนอกคอกนา
ครูบุญยังถามย้ำอีกว่าเธอเก่งเลขจริงหรือ ผมก็ตอบอย่างหนักแน่นเหมือนเดิมในทันทีว่าผมเก่งเลขมากครับครู
เหตุที่ตอบดังนั้นก็เพราะว่าเมื่อน้อยนั้นผมอยู่กับก๋ง ก๋งพร่ำสอนคำนวณมาตั้งแต่เด็กจนผมมีความรู้ทางคำนวณดีกว่าเพื่อนนักเรียนทั้งปวง
เมื่อครั้งเริ่มเรียนชั้นมัธยมผมเคยไปเรียนกวดวิชา ครูสอนกวดวิชาซึ่งเป็นครูสอนคณิตศาสตร์ได้บอกย้ำนักย้ำหนาว่าเป็นนักเรียนต้องเก่งเลข ถึงขนาดสั่งให้ผมและเพื่อนๆ นักเรียนเขียนไว้ที่หน้าปกสมุดว่า "ศิษย์เก่งเลขครูรักเป็นนักหนา" ทั้งยังสอนไว้ด้วยว่าวิชาเลขคณิตนั้นเป็นวิชาที่ต้องใช้ไปตลอดชีวิต และยังเป็นพื้นฐานวิชาอื่นๆ อีกมาก ให้ใส่ใจวิชาเลขคณิตไว้ให้ดี วิชาเลขคณิตดีแล้ววิชาอื่นก็จะพลอยดีตาม
ครูบุญยังได้ยินผมตอบอย่างหนักแน่นเช่นนั้นก็พยักหน้าและมีทีท่าพอใจ แล้วได้ถามกลับมาในทันใดว่า 12 คูณ 12 เป็นเท่าใด ผมก็ตอบได้ในทันทีว่า 144
ครูบุญยังได้ยินคำตอบแล้วก็พยักหน้า และบอกว่าถ้าเธอเป็นนักเรียนเรียนเก่งครูก็จะให้เรียน ครูรักเด็กนักเรียนเก่งเลขคณิต จากนั้นครูบุญยังได้ถามต่อไปว่าอริยสัจ 4 มีอะไรบ้าง ผมก็ตอบได้โดยสะดวกว่ามีทุกข์ สมุทัย นิโรธ และมรรค
ท่านอาจารย์ใหญ่เห็นผมตอบได้อย่างแคล่วคล่องก็พยักหน้าอีก และบอกว่าความรู้ภาษาอังกฤษนั้นครูไม่ติดใจเพราะไม่ใช่ภาษาพ่อ ภาษาแม่ และเป็นธรรมดาของนักเรียนต่างจังหวัดที่มักอ่อนภาษาอังกฤษ แต่เมื่อมาเรียนในกรุงเทพฯ แล้วก็คงจะดีขึ้นเอง
ท่านอาจารย์ใหญ่กล่าวต่อไปว่าครูจะให้ครูสองคนมาสอบวิชาของเธอ ถ้าหากครูทั้งสองคนนี้สอบวิชาเธอแล้วเห็นว่าผ่านครูก็จะให้เรียนในชั้นที่เหมาะสมแก่ความรู้ของเธอ
ครูบุญยังกล่าวดังนั้นแล้วก็เดินออกไปนอกห้อง ตรงไปที่ห้องตรงกันข้ามซึ่งผมทราบภายหลังว่าเป็นห้องพักครู ครู่หนึ่งท่านอาจารย์ใหญ่ก็เดินเข้ามาพร้อมกับครูผู้หญิงอีกสองคน แล้วบอกว่าเด็กคนนี้แปลกมาก หากเก่งวิชาจริงครูก็จะฝืนระเบียบรับเข้าเรียน ว่าแล้วท่านอาจารย์ใหญ่ก็สั่งให้ครูทั้งสองท่านทดสอบความรู้ของผม โดยท่านกลับไปนั่งที่โต๊ะทำงานเหมือนดังเดิม
ครูทั้งสองเข้ามานั่งที่โต๊ะรับแขกแล้วเรียกผมเข้าไปนั่งที่โต๊ะรับแขกอีกตัวหนึ่ง หลังจากนั้นก็ลงมือสัมภาษณ์ผม แต่เนื้อหาก็คือการสอบไล่ปากเปล่าในวิชาต่างๆ สำหรับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ผมก็ตอบได้อย่างแคล่วคล่อง ไม่ติดขัดทุกข้อทุกประการ จนครูทั้งสองท่านพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ
ครูทั้งสองท่านได้ตั้งโจทย์เลขในใจให้ผมตอบหลายข้อ ผมตอบถูกเกือบทั้งหมด หลังจากนั้นจึงถามผมเป็นภาษาอังกฤษ ผมตอบได้แต่บางข้อ แต่บางข้อก็ตอบไม่ได้เพราะไม่เข้าใจคำศัพท์
หลังจากนั้นเห็นครูทั้งสองคนลุกเดินไปที่โต๊ะทำงานของท่านอาจารย์ใหญ่ แล้วกล่าวรายงานว่าเด็กคนนี้มีพื้นความรู้ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 แน่นหนา สามารถเรียนในชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ได้ในห้อง ก. แต่ภาษาอังกฤษค่อนข้างจะอ่อน
ครูบุญยังลุกขึ้นยืนแล้วกล่าวว่าภาษาอังกฤษไม่ใช่ภาษาของเรา จะไปใส่ใจอะไรกันมากมาย หากเด็กมีความสนใจวันหน้าก็ศึกษาเล่าเรียนให้เก่งขึ้นได้ตามความต้องการ แล้วกล่าวว่าเอาตามนี้นะ ครูทั้งสองคนก็ตอบรับคำอาจารย์ใหญ่
ผมได้ยินเสียงอาจารย์ใหญ่กล่าวดังนั้นก็มีความปีติยินดีเป็นล้นพ้น ในใจนั้นก็เชื่อมั่นอย่างเต็มเปี่ยมว่าการทั้งนี้บังเกิดขึ้นเหนือความคาดคิด คงเกิดจากปาฏิหาริย์ของเจ้าประคุณสมเด็จช่วยดลจิตบันดาลใจให้ความเมตตาบังเกิดแก่ท่านอาจารย์ใหญ่และครูทั้งสองท่าน ทั้งบันดาลให้ผมตอบการสอบไล่ปากเปล่าได้โดยไม่ติดขัด
ท่านอาจารย์ใหญ่เดินมาที่ผม จูงมือผมเดินออกไปนอกห้องเลี้ยวไปทางขวามือ ผ่านห้องโถงบันไดไปถึงห้องซ้ายมือห้องแรก เห็นหน้าห้องติดป้ายว่าห้อง ก.
