เมื่อวันที่ 4 มิถุนายนที่ผ่านมา พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ เป็นประธานในพิธีสมโภชเปิดผ้าแพร “พญาคชสีห์” สัญลักษณ์ทางราชการประจำกระทรวงกลาโหม ซึ่งได้จัดสร้างขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในวโรกาสทรงครองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี และโอกาสครบรอบ 120 ปี กระทรวงกลาโหม
รูปคชสีห์ทั้ง 2 แยกกันประดับอยู่ที่บริเวณด้านหน้าประตูทางเข้า-ออก ด้านหน้าศาลาว่าการกลาโหม รูปที่ประดับประตูด้านทิศเหนือ ชื่อ พญาคชสีห์เสนีพิทักษ์ ส่วนที่ตั้งทางประตูด้านทิศใต้ชื่อว่า พญาคชสีห์สยามปฐพีพิทักษ์
นัยจากชื่อที่ตั้งขึ้น บ่งบอกเจตนารมณ์ของทหารหาญผู้รักษาราชบัลลังก์ และผู้ปกป้องผืนแผ่นดินอย่างชัดเจน
คชสีห์ กับ กระทรวงกลาโหม เป็นความงดงามที่แสดงให้บรรพชนรุ่นหลังเข้าถึง เข้าใจและภาคภูมิกับรากเหง้าที่มา แสดงให้เห็นถึงรากวัฒนธรรมของความเป็นชาติ และสังคมไทย
ที่ถักทอต่อเนื่องจากอดีตจวบถึงปัจจุบันอย่างไม่ขาดตอน
คชสีห์ เป็นสัตว์หิมพานต์ เป็นส่วนผสมระหว่างช้าง กับ สิงห์ ..กายเป็นสิงห์ หัวเป็นช้าง และมีพละกำลังเทียบเท่าช้างกับสิงห์กัน
ราชสำนักตั้งแต่สมัยอยุธยา ได้นำตรารูปสัตว์หิมพานต์มาใช้เป็นสัญลักษณ์ตราประจำตำแหน่งของเสนาบดี และหมวดงาน ตกทอดมาถึงยุครัตนโกสินทร์
ตราอะไรมาก่อน มาหลังและใช้กันแบบไหนมีปราชญ์หลายท่านบันทึกเอาไว้จำนวนมาก คงไม่ต้องนำมากล่าวถึงในที่นี้ สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ท่านก็เคยทรงวินิจฉัยในสาส์นสมเด็จ โดยทรงสันนิษฐานว่า "ตราพระราชสีห์ เห็นจะมีก่อนอื่นทั้งหมด ต่อมาเมื่อมีตำแหน่งราชการเพิ่มขึ้นจึงได้นำตราคชสีห์มาใช้
ในยุครัตนโกสินทร์ตอนต้น ตราคชสีห์ เป็นตราสัญลักษณ์ของสมุหกลาโหม บังคับหัวเมืองฝ่ายใต้ทั้งปวง
เช่นเดียวกับตราราชสีห์ เป็นสัญลักษณ์ของสมุหนายกปกครองหัวเมืองฝ่ายเหนือที่ต่อมาเป็นตราของกระทรวงมหาดไทย และตราบัวแก้ว กำกับกรมท่า ซึ่งต่อมากรมท่าที่ต้องติดต่อกับชาวต่างประเทศทั้งปวง ก็กลายมาเป็นกระทรวงการต่างประเทศที่ใช้ตราดังกล่าวนี้มาถึงปัจจุบัน
ถึงแม้ คชสีห์ หรือ ราชสีห์ ไม่ได้เป็นรูปศักดิ์สิทธิ์แบบที่มีคนมาจุดธูปกราบไหว้ ในความหมายใกล้เคียงกับพระพุทธรูป แต่ก็ไม่ได้หมายว่า ใครผู้ใดจะนำไปใช้ในกิจกรรมส่วนตัวตามอำเภอใจ
ไม่มีกฎหมายแต่คนไทยรู้กันโดยสำนึกเองว่า สัญลักษณ์แบบนี้หากไม่เกี่ยวกับวัด ก็ต้องเกี่ยวกับ วัง
เป็นเรื่องของเจ้านายหรือพระเจ้า..ว่างั้นเถอะ !
