จีนเป็นประเทศที่เก่าแก่ มีประวัติมายาวนานถึง 4-5 พันปี มีวัฒนธรรมซึ่งเป็นฐานของวัฒนธรรมและอารยธรรมที่สำคัญของโลกในระดับเดียวกับวัฒนธรรมตะวันตก อินเดีย และวัฒนธรรมอิสลาม ศาสดาทางปรัชญาทางคำสอนและศาสนาของจีนที่อยู่ยั่งยืนมาจนถึงทุกวันนี้คือลัทธิความเชื่อขงจื๊อ และลัทธิเต๋า นอกจากนั้นยังมีประวัติการปกครองบริหารระบบกษัตริย์ มีปรัชญาการปกครองประเทศ มีกฎเกณฑ์ โครงสร้างสังคมโดยเน้นระบบครอบครัว และการธำรงไว้ซึ่งแซ่หรือตระกูล นอกเหนือจากนั้นยังมีวัฒนธรรมอันยาวนานทั้งในแง่การไหว้บรรพบุรุษ การปรุงอาหาร ปรัชญาการดำรงชีวิต หลักการศีลธรรมและจริยธรรม ฯลฯ
มีการกล่าวว่าสิ่งมหัศจรรย์ของโลก 3 ประการ ที่จีนได้สร้างไว้นอกเหนือจากสิ่งอื่นๆ ที่กล่าวมาแล้วก็คือ ตะเกียบ ซึ่งกลายเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการรับประทานอาหารแผ่กระจายไปในภูมิภาคเอเชียตะวันออก อันได้แก่ เกาหลี ญี่ปุ่น เวียดนาม และในส่วนอื่นๆ ของโลกที่มีวัฒนธรรมการกินอาหารแบบจีน สิ่งมหัศจรรย์ประการที่สองก็คือแซ่หรือชื่อตระกูล โดยแซ่นั้นมีถึง 8,000 พันแซ่ แต่ที่ใช้อยู่ทุกวันนี้มีประมาณ 5,000 แซ่ โดยดั้งเดิมนั้นจะใช้เรียกรวมๆ ว่า 100 แซ่ ซึ่งความหมายหมายถึงมากโดยรวมเช่นทำนองเดียวกับโจรห้าร้อย อาจจะมีเพียง 20 คน แต่ถือว่ามาก คำว่าร้อยแซ่จึงนำมาหมายถึงคนสามัญชนด้วย และเนื่องจากสามัญชนส่วนใหญ่เป็นชาวนา
หนึ่งร้อยแซ่จึงมีความหมายเป็นการมีอาชีพกสิกรรม เช่น ถ้าถามว่ามีอาชีพอะไร คำตอบอาจจะเป็นว่าอาชีพหนึ่งร้อยแซ่ และคำหนึ่งร้อยแซ่ก็แผลงมาใช้เป็นภาษาญี่ปุ่น เฮี้ยะกึโจ เฮี๊ยกึ แปลว่าหนึ่งร้อย เฮี้ยะกึโจหมายถึงบุคคลผู้เป็นหนึ่งร้อย นั่นคือเกษตรกร แซ่มีความสำคัญในแง่ที่ว่าสามารถสืบสาวถึงต้นตระกูลได้ ย้อนไปเป็นพันๆ ปี เช่น แซ่ตั้งซึ่งอ่านภาษาจีนกลางว่าเฉิน ภาษาแต้จิ๋วว่าตั้ง ภาษาไหหลำว่าด่าน ภาษาจีนแคระชิน ภาษาฮกเกี้ยนว่าตัน ภาษากวางตุ้งว่าฉัตร สืบเชื้อสายจักรพรรดิจีนห้าองค์ เคยมีการประชุมบุคคลแซ่ตั้งสากลที่ประเทศไทยมาแล้ว คนแซ่เดียวกันพบกันที่นิวยอร์กก็จะรู้สึกเป็นพี่น้องกัน นี่คือความอัศจรรย์ทั้งๆ ที่ไม่รู้จักกันมาก่อน