ครูใหญ่พาผมเดินเข้าไปในห้อง ซึ่งขณะนั้นครูประจำชั้นกำลังสอนนักเรียนอยู่ มีนักเรียนเรียนอยู่ในห้องนั้นประมาณ 45 คน ตั้งโต๊ะเรียนเป็นหกแถว ชิดฝาผนังซ้ายขวาข้างละแถว และตรงกลางอีกสี่แถว
ครูใหญ่กล่าวกับครูประจำชั้นที่กำลังสอนหนังสือด้วยเสียงดังกังวานชัดถ้อยชัดคำเหมือนเดิมว่าครูสุมนาหยุดสักประเดี๋ยวหนึ่ง
ซึ่งหมายความว่าครูประจำชั้นที่กำลังสอนหนังสืออยู่นั้นคือครูสุมนา และท่านอาจารย์ใหญ่ขอให้ครูสุมนาหยุดการสอนนักเรียนสักครู่หนึ่ง
คำพูดดังกล่าวของท่านอาจารย์ใหญ่ทำให้ครูสุมนาซึ่งกำลังสอนอยู่และนักเรียนทุกคนในห้องนั้นพากันตกตะลึงว่าเกิดอะไรขึ้น
เสียงของครูใหญ่ทำให้ครูสุมนาต้องหยุดสอน และภายในห้องเรียนก็เงียบสงบลง ครูบุญยังจูงมือผมไปที่ตรงกลางหน้าชั้นเรียน และพูดขึ้นด้วยเสียงอันดังว่าครูขอนำเพื่อนนักเรียนคนใหม่ของห้องนี้มาแนะนำกับเธอทุกคน
ท่านอาจารย์ใหญ่ได้กล่าวต่อไปว่านักเรียนคนนี้ครูเพิ่งรับเข้าเรียนเมื่อสักครู่นี้ เพราะเป็นทั้งคนเก่งและทั้งกล้าหาญ ที่ว่าเก่งก็เพราะครูได้ทดสอบความรู้ด้วยตัวเองและให้ครูอีกสองท่านสอบความรู้ปากเปล่าแล้วมีความรู้และวิชาดีเหมาะสมที่จะเรียนห้อง ก. ของโรงเรียนวัดมกุฏกษัตริย์ร่วมชั้นกับพวกเธอได้
ท่านอาจารย์ใหญ่ได้กล่าวด้วยถ้อยคำที่หนักแน่นว่าพวกเธอย่อมรู้ดีว่าครูเข้มงวดในวิชาอย่างไร คงไม่สงสัยในการทดสอบของครู
ท่านอาจารย์ใหญ่กล่าวต่อไปว่าที่บอกว่าเป็นคนกล้านั้นก็เพราะนักเรียนคนนี้เป็นคนบ้านนอก เข้ามาเรียนหนังสือในกรุงเทพฯ ไม่มีที่จะเรียน โรงเรียนเปิดเทอมแล้วจึงบากหน้ามาพบครูทั้งที่ไม่รู้จักกันมาก่อนแล้วขอเรียนหนังสือที่โรงเรียนนี้ ซึ่งผิดกับวิสัยเด็กๆ ที่มีความกลัว ความเกรง แต่นักเรียนคนนี้มีความกล้าหาญ กล้ามาพบกับครูและพูดจาอย่างองอาจ ยอมให้ทดสอบความรู้ ครูเห็นเป็นคนบ้านนอกไม่มีที่พึ่ง แต่เมื่อเป็นคนเก่งวิชาก็อยากจะให้โอกาส เมื่อได้ทดสอบวิชาแล้วเห็นสมควรให้เรียนในห้องเรียนนี้ จึงต้องพามาแนะนำกับพวกเธอด้วยตนเอง
ครูบุญยังกล่าวว่าที่พามาแนะนำด้วยตนเองก็เพราะป้องกันมิให้เกิดความสงสัยว่ามีนักการเมืองหรือผู้มีอิทธิพลฝากฝังจึงสามารถเข้าเรียนได้ทั้งๆ ที่โรงเรียนได้เปิดเรียนแล้ว หรือไม่ก็จะสงสัยว่ามีเส้นสายจ่ายเงินทองใต้โต๊ะจึงได้เข้าเรียน ครูจึงนำมาแนะนำเสียด้วยตนเองก็จะหมดข้อสงสัยทั้งปวง และพวกเธอจะได้คบหากันเป็นเพื่อนร่วมห้องเรียนได้โดยสนิทใจ
ครูบุญยังกล่าวแล้วก็ถามนักเรียนทั้งห้องนั้นว่ามีใครสงสัยจะสอบถามอะไรบ้างหรือไม่ ปรากฏว่าทั้งห้องเงียบกริบ ท่านอาจารย์ใหญ่จึงหันไปพูดกับครูประจำชั้นว่าครูสุมนาผมมอบนักเรียนคนนี้ให้เรียนห้องนี้ ให้อยู่ในความดูแลรับผิดชอบของครู และให้นำไปทำใบสมัคร ซื้อสมุดหนังสือให้เสร็จในวันนี้