คนที่ได้รับการสั่งสอนมาตามวิถีไทยคงไม่มีใครอุตริเอามาทำเป็นตราสัญลักษณ์ของตระกูลตัวเอง หรือ เอารูปเหล่านี้มาวางทิ้งไว้เพ่นพ่านตามลานบ้านอย่างแน่นอน
อย่างกรณีที่ยกมาเรื่องสัญลักษณ์ประจำตระกูล ก็เพียงเพื่อจะแยกให้เห็นความต่างระหว่าง ขุนนางไทย กับ ขุนนางฝรั่งในยุคฟิวดัลลอร์ด
ถึงแม้ว่าขุนนางคนดังกล่าวจะได้รับพระราชทานให้กินตำแหน่งสมุหกลาโหม ประทับตราคชสีห์ในหนังสือสั่งการ ก็ไม่ได้หมายความว่า ตราดังกล่าวเป็นสัญลักษณ์ของขุนนางท่านนั้นโดยถาวร และบังเอิญที่ขุนนางไทยไม่ต้องสร้างตราประจำตระกูลเหมือนกับขุนนางฝรั่งยุคอัศวิน ที่ใครอยากใช้ตราอะไรก็คิดสร้างขึ้นมาเองเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของตัว
ตราสัตว์หิมพานต์ และเทวดาต่างๆ ถูกนำมาใช้ในกิจการของ “วัง” มายาวนานต่อเนื่องจนมาถึงยุคเปลี่ยนแปลงการปกครอง ก็ยังไม่ได้ถูกทอดทิ้ง ดังจะเห็นจากกระทรวงทบวงกรมต่างๆ นำตราดังกล่าวมาเป็นสัญลักษณ์ ต่อเนื่องมาถึงปัจจุบัน
เป็นการเปลี่ยนผ่านที่นุ่มนวล งดงาม-นี่เป็นจุดเด่นที่น่ารักมากๆ ของสังคมไทย
เป็นการแสดงสายใยที่เชื่อมโยงจากพระมหากษัตริย์ในยุคก่อน ต่อเนื่องมาถึง ระบบราชการที่เปลี่ยนผ่านจากยุคสมบูรณาญาสิทธิราชสู่ยุคประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข
แต่นั่นเองครับ เรามักจะเห็นตราเหล่านี้ในรูปของตราประทับมากกว่ารูปแบบอื่น หรือหากเป็นรูปปั้นก็เป็นเรื่องภายในของหน่วยงานผู้อยู่ภายใต้ตราเหล่านั้นทำกันเงียบๆ
พออ่านข่าวพล.อ.เปรม เป็นประธานเปิดผ้ารูปปั้นคชสีห์ ที่กระทรวงกลาโหม ย้อนนึกถึงความน่ารักของสังคมไทยเพลินๆ แล้วจู่ๆ ก็แวบนึกถึงรูปปั้นสัตว์หิมพานต์อีกชนิดหนึ่งที่ไม่เคยปรากฏในสารบบตราประทับแผ่นดิน
ซึ่งปัจจุบันยืนเด่นเป็นสง่าอยู่หน้าไนท์ซาฟารี จังหวัดเชียงใหม่

รูปปั้น วารีกุญชร !!
วารีกุญชร อยู่ในตำนานสัตว์หิมพานต์เหมือนกับคชสีห์ ราชสีห์นั่นแหละครับ ตัวเป็นช้าง แต่มีองค์ประกอบอื่นๆ เป็นปลา มีครีบ มีหาง เป็นปลา เพราะกำเนิดจากช้างและปลามาผสมกัน
ตำนานยังบอกว่า ช้าง กับ ปลา ที่ผสมกันนี้แยกออกเป็น 2 ชนิด
ถ้าเป็น กุญชรวารี ก็คือ ปลาที่เหมือนกับช้าง ..อาศัยในน้ำ
ส่วนวารีกุญชร เป็นช้างที่มีส่วนของปลาผสม..อาศัยบนบก
ไนท์ซาฟารี เขาได้ประดิษฐ์รูป วารีกุญชร ขนาดใหญ่ ปั้นขึ้นเป็นสัตว์ประธานตั้งอยู่เบื้องหน้าอาคารทางเข้า
รอบๆ ฐานมีสัตว์หิมพานต์ชนิดต่างๆ เป็นตัวเล็กๆ เป็นบริวารประดับรายรอบ ..