ประการที่สาม ได้แก่กำแพงเมืองจีน หรือกำแพงหมื่นลี้ ซึ่งมีความยาวห้าพันกิโลเมตร จักรพรรดิ์จิ๋นซีสร้างขึ้นโดยเชื่อมกำแพงที่มีอยู่เก่าของเมืองต่างๆ จุดประสงค์ก็เพื่อป้องกันการเข้ามารุกรานและรังควานจากชนเผ่าทางเหนือที่ชำนาญในการขี่ม้า ล่าสัตว์ และเร่ร่อนอยู่ตามกระโจม เช่น เจงกิสข่าน กำแพงมีเชิงเทินที่สามารถส่งสัญญาณควันได้ รับต่อเป็นทอดๆ เมื่อมีข้าศึกมาทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ประชิดกำแพงก็จะส่งสัญญาณควันและสัญญาณดังกล่าวจะถึงนครหลวงปักกิ่งภายในครึ่งวัน กำแพงกว้างสามารถยืนม้าห้าตัวเรียงกระดานได้ ในแง่หนึ่งก็อาจจะเป็นทางหลวงที่สามารถจะเดินทางแทนการข้ามหุบเขาต่างๆ แม้กำแพงเมืองจีนไม่สามารถจะป้องกันผู้รุกรานและรังควานได้ แต่ก็สะท้อนถึงสิ่งก่อสร้างที่ยิ่งใหญ่เป็นสิ่งมหัศจรรย์หนึ่งของโลก
ตั้งแต่ปี ค.ศ.1839 เมื่อจีนเริ่มรบกับอังกฤษและแพ้สงครามฝิ่นในปี ค.ศ.1842 จนถึงปี 1949 ซึ่งเป็นระยะเวลา 100 ปีพอดี โดยในปี 1949 เหมา เจ๋อตุง ได้สถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีนขึ้นภายใต้ระบอบการปกครองแบบคอมมิวนิสต์ หนึ่งร้อยปีดังกล่าวเป็นหนึ่งร้อยปีของความอัปยศอดสูของจีน ถูกต่างชาติโดยเฉพาะชาติตะวันตกรวมทั้งญี่ปุ่นฉกฉวยประโยชน์จากความอ่อนแอจนเกิดเขตเช่าในเซี่ยงไฮ้ ในชิงเต๋า และในที่อื่นๆ ซ้ำยังเจอกับการรุกรานโดยกองทัพจักรพรรดิญี่ปุ่น รวมตลอดทั้งการเผชิญกับปัญหาการแก่งแย่งอำนาจภายใน เกิดกบฏเช่นกบฏไต้เผ็ง เป็นต้น จนผลสุดท้ายในปี 1911 ระบบการปกครองของจีนในรูปแบบของจักรพรรดิได้ถูกล้มโดยกระบวนการปฏิวัตินำโดยนายแพทย์ซุนยัดเซ็น และต่อมาในปี 1949 ตามที่ได้กล่าวมาแล้วก็ได้เปลี่ยนไปสู่ระบอบการปกครองแบบคอมมิวนิสต์
จีนในปัจจุบันซึ่งอยู่ภายใต้การปกครองแบบคอมมิวนิสต์มา 50 ปี แต่ได้ผสมผสานกับระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม ได้ทำให้จีนกลายเป็นประเทศที่มีความเจริญก้าวหน้าในด้านต่างๆ อย่างรวดเร็ว ตามนโยบายสี่ทันสมัยของเติ้ง เสี่ยวผิง ซึ่งได้แก่ การทันสมัยในทางอุตสาหกรรม เกษตร เทคโนโลยี และการป้องกันประเทศ การเปิดประตูประเทศของจีนเสมือนการเปิดประตูประเทศของญี่ปุ่นสมัยเมจิ โดยจีนในปัจจุบันกลายเป็นประเทศที่มีอัตราความเจริญทางเศรษฐกิจสูงสุดประเทศหนึ่ง มีบทบาทในทางการเมืองระหว่างประเทศ และมีศักยภาพที่จะเป็นมหาอำนาจในอนาคตภายใน 20 ปีข้างหน้านี้