ท่านอาจารย์ใหญ่กล่าวจบแล้วก็เดินกลับออกไป ทิ้งผมไว้ในห้อง พอลับหลังครูใหญ่ ครูสุมนาก็ใช้มือหยิกผมที่ท้องแล้วกล่าวว่าเธอนี่เก่งไม่เบา ทำให้ครูใหญ่เอาอกเอาใจได้ถึงเพียงนี้
ผมรู้ว่าเป็นการหยิกด้วยความเมตตาเพราะสายตาของครูสุมนานั้นเปี่ยมไปด้วยความเมตตาอาทรอย่างยิ่ง ผมรู้สึกในขณะนั้นว่าครูสุมนานี้สมเป็นครูแท้ มือนั้นหยิกแต่สายตานั้นปลอบประโลมอย่างอบอุ่นใจยิ่งนัก ความรู้สึกในวันนั้นประทับซึ้งตรึงใจและทำให้ผมรู้สึกสำนึกในพระคุณครูสุมนาตั้งแต่บัดนั้นมาจนถึงบัดนี้
ทันใดนั้นก็มีเสียงดังมาจากด้านหลังห้องว่า เฮ้ย! เอ็งเก่งนี่หว่า ผมมองไปที่ต้นเสียงด้านหลังห้องเรียน เห็นเด็กหนุ่มหน้าตาดี สีหน้าขาวราวกับหยกเนื้อดี แต่งตัวชุดนักเรียนแต่เสื้อกลับถลกแขนก็รู้ว่าเพื่อนนักเรียนคนนี้แก่นไม่เบา
ผมมาทราบชื่อเพื่อนคนนี้ในภายหลังว่าชื่อพิสุทธิ์ เป็นนักเรียนแก่นจริงๆ และเป็นนักเรียนที่กล้าหาญไม่กลัวใคร พิสุทธิ์เป็นคนรักพวกพ้อง หากเพื่อนนักเรียนจะไปตีกับนักเรียนโรงเรียนอื่น ขอให้พิสุทธิ์ได้รู้ ไม่ต้องไหว้วานพิสุทธิ์ก็จะตามไปตีกับเขาด้วย
ทราบภายหลังอีกต่อไปว่าพิสุทธิ์นี้เป็นญาติห่างๆ ของครูสุมนา มีที่พักอยู่ในหมู่บ้านเดียวกันกับครูสุมนา และทราบด้วยว่าชั้นเรียนห้อง ก.นี้จะเป็นห้องเรียนของเด็กนักเรียนที่เรียนดี คือเป็นนักเรียนดีแบบโรงเรียนวัดมกุฎกษัตริย์ นั่นคือเรียนดีด้วยและเฮี้ยวด้วย
ที่ว่าเฮี้ยวนั้นไม่ได้เกินเลยความเป็นจริง เพราะนอกจากนักเรียนห้อง ก.ค่อนข้างจะเฮี้ยวแล้ว เพื่อนนักเรียนในห้องอื่นๆ และชั้นอื่นๆ ก็เฮี้ยวพอๆ กัน แต่มีความรักสมัครสมานกลมเกลียวประดุจดังพี่น้องร่วมอุทร
บางครั้งที่มีข่าวว่าจะมีการยกพวกไปตีกัน ครูใหญ่ได้สั่งให้ค้นอาวุธนักเรียนขณะยืนอยู่ที่หน้าเสาธง ก็เคยได้มีดไม้และเครื่องไม้เครื่องมือที่จะทุบตีกันเป็นเข่ง เป็นแต่ว่าการทุบตีกันในยุคนั้นเขาไม่ทำกันถึงตาย เอากันแค่หอมปากหอมคอพอแค่เจ็บตัว พอเป็นที่อ้างอวดกับเด็กนักเรียนหญิงโรงเรียนอื่นได้เท่านั้น
พิสุทธิ์เห็นผมมองไปก็ยิ้มให้และโบกมือด้วยความเป็นมิตร เพื่อนๆ นักเรียนเห็นพิสุทธิ์เฮี้ยวขึ้นมาเช่นนั้น บ้างก็โบกไม้โบกมือ บ้างก็ลุกขึ้นยืน บ้างก็หัวเราะ แต่ก็เป็นไปในลักษณะที่เป็นมิตร และมีท่าทีต้อนรับมิตรใหม่เหมือนกันทุกคน
แต่ทันใดนั้นครูสุมนาก็เอาชอล์กขว้างไปที่พิสุทธิ์เป็นทีปราม เพื่อนนักเรียนก็โห่ร้องดังลั่นทั้งชั้น ผมจึงได้เข้าใจว่าการปกครองเด็กนักเรียนของครูสุมนานั้น แม้จะมุ่งมั่นสอนให้นักเรียนเรียนเก่งแต่ก็มีการปกครองแบบพี่บวกแม่ปกครองน้องและลูก คือเป็นกันเองและให้ความอบอุ่น ถึงวันนี้วันเวลาผ่านไปกว่าสามสิบปีแล้วผมก็ยังรำลึกถึงความอบอุ่นและพระคุณของครูสุมนาอยู่เสมอ.