ลืมไปแล้วว่ามี ราชสีห์ คชสีห์ รวมอยู่ด้วยหรือไม่ ?
ก็น่าประทับใจสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มาเยือนจะได้เห็นสัตว์แปลกๆ ในเทพนิยายตะวันออก
เทพนิยายตะวันตกมีม้ายูนิคอร์น ตะวันออกก็มีวารีกุญชรได้ !
แล้วไนท์ซาฟารีก็ยังตั้งชื่ออาคารหลักซึ่งกำหนดจะให้เป็นร้านอาหาร ก่อนนี้ก็ใช้เป็นสถานที่ประชุมครม. สัญจร ว่า “เรือนวารีกุญชร”
นั่นแสดงให้เห็นว่า คนที่ปั้นไนท์ซาฟารีขึ้นมา ต้องให้น้ำหนักเจ้าตัว วารีกุญชร เป็นเอกแห่งสัตว์ทั้งปวงในนั้น ... รูปปั้นประธานก็วารีกุญชร แถมเรือนประธานก็ยังตั้งชื่อว่า วารีกุญชรอีก
กรณีวารีกุญชร ที่ไนท์ซาฟารี บอกให้เรารู้ว่า ในยุคใหม่ เมกะโมเดิร์นศิวิไลซ์แบบนี้ ความคิดความเชื่อเรื่องการหยิบรูปหิมพานต์ที่เคยใช้ในกิจกรรมของวัดและวังได้คลี่คลายไปมาก
ไม่ใคร่มีใครถือเหมือนกับคนรุ่นปู่รุ่นย่าที่ถือว่าเป็นเรื่องวัด หรือ เรื่องเจ้านาย อีกต่อไป เพราะสัตว์เหล่านี้เป็นทุนวัฒนธรรมที่จะนำใช้มาเพื่อประดับตกแต่ง และเพื่อการค้าอย่างอลังการสุดๆ ได้
บางคนบอกว่าไม่เหมาะ -เพราะแม้แต่หน่วยงานราชการเอง หากมีการตั้งหน่วยงานใหม่ จะต้องมีการตั้งคณะกรรมการสร้างตราสัญลักษณ์
ครุฑ นาค สิงห์ ฯลฯ ที่นำมาเป็นสัญลักษณ์ของแต่ละหน่วยงานจึงมีที่มาที่ไป บอกเล่าความเป็นมาและความหมายได้ เช่น ตราประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ทั้งทั้งคชสีห์และราชสีห์เฝ้าพานรัฐธรรมนูญ เขาก็อธิบายรากที่มาได้
ไม่มีหรอกที่จู่ๆ ข้าราชการคนหนึ่ง หรือ นักการเมืองคนหนึ่ง อุตริไปหยิบเอาตราเทพ เทวดา และสัตว์หิมพานต์ มาตั้งเป็นตราประจำหน่วยงาน หรือตราประจำตัวเองโดยไม่มีที่มาที่ไป
เอาล่ะ บ้านเมืองมันเปลี่ยน - กรณีนี้ไม่มีผิดถูกครับ เป็นเหตุผลที่มองคนละมุมได้ !
มีปมที่อยากจะติงอยู่นิดเดียวเท่านั้น
เรื่องดังกล่าวคือท่านผู้เป็นใหญ่ ณ ไนท์ซาฟารี ท่านขึ้นชื่อเรื่องปาก .. หากให้ปะทะวาจากับผู้ใดไม่มีลดราวาศอกให้..หากอารมณ์ดีก็จะเล่าเรื่องชนิดหูดับตับไหม้
เป็นคนที่ไม่แคร์ ไม่แยแส และไม่กลัวนักข่าว
มีอยู่ครั้งหนึ่งตอนที่ใกล้จะเปิดไนท์ซาฟารี ท่านได้จัดแถลงข่าวมีผู้ว่าฯเชียงใหม่ไปร่วมด้วย ครั้นออกมาด้านหน้าก็พากันไปยืนถ่ายรูปที่ด้านหน้าอาคารซึ่งมีรูปปั้นวารีกุญชรตั้งตระหง่าน
ท่านคงอารมณ์ดีเป็นพิเศษเมื่อยืนอยู่เบื้องหน้าวารีกุญชร จึงบอกกับนักข่าวน้อยใหญ่ถึงที่มาของวารีกุญชร- ที่ตั้งอยู่ในทำนองว่า
ตัวท่านเคยเป็นเป็นใหญ่ในกิจการด้านน้ำมายาวนาน
ต่อมาก็โยกย้ายมาเป็นใหญ่ในกิจการด้านป่าไม้
ปลา เป็นเป็นสัญลักษณ์ของน้ำ และ ช้างคือตัวแทนของป่า เมื่อผสมกันก็เป็น “วารีกุญชร” ที่เห็นอยู่นั่นยังไง !