สิ่งที่เกิดขึ้นนี้สอดคล้องกับคำกล่าวของนโปเลียน โบนาปาร์ต ที่ว่า จีนคือยักษ์ที่หลับอยู่ เมื่อจีนตื่นเมื่อไหร่โลกจะรู้สึกถึงผลกระทบของยักษ์ใหญ่ตัวนี้ และในขณะนี้ผลกระทบที่สำคัญของจีนก็คือ สินค้าจีนถูกส่งไปขายทั่วโลกมากมายเป็นพันๆ ชนิด ทั้งสินค้าที่มีคุณภาพและถูกกฎหมาย กับสินค้าที่เป็นของเลียนแบบ และที่สำคัญชาวโลกเริ่มให้ความสนใจประเทศจีนทั้งเป็นแหล่งลงทุน และตลาดภายในอันมหาศาล จนทำให้เกิดความตื่นตัวเห็นความสำคัญของภาษาจีน และมีการเรียนการสอนเกิดขึ้นอย่างดาษดื่นในหลายแห่ง แม้กระทั่งประเทศที่เคยต่อต้านการเรียนภาษาจีนเช่นมาเลเซีย เป็นต้น ประเทศไทยเองก็ให้ความสนใจภาษาจีนมากยิ่งขึ้น จนในขณะนี้ได้เริ่มมีการสอนภาษาจีนในชั้นมัธยมและในมหาวิทยาลัย
ภาษาจีนเป็นภาษาที่มีการใช้ในการสื่อสารของคนประมาณ 1,300 ล้านคน คนที่มีเชื้อสายจีนและวัฒนธรรมจีนมีอยู่ทั่วโลก จีนเป็นประเทศที่มีอาณาเขตกว้างใหญ่ มีประชากรเป็นอันดับหนึ่งของโลก ในขณะนี้จีนได้ก้าวสู่ยุคใหม่อันได้แก่ยุคโลกาภิวัตน์ มีคำกล่าวว่า ศตวรรษที่ 21จะเป็นศตวรรษที่จีนมีบทบาทในฐานะมหาอำนาจในทางเศรษฐกิจ การเมือง รวมตลอดทั้งมหาอำนาจทางทหารในภูมิภาค และอาจจะเป็นมหาอำนาจที่ถ่วงดุลกับมหาอำนาจอื่นทั้งในภูมิภาคเอเชียและในภูมิภาคตะวันตก
ภาษาจีนจึงเป็นภาษาที่สำคัญ เป็นหนึ่งในห้าภาษาในองค์การสหประชาชาติ การรู้ภาษาจีนจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการสื่อสารกับชาติเก่าแก่ที่มีวัฒนธรรมและอารยธรรมอันยิ่งใหญ่ ขณะเดียวกันก็จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการประกอบธุรกิจ แต่ที่สำคัญที่สุดการเรียนภาษาอาจจะได้เรียนรู้วัฒนธรรม ระบบความคิด ความเชื่อ ของชนชาตินั้นๆ ด้วย ประเทศจีนเป็นประเทศที่มีลัทธิคำสอนที่สำคัญ คำสอนของลัทธิขงจื๊อเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของคนในสังคม จริยธรรมของผู้ปกครอง ค่านิยม วัฒนธรรม ความเชื่อ ของคนสามัญทั่วไป นอกจากนั้นยังมีลัทธิเต๋าซึ่งเป็นคำสอนที่ลึกซึ้งเกี่ยวด้วยเรื่องธรรมชาติและวิถีแห่งเต๋า ฯลฯ การรู้ภาษาจีนจะเป็นการเปิดประตูไปสู่อีกโลกหนึ่งของความรู้ วัฒนธรรม และอารยธรรม ถ้าในหลักสูตรมีบทเรียนเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้