โปรดติดตามตอนที่ 24 “เพื่อนใหม่ในเมืองกรุง” ในวันศุกร์ที่ 16 มิถุนายน 2549
คำบรรยายภาพ
สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี กำลังถวายพระอักษรพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเมื่อครั้งยังทรงพระเยาว์ โปรดสังเกตปลายนิ้วเท้าที่เสมอกันและฝ่าเท้าที่เรียบสนิทติดพื้นของเจ้าประคุณสมเด็จ ซึ่งคล้ายกับปลายนิ้วพระบาทและฝ่าพระบาทของพระพุทธรูป นับเป็นมหาปุริสลักษณะ
ผมเข้าไปแล้วยืนอยู่ใกล้กับประตู พลางยกมือขึ้นไหว้แล้วกล่าวว่ากระผมมาขอพบท่านอาจารย์ใหญ่ครับ ขณะที่ใจก็ตั้งความปรารถนาให้ครูใหญ่ได้เมตตาสงสารผู้ยากด้วย
อาจารย์บุญยังเงยหน้าขึ้นจากโต๊ะทำงาน มองมาที่ผมแล้วพยักหน้าเป็นทีให้เข้าไปหา ผมก็เดินเข้าไปที่หน้าโต๊ะทำงานของอาจารย์ใหญ่แล้วกระทำคำนับแบบเด็กนักเรียน อาจารย์บุญยังมีท่าทีงุนงงสงสัย เพราะเมื่อเข้าไปใกล้ท่านก็รู้ว่าผมไม่ใช่นักเรียนโรงเรียนวัดมกุฏกษัตริย์ จึงเอ่ยถามขึ้นว่ามาหาใคร
ผมกุมสติไว้มั่นอยู่ก่อนแล้วจึงตอบไปในทันทีว่ากระผมมากราบขอพบท่านอาจารย์ใหญ่ ท่านถามกลับมาว่ามีธุระอะไร ผมจึงตอบไปว่ากระผมเป็นคนบ้านนอก มาจากต่างจังหวัดเพื่อจะมาเรียนหนังสือที่กรุงเทพฯ แต่จนถึงเวลานี้ยังไม่มีที่จะเล่าเรียนเลย ไม่เห็นใครเป็นที่พึ่ง จึงมากราบขอความกรุณาเพื่อขอเรียนหนังสือที่โรงเรียนนี้
ครูบุญยังได้ฟังก็แปลกใจ เพราะคนที่เข้ามาหาก็ไม่เคยรู้จักมาก่อนและเรื่องราวที่ได้ยินก็คงไม่เคยได้พบมาก่อน แต่ด้วยวิสัยของคนเป็นครูที่มีคุณธรรมสูงล้ำ ท่านมิได้แสดงท่าทีที่รังเกียจเดียดฉันท์หรือแสดงอาการไม่พอใจหรือไม่ต้อนรับแต่ประการใด กลับบอกให้ผมนั่งที่เก้าอี้หน้าโต๊ะทำงานนั้น
ในขณะนั้นพลันนึกถึงคำสอนของแม่ที่เคยพร่ำสอนมาแต่น้อยและย้ำเตือนหลายครั้งหลายหนว่าความนอบน้อมต่อผู้ใหญ่นั้นจะเป็นมงคลแก่ตัว
แม่ยังเคยบอกด้วยว่าคำให้พรของพระหลังจากพระสวดพระปริตรเสร็จหรือหลังจากพิธีกรรมใดๆ ในทางพระพุทธศาสนาที่พระให้พรว่าอายุ วรรณะ สุขะ พละ นั้น ไม่ใช่พระให้พรเฉยๆ
คำให้พรของพระในตอนนี้ยังมีเงื่อนไขกำกับไว้อยู่เสมอ แต่ไม่ค่อยมีใครสนใจหรือสังเกตว่าเป็นการให้พรโดยมีเงื่อนไข เพราะเมื่อพระให้พรด้วยพระคาถาว่าให้มีอายุ วรรณะ สุขะ พละ แล้วยังมีบทคาถาต่อไปอีกว่า อายุ วรรณะ สุขะ พละนั้นย่อมบังเกิดมีแก่ผู้ที่มีความนอบน้อมเป็นนิตย์
ผมนึกขึ้นมาได้เช่นนั้นจึงได้กระทำคำนับท่านอาจารย์ใหญ่ด้วยความเคารพอีกครั้งหนึ่งแล้วเข้าไปนั่งลงที่เก้าอี้ตามคำของอาจารย์ใหญ่
ท่านมองมาที่ผมด้วยสีหน้าที่ปรากฏชัดเจนว่ามีความประหลาดใจ แต่ปรากฏในแววตานั้นว่ามีความเมตตาอาทรอยู่อย่างลึกซึ้ง