จำไม่ได้แล้วว่ามีการสัพยอกบอกต่อว่า สัตว์ชนิดอื่นๆ ที่อยู่รายรอบเป็นบริวารของวารีกุญชรหรือไม่ ? คลับคล้ายคลับคลา-จำไม่ได้จริงๆ
ตรงนี้แหละครับที่ขอติง !
เพราะธรรมเนียมของช่างสมัยโบราณ ไม่ว่าวาดหรือปั้น เมื่อรังสรรค์งานขึ้นมาแล้วมักจะมีความภูมิใจและฝากสัญลักษณ์เอาไว้ในชิ้นงานนั้นเป็นปกติ
แต่ก็เป็นการฝากในเชิงซ่อน ฝากในเชิงสัญลักษณ์ เช่นศิลปินช่างวาดฝาผนังท่านหนึ่งแอบวาดรูปของตัวเองหลบๆ เอาไว้ในภาพใหญ่ .. กลเม็ดแบบนี้วงการศิลปะเขามีเรื่องเล่ากันมากมาย แต่ก็อยู่ในกรอบอารมณ์ขันของศิลปิน
ไม่มีหรอกช่างผู้รังสรรค์งานคนไหน มาเที่ยวประกาศให้โลกรู้แบบเสียงดังฟังชัดว่ารูปประธานคือสัญลักษณ์แห่งข้าฯ ....ธรรมเนียมไทยเขาไม่ปฏิบัติกัน
จะสถาปนาสัญลักษณ์อะไรกัน ก็ไม่ต้องป่าวประกาศให้เอิกเกริกเลยครับ
ด้วยความเคารพ !สำหรับผมเห็นว่ามันไม่งามครับ
รูปคชสีห์ทั้ง 2 แยกกันประดับอยู่ที่บริเวณด้านหน้าประตูทางเข้า-ออก ด้านหน้าศาลาว่าการกลาโหม รูปที่ประดับประตูด้านทิศเหนือ ชื่อ พญาคชสีห์เสนีพิทักษ์ ส่วนที่ตั้งทางประตูด้านทิศใต้ชื่อว่า พญาคชสีห์สยามปฐพีพิทักษ์
นัยจากชื่อที่ตั้งขึ้น บ่งบอกเจตนารมณ์ของทหารหาญผู้รักษาราชบัลลังก์ และผู้ปกป้องผืนแผ่นดินอย่างชัดเจน
คชสีห์ กับ กระทรวงกลาโหม เป็นความงดงามที่แสดงให้บรรพชนรุ่นหลังเข้าถึง เข้าใจและภาคภูมิกับรากเหง้าที่มา แสดงให้เห็นถึงรากวัฒนธรรมของความเป็นชาติ และสังคมไทย
ที่ถักทอต่อเนื่องจากอดีตจวบถึงปัจจุบันอย่างไม่ขาดตอน
คชสีห์ เป็นสัตว์หิมพานต์ เป็นส่วนผสมระหว่างช้าง กับ สิงห์ ..กายเป็นสิงห์ หัวเป็นช้าง และมีพละกำลังเทียบเท่าช้างกับสิงห์กัน
ราชสำนักตั้งแต่สมัยอยุธยา ได้นำตรารูปสัตว์หิมพานต์มาใช้เป็นสัญลักษณ์ตราประจำตำแหน่งของเสนาบดี และหมวดงาน ตกทอดมาถึงยุครัตนโกสินทร์
ตราอะไรมาก่อน มาหลังและใช้กันแบบไหนมีปราชญ์หลายท่านบันทึกเอาไว้จำนวนมาก คงไม่ต้องนำมากล่าวถึงในที่นี้ สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ท่านก็เคยทรงวินิจฉัยในสาส์นสมเด็จ โดยทรงสันนิษฐานว่า "ตราพระราชสีห์ เห็นจะมีก่อนอื่นทั้งหมด ต่อมาเมื่อมีตำแหน่งราชการเพิ่มขึ้นจึงได้นำตราคชสีห์มาใช้
ในยุครัตนโกสินทร์ตอนต้น ตราคชสีห์ เป็นตราสัญลักษณ์ของสมุหกลาโหม บังคับหัวเมืองฝ่ายใต้ทั้งปวง