การสอนภาษาจีนที่กระทำมาในอดีตในประเทศไทยนั้นมีข้อจำกัดที่สำคัญคือ ผู้สอนมักจะมีคุณภาพไม่สู้จะดีนัก วิธีการสอนก็ใช้วิธีแบบโบราณ นอกจากนี้นโยบายของรัฐบาลสมัยนั้นก็พยายามกีดกั้นไม่ให้มีการสอนภาษาจีนอย่างเต็มที่อันเนื่องมาจากความกริ่งเกรงในเรื่องลัทธิคอมมิวนิสต์ ขณะเดียวกันก็มีนโยบายที่สำคัญที่จะผสมผสานกลมกลืนคนไทยเชื้อสายจีนให้เข้ากับชนกลุ่มใหญ่ของสังคม ทำให้มีการจำกัดชั่วโมงสอนและมีการปิดโรงเรียนจีนไปเป็นจำนวนมาก ครูหลายคนถูกจับและถูกกล่าวหาเป็นคอมมิวนิสต์ จนมีเยาวชนบางกลุ่มแอบหนีกลับไปสู่ประเทศจีนเพื่อเรียนภาษาจีนที่แผ่นดินใหญ่ บางส่วนก็ไปเรียนที่ไต้หวัน หรือปีนัง แต่นั่นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในอดีต สิ่งที่น่าเสียดายก็คือ นโยบายดังกล่าวแม้จะมีส่วนทำให้ในการผสมผสานกลมกลืนประสบความสำเร็จ แต่ก็ทำให้คนจำนวนล้านๆ คนไม่มีโอกาสได้รับการศึกษาอบรมและสัมผัสกับวัฒนธรรมและอารยธรรมที่รุ่งเรืองและยิ่งใหญ่มาประมาณห้าพันปี อันเป็นเรื่องที่น่าเสียดายอย่างยิ่ง
การเรียนภาษาจีนในโรงเรียนจีนสมัยนั้นจะต้องเรียนโดยมีวินัย มีความขยันขันแข็ง มีความมุ่งมั่นเพราะต้องใช้ความพยายามในการจำตัวภาษา มีการเขียนด้วยพู่กันซึ่งต้องมีสมาธิ มีการหัดแต่งความซึ่งต้องรู้จักใช้ความคิด ความขยัน ความมีวินัย ความมุ่งมั่น มีส่วนก่อให้เกิดบุคลิกภาพของคนที่ขยันขันแข็ง มีวินัยส่วนตัวเข้มข้น และความมุ่งมั่นที่แกร่งกล้า จนกล่าวได้ว่าบุคคลที่ผ่านกระบวนการอบรมเช่นนี้มักจะประสบความสำเร็จในวิชาชีพต่างๆ กล่าวได้ว่า ในสังคมไทยนั้นมีคนสามกลุ่มที่จะมีระเบียบวินัยมากกว่ากลุ่มอื่นๆ กลุ่มแรกได้แก่
กลุ่มผู้ซึ่งเคยผ่านการเรียนภาษาจีนในโรงเรียนจีนตามที่กล่าวมาแล้ว กลุ่มที่สองได้แก่ กลุ่มที่มีภูมิหลังเป็นทหารซึ่งจะเป็นคนที่มีระเบียบวินัย รับผิดชอบ ตรงต่อเวลา กลุ่มที่สามได้แก่ คือบุคคลที่เคยบวชเรียนเป็นระยะเวลานานในระดับหนึ่งในพระพุทธศาสนา คนสามกลุ่มนี้จะมีระเบียบวินัยสูงกว่าคนกลุ่มอื่นๆ
จุดที่น่าเสียดายก็คือ ภาษาจีนที่สอนในปัจจุบันเป็นการสอนเทคนิคทางภาษา แต่คงไม่มีบรรยากาศของการเรียนรู้ทางระเบียบวินัยเหมือนกับระบบโรงเรียนจีนในสมัยก่อน ค่านิยม ความรู้ทางวัฒนธรรม ความมีระเบียบวินัย ความขยันหมั่นเพียร ที่ถูกฝึกอบรมมาในสมัยก่อนนั้นน่าจะไม่ปรากฏในห้องเรียนยุคปัจจุบัน สิ่งที่ผู้เรียนจะได้คือเทคนิคของภาษาเพื่อการสื่อสาร นอกเหนือจากนั้นความรู้ทางประวัติศาสตร์ ปรัชญาต่างๆ ก็น่าจะไม่ใช่จุดประสงค์ของการเรียนภาษาจีน การเรียนภาษาจีนในปัจจุบันจึงน่าจะได้เทคนิคเพื่อการติดต่อสื่อสาร ในการเขียน และการพูดจากัน มากกว่าการเน้นส่วนดีของวัฒนธรรมและอารยธรรม รวมทั้งการสร้างบุคลิกที่มีระเบียบวินัย ขยันขันแข็ง รับผิดชอบ รู้จักอ่อนน้อมถ่อมตัว กตัญญูรู้คุณ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเสียดาย
มีการกล่าวว่าสิ่งมหัศจรรย์ของโลก 3 ประการ ที่จีนได้สร้างไว้นอกเหนือจากสิ่งอื่นๆ ที่กล่าวมาแล้วก็คือ ตะเกียบ ซึ่งกลายเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการรับประทานอาหารแผ่กระจายไปในภูมิภาคเอเชียตะวันออก อันได้แก่ เกาหลี ญี่ปุ่น เวียดนาม และในส่วนอื่นๆ ของโลกที่มีวัฒนธรรมการกินอาหารแบบจีน สิ่งมหัศจรรย์ประการที่สองก็คือแซ่หรือชื่อตระกูล โดยแซ่นั้นมีถึง 8,000 พันแซ่ แต่ที่ใช้อยู่ทุกวันนี้มีประมาณ 5,000 แซ่ โดยดั้งเดิมนั้นจะใช้เรียกรวมๆ ว่า 100 แซ่ ซึ่งความหมายหมายถึงมากโดยรวมเช่นทำนองเดียวกับโจรห้าร้อย อาจจะมีเพียง 20 คน แต่ถือว่ามาก คำว่าร้อยแซ่จึงนำมาหมายถึงคนสามัญชนด้วย และเนื่องจากสามัญชนส่วนใหญ่เป็นชาวนา
หนึ่งร้อยแซ่จึงมีความหมายเป็นการมีอาชีพกสิกรรม เช่น ถ้าถามว่ามีอาชีพอะไร คำตอบอาจจะเป็นว่าอาชีพหนึ่งร้อยแซ่ และคำหนึ่งร้อยแซ่ก็แผลงมาใช้เป็นภาษาญี่ปุ่น เฮี้ยะกึโจ เฮี๊ยกึ แปลว่าหนึ่งร้อย เฮี้ยะกึโจหมายถึงบุคคลผู้เป็นหนึ่งร้อย นั่นคือเกษตรกร แซ่มีความสำคัญในแง่ที่ว่าสามารถสืบสาวถึงต้นตระกูลได้ ย้อนไปเป็นพันๆ ปี เช่น แซ่ตั้งซึ่งอ่านภาษาจีนกลางว่าเฉิน ภาษาแต้จิ๋วว่าตั้ง ภาษาไหหลำว่าด่าน ภาษาจีนแคระชิน ภาษาฮกเกี้ยนว่าตัน ภาษากวางตุ้งว่าฉัตร สืบเชื้อสายจักรพรรดิจีนห้าองค์ เคยมีการประชุมบุคคลแซ่ตั้งสากลที่ประเทศไทยมาแล้ว คนแซ่เดียวกันพบกันที่นิวยอร์กก็จะรู้สึกเป็นพี่น้องกัน นี่คือความอัศจรรย์ทั้งๆ ที่ไม่รู้จักกันมาก่อน
ประการที่สาม ได้แก่กำแพงเมืองจีน หรือกำแพงหมื่นลี้ ซึ่งมีความยาวห้าพันกิโลเมตร จักรพรรดิ์จิ๋นซีสร้างขึ้นโดยเชื่อมกำแพงที่มีอยู่เก่าของเมืองต่างๆ จุดประสงค์ก็เพื่อป้องกันการเข้ามารุกรานและรังควานจากชนเผ่าทางเหนือที่ชำนาญในการขี่ม้า ล่าสัตว์ และเร่ร่อนอยู่ตามกระโจม เช่น เจงกิสข่าน กำแพงมีเชิงเทินที่สามารถส่งสัญญาณควันได้ รับต่อเป็นทอดๆ เมื่อมีข้าศึกมาทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ประชิดกำแพงก็จะส่งสัญญาณควันและสัญญาณดังกล่าวจะถึงนครหลวงปักกิ่งภายในครึ่งวัน กำแพงกว้างสามารถยืนม้าห้าตัวเรียงกระดานได้ ในแง่หนึ่งก็อาจจะเป็นทางหลวงที่สามารถจะเดินทางแทนการข้ามหุบเขาต่างๆ แม้กำแพงเมืองจีนไม่สามารถจะป้องกันผู้รุกรานและรังควานได้ แต่ก็สะท้อนถึงสิ่งก่อสร้างที่ยิ่งใหญ่เป็นสิ่งมหัศจรรย์หนึ่งของโลก