ท่านอาจารย์ใหญ่มองผมอยู่ครู่หนึ่งแล้วเอ่ยคำด้วยน้ำเสียงดังกังวานชัดถ้อยชัดคำว่าเธอไปอยู่ที่ไหนมา โรงเรียนเปิดเทอมมาเกือบจะเดือนแล้ว เหตุใดจึงมาขอเรียนเอาเวลานี้
ผมจึงเล่าความแต่หนหลังให้อาจารย์ใหญ่ฟังทุกประการ ในขณะที่เล่าความนั้นในใจก็รำลึกถึงเจ้าประคุณสมเด็จ ขอบารมีเจ้าประคุณเกื้อหนุนดลใจให้ได้รับความเมตตาจากท่านอาจารย์ใหญ่ด้วย
ท่านอาจารย์ใหญ่นั่งฟังด้วยความตั้งใจและแปลกใจ บางครั้งท่านก็พยักหน้าซึ่งไม่รู้ว่าจะมีความหมายประการใด
พอผมเล่าความจบท่านก็พูดว่าเธอมาขอเรียนกลางเทอมกลางคันอย่างนี้ออกจะยุ่งยาก หากมาขอเรียนชั้น ม.ศ.1 หรือชั้น ม.ศ.4 ก็จะง่ายและสะดวกกว่าที่จะมาขอเรียนเอาในชั้น ม.ศ.3 เช่นนี้ เพราะวิชาที่เรียนมาอาจจะไม่เสมอกันกับนักเรียนของโรงเรียนนี้ที่ได้เรียนมาอย่างต่อเนื่อง
ท่านอาจารย์บุญยัง ทรวดทรง กล่าวดังนั้นแล้วก็หยุดชะงักไปครู่หนึ่ง ผมมองไปที่ใบหน้าท่านอาจารย์ใหญ่ก็เห็นมีอาการครุ่นคิด จึงทำเอาผมประหวั่นพรั่นใจว่าเห็นท่าจะผิดหวังอีกครั้งหนึ่งแล้วกระมัง
แต่แล้วก็ได้ยินเสียงท่านอาจารย์ใหญ่ถามขึ้นอย่างหนักแน่นว่าเธอเรียนเก่งไหม ผลการเรียนจากโรงเรียนเก่าเป็นอย่างไรบ้าง ผมได้ฟังดังนั้นใจก็ชื้นขึ้นมาหน่อยหนึ่ง
ผมตอบด้วยความมั่นใจด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นแต่เปี่ยมไปด้วยความเคารพต่อท่านอาจารย์ใหญ่ว่าผมเป็นนักเรียนบ้านนอก แต่เป็นนักเรียนที่เรียนเก่ง
ท่านอาจารย์ใหญ่ได้ซักไซร้ไต่ถามถึงผลการเรียนวิชาเลขคณิต พีชคณิต เลขาคณิต ภาษาไทย สังคม และอื่นๆ
ผมก็ตอบไปตามความเข้าใจของผมว่าผมเรียนเก่งทุกวิชา แต่ภาษาอังกฤษนั้นเห็นจะยังอ่อนเพราะเป็นนักเรียนจากบ้านนอกคอกนา
ครูบุญยังถามย้ำอีกว่าเธอเก่งเลขจริงหรือ ผมก็ตอบอย่างหนักแน่นเหมือนเดิมในทันทีว่าผมเก่งเลขมากครับครู
เหตุที่ตอบดังนั้นก็เพราะว่าเมื่อน้อยนั้นผมอยู่กับก๋ง ก๋งพร่ำสอนคำนวณมาตั้งแต่เด็กจนผมมีความรู้ทางคำนวณดีกว่าเพื่อนนักเรียนทั้งปวง
เมื่อครั้งเริ่มเรียนชั้นมัธยมผมเคยไปเรียนกวดวิชา ครูสอนกวดวิชาซึ่งเป็นครูสอนคณิตศาสตร์ได้บอกย้ำนักย้ำหนาว่าเป็นนักเรียนต้องเก่งเลข ถึงขนาดสั่งให้ผมและเพื่อนๆ นักเรียนเขียนไว้ที่หน้าปกสมุดว่า "ศิษย์เก่งเลขครูรักเป็นนักหนา" ทั้งยังสอนไว้ด้วยว่าวิชาเลขคณิตนั้นเป็นวิชาที่ต้องใช้ไปตลอดชีวิต และยังเป็นพื้นฐานวิชาอื่นๆ อีกมาก ให้ใส่ใจวิชาเลขคณิตไว้ให้ดี วิชาเลขคณิตดีแล้ววิชาอื่นก็จะพลอยดีตาม
ครูบุญยังได้ยินผมตอบอย่างหนักแน่นเช่นนั้นก็พยักหน้าและมีทีท่าพอใจ แล้วได้ถามกลับมาในทันใดว่า 12 คูณ 12 เป็นเท่าใด ผมก็ตอบได้ในทันทีว่า 144
ครูบุญยังได้ยินคำตอบแล้วก็พยักหน้า และบอกว่าถ้าเธอเป็นนักเรียนเรียนเก่งครูก็จะให้เรียน ครูรักเด็กนักเรียนเก่งเลขคณิต จากนั้นครูบุญยังได้ถามต่อไปว่าอริยสัจ 4 มีอะไรบ้าง ผมก็ตอบได้โดยสะดวกว่ามีทุกข์ สมุทัย นิโรธ และมรรค