เช่นเดียวกับตราราชสีห์ เป็นสัญลักษณ์ของสมุหนายกปกครองหัวเมืองฝ่ายเหนือที่ต่อมาเป็นตราของกระทรวงมหาดไทย และตราบัวแก้ว กำกับกรมท่า ซึ่งต่อมากรมท่าที่ต้องติดต่อกับชาวต่างประเทศทั้งปวง ก็กลายมาเป็นกระทรวงการต่างประเทศที่ใช้ตราดังกล่าวนี้มาถึงปัจจุบัน
ถึงแม้ คชสีห์ หรือ ราชสีห์ ไม่ได้เป็นรูปศักดิ์สิทธิ์แบบที่มีคนมาจุดธูปกราบไหว้ ในความหมายใกล้เคียงกับพระพุทธรูป แต่ก็ไม่ได้หมายว่า ใครผู้ใดจะนำไปใช้ในกิจกรรมส่วนตัวตามอำเภอใจ
ไม่มีกฎหมายแต่คนไทยรู้กันโดยสำนึกเองว่า สัญลักษณ์แบบนี้หากไม่เกี่ยวกับวัด ก็ต้องเกี่ยวกับ วัง
เป็นเรื่องของเจ้านายหรือพระเจ้า..ว่างั้นเถอะ !
คนที่ได้รับการสั่งสอนมาตามวิถีไทยคงไม่มีใครอุตริเอามาทำเป็นตราสัญลักษณ์ของตระกูลตัวเอง หรือ เอารูปเหล่านี้มาวางทิ้งไว้เพ่นพ่านตามลานบ้านอย่างแน่นอน
อย่างกรณีที่ยกมาเรื่องสัญลักษณ์ประจำตระกูล ก็เพียงเพื่อจะแยกให้เห็นความต่างระหว่าง ขุนนางไทย กับ ขุนนางฝรั่งในยุคฟิวดัลลอร์ด
ถึงแม้ว่าขุนนางคนดังกล่าวจะได้รับพระราชทานให้กินตำแหน่งสมุหกลาโหม ประทับตราคชสีห์ในหนังสือสั่งการ ก็ไม่ได้หมายความว่า ตราดังกล่าวเป็นสัญลักษณ์ของขุนนางท่านนั้นโดยถาวร และบังเอิญที่ขุนนางไทยไม่ต้องสร้างตราประจำตระกูลเหมือนกับขุนนางฝรั่งยุคอัศวิน ที่ใครอยากใช้ตราอะไรก็คิดสร้างขึ้นมาเองเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของตัว
ตราสัตว์หิมพานต์ และเทวดาต่างๆ ถูกนำมาใช้ในกิจการของ “วัง” มายาวนานต่อเนื่องจนมาถึงยุคเปลี่ยนแปลงการปกครอง ก็ยังไม่ได้ถูกทอดทิ้ง ดังจะเห็นจากกระทรวงทบวงกรมต่างๆ นำตราดังกล่าวมาเป็นสัญลักษณ์ ต่อเนื่องมาถึงปัจจุบัน
เป็นการเปลี่ยนผ่านที่นุ่มนวล งดงาม-นี่เป็นจุดเด่นที่น่ารักมากๆ ของสังคมไทย
เป็นการแสดงสายใยที่เชื่อมโยงจากพระมหากษัตริย์ในยุคก่อน ต่อเนื่องมาถึง ระบบราชการที่เปลี่ยนผ่านจากยุคสมบูรณาญาสิทธิราชสู่ยุคประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข
แต่นั่นเองครับ เรามักจะเห็นตราเหล่านี้ในรูปของตราประทับมากกว่ารูปแบบอื่น หรือหากเป็นรูปปั้นก็เป็นเรื่องภายในของหน่วยงานผู้อยู่ภายใต้ตราเหล่านั้นทำกันเงียบๆ
พออ่านข่าวพล.อ.เปรม เป็นประธานเปิดผ้ารูปปั้นคชสีห์ ที่กระทรวงกลาโหม ย้อนนึกถึงความน่ารักของสังคมไทยเพลินๆ แล้วจู่ๆ ก็แวบนึกถึงรูปปั้นสัตว์หิมพานต์อีกชนิดหนึ่งที่ไม่เคยปรากฏในสารบบตราประทับแผ่นดิน
ซึ่งปัจจุบันยืนเด่นเป็นสง่าอยู่หน้าไนท์ซาฟารี จังหวัดเชียงใหม่
รูปปั้น วารีกุญชร !!