ตั้งแต่ปี ค.ศ.1839 เมื่อจีนเริ่มรบกับอังกฤษและแพ้สงครามฝิ่นในปี ค.ศ.1842 จนถึงปี 1949 ซึ่งเป็นระยะเวลา 100 ปีพอดี โดยในปี 1949 เหมา เจ๋อตุง ได้สถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีนขึ้นภายใต้ระบอบการปกครองแบบคอมมิวนิสต์ หนึ่งร้อยปีดังกล่าวเป็นหนึ่งร้อยปีของความอัปยศอดสูของจีน ถูกต่างชาติโดยเฉพาะชาติตะวันตกรวมทั้งญี่ปุ่นฉกฉวยประโยชน์จากความอ่อนแอจนเกิดเขตเช่าในเซี่ยงไฮ้ ในชิงเต๋า และในที่อื่นๆ ซ้ำยังเจอกับการรุกรานโดยกองทัพจักรพรรดิญี่ปุ่น รวมตลอดทั้งการเผชิญกับปัญหาการแก่งแย่งอำนาจภายใน เกิดกบฏเช่นกบฏไต้เผ็ง เป็นต้น จนผลสุดท้ายในปี 1911 ระบบการปกครองของจีนในรูปแบบของจักรพรรดิได้ถูกล้มโดยกระบวนการปฏิวัตินำโดยนายแพทย์ซุนยัดเซ็น และต่อมาในปี 1949 ตามที่ได้กล่าวมาแล้วก็ได้เปลี่ยนไปสู่ระบอบการปกครองแบบคอมมิวนิสต์
จีนในปัจจุบันซึ่งอยู่ภายใต้การปกครองแบบคอมมิวนิสต์มา 50 ปี แต่ได้ผสมผสานกับระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม ได้ทำให้จีนกลายเป็นประเทศที่มีความเจริญก้าวหน้าในด้านต่างๆ อย่างรวดเร็ว ตามนโยบายสี่ทันสมัยของเติ้ง เสี่ยวผิง ซึ่งได้แก่ การทันสมัยในทางอุตสาหกรรม เกษตร เทคโนโลยี และการป้องกันประเทศ การเปิดประตูประเทศของจีนเสมือนการเปิดประตูประเทศของญี่ปุ่นสมัยเมจิ โดยจีนในปัจจุบันกลายเป็นประเทศที่มีอัตราความเจริญทางเศรษฐกิจสูงสุดประเทศหนึ่ง มีบทบาทในทางการเมืองระหว่างประเทศ และมีศักยภาพที่จะเป็นมหาอำนาจในอนาคตภายใน 20 ปีข้างหน้านี้
สิ่งที่เกิดขึ้นนี้สอดคล้องกับคำกล่าวของนโปเลียน โบนาปาร์ต ที่ว่า จีนคือยักษ์ที่หลับอยู่ เมื่อจีนตื่นเมื่อไหร่โลกจะรู้สึกถึงผลกระทบของยักษ์ใหญ่ตัวนี้ และในขณะนี้ผลกระทบที่สำคัญของจีนก็คือ สินค้าจีนถูกส่งไปขายทั่วโลกมากมายเป็นพันๆ ชนิด ทั้งสินค้าที่มีคุณภาพและถูกกฎหมาย กับสินค้าที่เป็นของเลียนแบบ และที่สำคัญชาวโลกเริ่มให้ความสนใจประเทศจีนทั้งเป็นแหล่งลงทุน และตลาดภายในอันมหาศาล จนทำให้เกิดความตื่นตัวเห็นความสำคัญของภาษาจีน และมีการเรียนการสอนเกิดขึ้นอย่างดาษดื่นในหลายแห่ง แม้กระทั่งประเทศที่เคยต่อต้านการเรียนภาษาจีนเช่นมาเลเซีย เป็นต้น ประเทศไทยเองก็ให้ความสนใจภาษาจีนมากยิ่งขึ้น จนในขณะนี้ได้เริ่มมีการสอนภาษาจีนในชั้นมัธยมและในมหาวิทยาลัย