ท่านอาจารย์ใหญ่เห็นผมตอบได้อย่างแคล่วคล่องก็พยักหน้าอีก และบอกว่าความรู้ภาษาอังกฤษนั้นครูไม่ติดใจเพราะไม่ใช่ภาษาพ่อ ภาษาแม่ และเป็นธรรมดาของนักเรียนต่างจังหวัดที่มักอ่อนภาษาอังกฤษ แต่เมื่อมาเรียนในกรุงเทพฯ แล้วก็คงจะดีขึ้นเอง
ท่านอาจารย์ใหญ่กล่าวต่อไปว่าครูจะให้ครูสองคนมาสอบวิชาของเธอ ถ้าหากครูทั้งสองคนนี้สอบวิชาเธอแล้วเห็นว่าผ่านครูก็จะให้เรียนในชั้นที่เหมาะสมแก่ความรู้ของเธอ
ครูบุญยังกล่าวดังนั้นแล้วก็เดินออกไปนอกห้อง ตรงไปที่ห้องตรงกันข้ามซึ่งผมทราบภายหลังว่าเป็นห้องพักครู ครู่หนึ่งท่านอาจารย์ใหญ่ก็เดินเข้ามาพร้อมกับครูผู้หญิงอีกสองคน แล้วบอกว่าเด็กคนนี้แปลกมาก หากเก่งวิชาจริงครูก็จะฝืนระเบียบรับเข้าเรียน ว่าแล้วท่านอาจารย์ใหญ่ก็สั่งให้ครูทั้งสองท่านทดสอบความรู้ของผม โดยท่านกลับไปนั่งที่โต๊ะทำงานเหมือนดังเดิม
ครูทั้งสองเข้ามานั่งที่โต๊ะรับแขกแล้วเรียกผมเข้าไปนั่งที่โต๊ะรับแขกอีกตัวหนึ่ง หลังจากนั้นก็ลงมือสัมภาษณ์ผม แต่เนื้อหาก็คือการสอบไล่ปากเปล่าในวิชาต่างๆ สำหรับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ผมก็ตอบได้อย่างแคล่วคล่อง ไม่ติดขัดทุกข้อทุกประการ จนครูทั้งสองท่านพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ
ครูทั้งสองท่านได้ตั้งโจทย์เลขในใจให้ผมตอบหลายข้อ ผมตอบถูกเกือบทั้งหมด หลังจากนั้นจึงถามผมเป็นภาษาอังกฤษ ผมตอบได้แต่บางข้อ แต่บางข้อก็ตอบไม่ได้เพราะไม่เข้าใจคำศัพท์
หลังจากนั้นเห็นครูทั้งสองคนลุกเดินไปที่โต๊ะทำงานของท่านอาจารย์ใหญ่ แล้วกล่าวรายงานว่าเด็กคนนี้มีพื้นความรู้ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 แน่นหนา สามารถเรียนในชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ได้ในห้อง ก. แต่ภาษาอังกฤษค่อนข้างจะอ่อน
ครูบุญยังลุกขึ้นยืนแล้วกล่าวว่าภาษาอังกฤษไม่ใช่ภาษาของเรา จะไปใส่ใจอะไรกันมากมาย หากเด็กมีความสนใจวันหน้าก็ศึกษาเล่าเรียนให้เก่งขึ้นได้ตามความต้องการ แล้วกล่าวว่าเอาตามนี้นะ ครูทั้งสองคนก็ตอบรับคำอาจารย์ใหญ่
ผมได้ยินเสียงอาจารย์ใหญ่กล่าวดังนั้นก็มีความปีติยินดีเป็นล้นพ้น ในใจนั้นก็เชื่อมั่นอย่างเต็มเปี่ยมว่าการทั้งนี้บังเกิดขึ้นเหนือความคาดคิด คงเกิดจากปาฏิหาริย์ของเจ้าประคุณสมเด็จช่วยดลจิตบันดาลใจให้ความเมตตาบังเกิดแก่ท่านอาจารย์ใหญ่และครูทั้งสองท่าน ทั้งบันดาลให้ผมตอบการสอบไล่ปากเปล่าได้โดยไม่ติดขัด
ท่านอาจารย์ใหญ่เดินมาที่ผม จูงมือผมเดินออกไปนอกห้องเลี้ยวไปทางขวามือ ผ่านห้องโถงบันไดไปถึงห้องซ้ายมือห้องแรก เห็นหน้าห้องติดป้ายว่าห้อง ก.
ครูใหญ่พาผมเดินเข้าไปในห้อง ซึ่งขณะนั้นครูประจำชั้นกำลังสอนนักเรียนอยู่ มีนักเรียนเรียนอยู่ในห้องนั้นประมาณ 45 คน ตั้งโต๊ะเรียนเป็นหกแถว ชิดฝาผนังซ้ายขวาข้างละแถว และตรงกลางอีกสี่แถว
ครูใหญ่กล่าวกับครูประจำชั้นที่กำลังสอนหนังสือด้วยเสียงดังกังวานชัดถ้อยชัดคำเหมือนเดิมว่าครูสุมนาหยุดสักประเดี๋ยวหนึ่ง
ซึ่งหมายความว่าครูประจำชั้นที่กำลังสอนหนังสืออยู่นั้นคือครูสุมนา และท่านอาจารย์ใหญ่ขอให้ครูสุมนาหยุดการสอนนักเรียนสักครู่หนึ่ง
คำพูดดังกล่าวของท่านอาจารย์ใหญ่ทำให้ครูสุมนาซึ่งกำลังสอนอยู่และนักเรียนทุกคนในห้องนั้นพากันตกตะลึงว่าเกิดอะไรขึ้น
เสียงของครูใหญ่ทำให้ครูสุมนาต้องหยุดสอน และภายในห้องเรียนก็เงียบสงบลง ครูบุญยังจูงมือผมไปที่ตรงกลางหน้าชั้นเรียน และพูดขึ้นด้วยเสียงอันดังว่าครูขอนำเพื่อนนักเรียนคนใหม่ของห้องนี้มาแนะนำกับเธอทุกคน
ท่านอาจารย์ใหญ่ได้กล่าวต่อไปว่านักเรียนคนนี้ครูเพิ่งรับเข้าเรียนเมื่อสักครู่นี้ เพราะเป็นทั้งคนเก่งและทั้งกล้าหาญ ที่ว่าเก่งก็เพราะครูได้ทดสอบความรู้ด้วยตัวเองและให้ครูอีกสองท่านสอบความรู้ปากเปล่าแล้วมีความรู้และวิชาดีเหมาะสมที่จะเรียนห้อง ก. ของโรงเรียนวัดมกุฏกษัตริย์ร่วมชั้นกับพวกเธอได้
ท่านอาจารย์ใหญ่ได้กล่าวด้วยถ้อยคำที่หนักแน่นว่าพวกเธอย่อมรู้ดีว่าครูเข้มงวดในวิชาอย่างไร คงไม่สงสัยในการทดสอบของครู
ท่านอาจารย์ใหญ่กล่าวต่อไปว่าที่บอกว่าเป็นคนกล้านั้นก็เพราะนักเรียนคนนี้เป็นคนบ้านนอก เข้ามาเรียนหนังสือในกรุงเทพฯ ไม่มีที่จะเรียน โรงเรียนเปิดเทอมแล้วจึงบากหน้ามาพบครูทั้งที่ไม่รู้จักกันมาก่อนแล้วขอเรียนหนังสือที่โรงเรียนนี้ ซึ่งผิดกับวิสัยเด็กๆ ที่มีความกลัว ความเกรง แต่นักเรียนคนนี้มีความกล้าหาญ กล้ามาพบกับครูและพูดจาอย่างองอาจ ยอมให้ทดสอบความรู้ ครูเห็นเป็นคนบ้านนอกไม่มีที่พึ่ง แต่เมื่อเป็นคนเก่งวิชาก็อยากจะให้โอกาส เมื่อได้ทดสอบวิชาแล้วเห็นสมควรให้เรียนในห้องเรียนนี้ จึงต้องพามาแนะนำกับพวกเธอด้วยตนเอง
ครูบุญยังกล่าวว่าที่พามาแนะนำด้วยตนเองก็เพราะป้องกันมิให้เกิดความสงสัยว่ามีนักการเมืองหรือผู้มีอิทธิพลฝากฝังจึงสามารถเข้าเรียนได้ทั้งๆ ที่โรงเรียนได้เปิดเรียนแล้ว หรือไม่ก็จะสงสัยว่ามีเส้นสายจ่ายเงินทองใต้โต๊ะจึงได้เข้าเรียน ครูจึงนำมาแนะนำเสียด้วยตนเองก็จะหมดข้อสงสัยทั้งปวง และพวกเธอจะได้คบหากันเป็นเพื่อนร่วมห้องเรียนได้โดยสนิทใจ
ครูบุญยังกล่าวแล้วก็ถามนักเรียนทั้งห้องนั้นว่ามีใครสงสัยจะสอบถามอะไรบ้างหรือไม่ ปรากฏว่าทั้งห้องเงียบกริบ ท่านอาจารย์ใหญ่จึงหันไปพูดกับครูประจำชั้นว่าครูสุมนาผมมอบนักเรียนคนนี้ให้เรียนห้องนี้ ให้อยู่ในความดูแลรับผิดชอบของครู และให้นำไปทำใบสมัคร ซื้อสมุดหนังสือให้เสร็จในวันนี้
ท่านอาจารย์ใหญ่กล่าวจบแล้วก็เดินกลับออกไป ทิ้งผมไว้ในห้อง พอลับหลังครูใหญ่ ครูสุมนาก็ใช้มือหยิกผมที่ท้องแล้วกล่าวว่าเธอนี่เก่งไม่เบา ทำให้ครูใหญ่เอาอกเอาใจได้ถึงเพียงนี้
ผมรู้ว่าเป็นการหยิกด้วยความเมตตาเพราะสายตาของครูสุมนานั้นเปี่ยมไปด้วยความเมตตาอาทรอย่างยิ่ง ผมรู้สึกในขณะนั้นว่าครูสุมนานี้สมเป็นครูแท้ มือนั้นหยิกแต่สายตานั้นปลอบประโลมอย่างอบอุ่นใจยิ่งนัก ความรู้สึกในวันนั้นประทับซึ้งตรึงใจและทำให้ผมรู้สึกสำนึกในพระคุณครูสุมนาตั้งแต่บัดนั้นมาจนถึงบัดนี้
ทันใดนั้นก็มีเสียงดังมาจากด้านหลังห้องว่า เฮ้ย! เอ็งเก่งนี่หว่า ผมมองไปที่ต้นเสียงด้านหลังห้องเรียน เห็นเด็กหนุ่มหน้าตาดี สีหน้าขาวราวกับหยกเนื้อดี แต่งตัวชุดนักเรียนแต่เสื้อกลับถลกแขนก็รู้ว่าเพื่อนนักเรียนคนนี้แก่นไม่เบา
ผมมาทราบชื่อเพื่อนคนนี้ในภายหลังว่าชื่อพิสุทธิ์ เป็นนักเรียนแก่นจริงๆ และเป็นนักเรียนที่กล้าหาญไม่กลัวใคร พิสุทธิ์เป็นคนรักพวกพ้อง หากเพื่อนนักเรียนจะไปตีกับนักเรียนโรงเรียนอื่น ขอให้พิสุทธิ์ได้รู้ ไม่ต้องไหว้วานพิสุทธิ์ก็จะตามไปตีกับเขาด้วย
ทราบภายหลังอีกต่อไปว่าพิสุทธิ์นี้เป็นญาติห่างๆ ของครูสุมนา มีที่พักอยู่ในหมู่บ้านเดียวกันกับครูสุมนา และทราบด้วยว่าชั้นเรียนห้อง ก.นี้จะเป็นห้องเรียนของเด็กนักเรียนที่เรียนดี คือเป็นนักเรียนดีแบบโรงเรียนวัดมกุฎกษัตริย์ นั่นคือเรียนดีด้วยและเฮี้ยวด้วย
ที่ว่าเฮี้ยวนั้นไม่ได้เกินเลยความเป็นจริง เพราะนอกจากนักเรียนห้อง ก.ค่อนข้างจะเฮี้ยวแล้ว เพื่อนนักเรียนในห้องอื่นๆ และชั้นอื่นๆ ก็เฮี้ยวพอๆ กัน แต่มีความรักสมัครสมานกลมเกลียวประดุจดังพี่น้องร่วมอุทร
บางครั้งที่มีข่าวว่าจะมีการยกพวกไปตีกัน ครูใหญ่ได้สั่งให้ค้นอาวุธนักเรียนขณะยืนอยู่ที่หน้าเสาธง ก็เคยได้มีดไม้และเครื่องไม้เครื่องมือที่จะทุบตีกันเป็นเข่ง เป็นแต่ว่าการทุบตีกันในยุคนั้นเขาไม่ทำกันถึงตาย เอากันแค่หอมปากหอมคอพอแค่เจ็บตัว พอเป็นที่อ้างอวดกับเด็กนักเรียนหญิงโรงเรียนอื่นได้เท่านั้น
พิสุทธิ์เห็นผมมองไปก็ยิ้มให้และโบกมือด้วยความเป็นมิตร เพื่อนๆ นักเรียนเห็นพิสุทธิ์เฮี้ยวขึ้นมาเช่นนั้น บ้างก็โบกไม้โบกมือ บ้างก็ลุกขึ้นยืน บ้างก็หัวเราะ แต่ก็เป็นไปในลักษณะที่เป็นมิตร และมีท่าทีต้อนรับมิตรใหม่เหมือนกันทุกคน
แต่ทันใดนั้นครูสุมนาก็เอาชอล์กขว้างไปที่พิสุทธิ์เป็นทีปราม เพื่อนนักเรียนก็โห่ร้องดังลั่นทั้งชั้น ผมจึงได้เข้าใจว่าการปกครองเด็กนักเรียนของครูสุมนานั้น แม้จะมุ่งมั่นสอนให้นักเรียนเรียนเก่งแต่ก็มีการปกครองแบบพี่บวกแม่ปกครองน้องและลูก คือเป็นกันเองและให้ความอบอุ่น ถึงวันนี้วันเวลาผ่านไปกว่าสามสิบปีแล้วผมก็ยังรำลึกถึงความอบอุ่นและพระคุณของครูสุมนาอยู่เสมอ.
โปรดติดตามตอนที่ 24 “เพื่อนใหม่ในเมืองกรุง” ในวันศุกร์ที่ 16 มิถุนายน 2549
คำบรรยายภาพ
สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี กำลังถวายพระอักษรพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเมื่อครั้งยังทรงพระเยาว์ โปรดสังเกตปลายนิ้วเท้าที่เสมอกันและฝ่าเท้าที่เรียบสนิทติดพื้นของเจ้าประคุณสมเด็จ ซึ่งคล้ายกับปลายนิ้วพระบาทและฝ่าพระบาทของพระพุทธรูป นับเป็นมหาปุริสลักษณะ