วารีกุญชร อยู่ในตำนานสัตว์หิมพานต์เหมือนกับคชสีห์ ราชสีห์นั่นแหละครับ ตัวเป็นช้าง แต่มีองค์ประกอบอื่นๆ เป็นปลา มีครีบ มีหาง เป็นปลา เพราะกำเนิดจากช้างและปลามาผสมกัน
ตำนานยังบอกว่า ช้าง กับ ปลา ที่ผสมกันนี้แยกออกเป็น 2 ชนิด
ถ้าเป็น กุญชรวารี ก็คือ ปลาที่เหมือนกับช้าง ..อาศัยในน้ำ
ส่วนวารีกุญชร เป็นช้างที่มีส่วนของปลาผสม..อาศัยบนบก
ไนท์ซาฟารี เขาได้ประดิษฐ์รูป วารีกุญชร ขนาดใหญ่ ปั้นขึ้นเป็นสัตว์ประธานตั้งอยู่เบื้องหน้าอาคารทางเข้า
รอบๆ ฐานมีสัตว์หิมพานต์ชนิดต่างๆ เป็นตัวเล็กๆ เป็นบริวารประดับรายรอบ ..
ลืมไปแล้วว่ามี ราชสีห์ คชสีห์ รวมอยู่ด้วยหรือไม่ ?
ก็น่าประทับใจสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มาเยือนจะได้เห็นสัตว์แปลกๆ ในเทพนิยายตะวันออก
เทพนิยายตะวันตกมีม้ายูนิคอร์น ตะวันออกก็มีวารีกุญชรได้ !
แล้วไนท์ซาฟารีก็ยังตั้งชื่ออาคารหลักซึ่งกำหนดจะให้เป็นร้านอาหาร ก่อนนี้ก็ใช้เป็นสถานที่ประชุมครม. สัญจร ว่า “เรือนวารีกุญชร”
นั่นแสดงให้เห็นว่า คนที่ปั้นไนท์ซาฟารีขึ้นมา ต้องให้น้ำหนักเจ้าตัว วารีกุญชร เป็นเอกแห่งสัตว์ทั้งปวงในนั้น ... รูปปั้นประธานก็วารีกุญชร แถมเรือนประธานก็ยังตั้งชื่อว่า วารีกุญชรอีก
กรณีวารีกุญชร ที่ไนท์ซาฟารี บอกให้เรารู้ว่า ในยุคใหม่ เมกะโมเดิร์นศิวิไลซ์แบบนี้ ความคิดความเชื่อเรื่องการหยิบรูปหิมพานต์ที่เคยใช้ในกิจกรรมของวัดและวังได้คลี่คลายไปมาก
ไม่ใคร่มีใครถือเหมือนกับคนรุ่นปู่รุ่นย่าที่ถือว่าเป็นเรื่องวัด หรือ เรื่องเจ้านาย อีกต่อไป เพราะสัตว์เหล่านี้เป็นทุนวัฒนธรรมที่จะนำใช้มาเพื่อประดับตกแต่ง และเพื่อการค้าอย่างอลังการสุดๆ ได้
บางคนบอกว่าไม่เหมาะ -เพราะแม้แต่หน่วยงานราชการเอง หากมีการตั้งหน่วยงานใหม่ จะต้องมีการตั้งคณะกรรมการสร้างตราสัญลักษณ์
ครุฑ นาค สิงห์ ฯลฯ ที่นำมาเป็นสัญลักษณ์ของแต่ละหน่วยงานจึงมีที่มาที่ไป บอกเล่าความเป็นมาและความหมายได้ เช่น ตราประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ทั้งทั้งคชสีห์และราชสีห์เฝ้าพานรัฐธรรมนูญ เขาก็อธิบายรากที่มาได้
ไม่มีหรอกที่จู่ๆ ข้าราชการคนหนึ่ง หรือ นักการเมืองคนหนึ่ง อุตริไปหยิบเอาตราเทพ เทวดา และสัตว์หิมพานต์ มาตั้งเป็นตราประจำหน่วยงาน หรือตราประจำตัวเองโดยไม่มีที่มาที่ไป
เอาล่ะ บ้านเมืองมันเปลี่ยน - กรณีนี้ไม่มีผิดถูกครับ เป็นเหตุผลที่มองคนละมุมได้ !
มีปมที่อยากจะติงอยู่นิดเดียวเท่านั้น
เรื่องดังกล่าวคือท่านผู้เป็นใหญ่ ณ ไนท์ซาฟารี ท่านขึ้นชื่อเรื่องปาก .. หากให้ปะทะวาจากับผู้ใดไม่มีลดราวาศอกให้..หากอารมณ์ดีก็จะเล่าเรื่องชนิดหูดับตับไหม้
เป็นคนที่ไม่แคร์ ไม่แยแส และไม่กลัวนักข่าว
มีอยู่ครั้งหนึ่งตอนที่ใกล้จะเปิดไนท์ซาฟารี ท่านได้จัดแถลงข่าวมีผู้ว่าฯเชียงใหม่ไปร่วมด้วย ครั้นออกมาด้านหน้าก็พากันไปยืนถ่ายรูปที่ด้านหน้าอาคารซึ่งมีรูปปั้นวารีกุญชรตั้งตระหง่าน
ท่านคงอารมณ์ดีเป็นพิเศษเมื่อยืนอยู่เบื้องหน้าวารีกุญชร จึงบอกกับนักข่าวน้อยใหญ่ถึงที่มาของวารีกุญชร- ที่ตั้งอยู่ในทำนองว่า
ตัวท่านเคยเป็นเป็นใหญ่ในกิจการด้านน้ำมายาวนาน
ต่อมาก็โยกย้ายมาเป็นใหญ่ในกิจการด้านป่าไม้
ปลา เป็นเป็นสัญลักษณ์ของน้ำ และ ช้างคือตัวแทนของป่า เมื่อผสมกันก็เป็น “วารีกุญชร” ที่เห็นอยู่นั่นยังไง !
จำไม่ได้แล้วว่ามีการสัพยอกบอกต่อว่า สัตว์ชนิดอื่นๆ ที่อยู่รายรอบเป็นบริวารของวารีกุญชรหรือไม่ ? คลับคล้ายคลับคลา-จำไม่ได้จริงๆ
ตรงนี้แหละครับที่ขอติง !
เพราะธรรมเนียมของช่างสมัยโบราณ ไม่ว่าวาดหรือปั้น เมื่อรังสรรค์งานขึ้นมาแล้วมักจะมีความภูมิใจและฝากสัญลักษณ์เอาไว้ในชิ้นงานนั้นเป็นปกติ
แต่ก็เป็นการฝากในเชิงซ่อน ฝากในเชิงสัญลักษณ์ เช่นศิลปินช่างวาดฝาผนังท่านหนึ่งแอบวาดรูปของตัวเองหลบๆ เอาไว้ในภาพใหญ่ .. กลเม็ดแบบนี้วงการศิลปะเขามีเรื่องเล่ากันมากมาย แต่ก็อยู่ในกรอบอารมณ์ขันของศิลปิน
ไม่มีหรอกช่างผู้รังสรรค์งานคนไหน มาเที่ยวประกาศให้โลกรู้แบบเสียงดังฟังชัดว่ารูปประธานคือสัญลักษณ์แห่งข้าฯ ....ธรรมเนียมไทยเขาไม่ปฏิบัติกัน
จะสถาปนาสัญลักษณ์อะไรกัน ก็ไม่ต้องป่าวประกาศให้เอิกเกริกเลยครับ
ด้วยความเคารพ !สำหรับผมเห็นว่ามันไม่งามครับ