ภาษาจีนเป็นภาษาที่มีการใช้ในการสื่อสารของคนประมาณ 1,300 ล้านคน คนที่มีเชื้อสายจีนและวัฒนธรรมจีนมีอยู่ทั่วโลก จีนเป็นประเทศที่มีอาณาเขตกว้างใหญ่ มีประชากรเป็นอันดับหนึ่งของโลก ในขณะนี้จีนได้ก้าวสู่ยุคใหม่อันได้แก่ยุคโลกาภิวัตน์ มีคำกล่าวว่า ศตวรรษที่ 21จะเป็นศตวรรษที่จีนมีบทบาทในฐานะมหาอำนาจในทางเศรษฐกิจ การเมือง รวมตลอดทั้งมหาอำนาจทางทหารในภูมิภาค และอาจจะเป็นมหาอำนาจที่ถ่วงดุลกับมหาอำนาจอื่นทั้งในภูมิภาคเอเชียและในภูมิภาคตะวันตก
ภาษาจีนจึงเป็นภาษาที่สำคัญ เป็นหนึ่งในห้าภาษาในองค์การสหประชาชาติ การรู้ภาษาจีนจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการสื่อสารกับชาติเก่าแก่ที่มีวัฒนธรรมและอารยธรรมอันยิ่งใหญ่ ขณะเดียวกันก็จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการประกอบธุรกิจ แต่ที่สำคัญที่สุดการเรียนภาษาอาจจะได้เรียนรู้วัฒนธรรม ระบบความคิด ความเชื่อ ของชนชาตินั้นๆ ด้วย ประเทศจีนเป็นประเทศที่มีลัทธิคำสอนที่สำคัญ คำสอนของลัทธิขงจื๊อเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของคนในสังคม จริยธรรมของผู้ปกครอง ค่านิยม วัฒนธรรม ความเชื่อ ของคนสามัญทั่วไป นอกจากนั้นยังมีลัทธิเต๋าซึ่งเป็นคำสอนที่ลึกซึ้งเกี่ยวด้วยเรื่องธรรมชาติและวิถีแห่งเต๋า ฯลฯ การรู้ภาษาจีนจะเป็นการเปิดประตูไปสู่อีกโลกหนึ่งของความรู้ วัฒนธรรม และอารยธรรม ถ้าในหลักสูตรมีบทเรียนเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้
การสอนภาษาจีนที่กระทำมาในอดีตในประเทศไทยนั้นมีข้อจำกัดที่สำคัญคือ ผู้สอนมักจะมีคุณภาพไม่สู้จะดีนัก วิธีการสอนก็ใช้วิธีแบบโบราณ นอกจากนี้นโยบายของรัฐบาลสมัยนั้นก็พยายามกีดกั้นไม่ให้มีการสอนภาษาจีนอย่างเต็มที่อันเนื่องมาจากความกริ่งเกรงในเรื่องลัทธิคอมมิวนิสต์ ขณะเดียวกันก็มีนโยบายที่สำคัญที่จะผสมผสานกลมกลืนคนไทยเชื้อสายจีนให้เข้ากับชนกลุ่มใหญ่ของสังคม ทำให้มีการจำกัดชั่วโมงสอนและมีการปิดโรงเรียนจีนไปเป็นจำนวนมาก ครูหลายคนถูกจับและถูกกล่าวหาเป็นคอมมิวนิสต์ จนมีเยาวชนบางกลุ่มแอบหนีกลับไปสู่ประเทศจีนเพื่อเรียนภาษาจีนที่แผ่นดินใหญ่ บางส่วนก็ไปเรียนที่ไต้หวัน หรือปีนัง แต่นั่นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในอดีต สิ่งที่น่าเสียดายก็คือ นโยบายดังกล่าวแม้จะมีส่วนทำให้ในการผสมผสานกลมกลืนประสบความสำเร็จ แต่ก็ทำให้คนจำนวนล้านๆ คนไม่มีโอกาสได้รับการศึกษาอบรมและสัมผัสกับวัฒนธรรมและอารยธรรมที่รุ่งเรืองและยิ่งใหญ่มาประมาณห้าพันปี อันเป็นเรื่องที่น่าเสียดายอย่างยิ่ง
การเรียนภาษาจีนในโรงเรียนจีนสมัยนั้นจะต้องเรียนโดยมีวินัย มีความขยันขันแข็ง มีความมุ่งมั่นเพราะต้องใช้ความพยายามในการจำตัวภาษา มีการเขียนด้วยพู่กันซึ่งต้องมีสมาธิ มีการหัดแต่งความซึ่งต้องรู้จักใช้ความคิด ความขยัน ความมีวินัย ความมุ่งมั่น มีส่วนก่อให้เกิดบุคลิกภาพของคนที่ขยันขันแข็ง มีวินัยส่วนตัวเข้มข้น และความมุ่งมั่นที่แกร่งกล้า จนกล่าวได้ว่าบุคคลที่ผ่านกระบวนการอบรมเช่นนี้มักจะประสบความสำเร็จในวิชาชีพต่างๆ กล่าวได้ว่า ในสังคมไทยนั้นมีคนสามกลุ่มที่จะมีระเบียบวินัยมากกว่ากลุ่มอื่นๆ กลุ่มแรกได้แก่
กลุ่มผู้ซึ่งเคยผ่านการเรียนภาษาจีนในโรงเรียนจีนตามที่กล่าวมาแล้ว กลุ่มที่สองได้แก่ กลุ่มที่มีภูมิหลังเป็นทหารซึ่งจะเป็นคนที่มีระเบียบวินัย รับผิดชอบ ตรงต่อเวลา กลุ่มที่สามได้แก่ คือบุคคลที่เคยบวชเรียนเป็นระยะเวลานานในระดับหนึ่งในพระพุทธศาสนา คนสามกลุ่มนี้จะมีระเบียบวินัยสูงกว่าคนกลุ่มอื่นๆ
จุดที่น่าเสียดายก็คือ ภาษาจีนที่สอนในปัจจุบันเป็นการสอนเทคนิคทางภาษา แต่คงไม่มีบรรยากาศของการเรียนรู้ทางระเบียบวินัยเหมือนกับระบบโรงเรียนจีนในสมัยก่อน ค่านิยม ความรู้ทางวัฒนธรรม ความมีระเบียบวินัย ความขยันหมั่นเพียร ที่ถูกฝึกอบรมมาในสมัยก่อนนั้นน่าจะไม่ปรากฏในห้องเรียนยุคปัจจุบัน สิ่งที่ผู้เรียนจะได้คือเทคนิคของภาษาเพื่อการสื่อสาร นอกเหนือจากนั้นความรู้ทางประวัติศาสตร์ ปรัชญาต่างๆ ก็น่าจะไม่ใช่จุดประสงค์ของการเรียนภาษาจีน การเรียนภาษาจีนในปัจจุบันจึงน่าจะได้เทคนิคเพื่อการติดต่อสื่อสาร ในการเขียน และการพูดจากัน มากกว่าการเน้นส่วนดีของวัฒนธรรมและอารยธรรม รวมทั้งการสร้างบุคลิกที่มีระเบียบวินัย ขยันขันแข็ง รับผิดชอบ รู้จักอ่อนน้อมถ่อมตัว กตัญญูรู้คุณ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเสียดาย