ครม.เศรษฐกิจแม้วนัดพิเศษไร้แนวทางดูแลเศรษฐกิจชาติ ยังคงเดินหน้าหาเสียงประชานิยมเอาใจรากหญ้า โถ!ลดดอกเบี้ยให้เกษตรกร 1% สำหรับหนี้ต่ำกว่าแสนบาท ลดค่าไฟ 20% โปรย 130 ล้าน อุดหนุนผลไม้ชาวสวนจันทบุรี–ระยอง บิ๊ก ธ.ก.ส.ครวญแบกต้นทุน 600 ล้าน ด้าน "ทนง พิทยะ" สวนแบงก์ชาติลั่นดุลบัญชีเดินสะพัดปี 49เกินดุล
วานนี้ (2 มิ.ย.) ที่ทำเนียบรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุม ติดตามการดำเนินงานด้านเศรษฐกิจและสังคม โดยมีนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รักษาการรองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิชย์ นายวราเทพ รัตนากร รักษาการ รมช.คลัง และคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ รักษาการ รมว.เกษตรและสหกรณ์ เข้าร่วม
คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าวภายหลังการประชุมว่า มีมาตรการเร่งด่วนในภาคเกษตร 3-6 เดือน 2 มาตรการหลัก คือ 1.ดูแลราคาสินค้าเกษตรให้เกษตรกรขายได้ในราคาที่คุ้มทุน 2. ลดค่าใช้จ่ายต้นทุนของเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดจากราคาน้ำมันแพง โดยการดูแลสินค้าเกษตรจะแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม คือ 1.ผลไม้ 5 ชนิดที่อยู่ในช่วงฤดูของผลไม้แต่ละชนิดคือ เงาะ ทุเรียน มังคุค ที่เป็นผลไม้ภาคตะวันออก โดยจะสนับสนุนการแปรรูป และหาตลาดใหม่ในการส่งออก ทั้งนี้จะขอสนับสนุนงบประมาณ 50 ล้านบาทในการกระจายสินค้าออกไปจำหน่ายยังต่างจังหวัด
ในส่วนของปัญหาสับปะรดล้นตลาด ที่อยู่ในการดูแลของกระทรวงอุตสาหกรรม ซึ่งเกิดปัญหาผลผลิตล้นตลาด 2 แสนตัน ทางกระทรวงเกษตรฯ จะเข้าไปร่วมมือกับกระทรวงอุตสาหกรรมในการดูดสับผลผลิตส่วนเกิน โดยจะขออนุมัติงบประมาณ 80 ล้านบาท เพื่อซื้อผลผลิตส่วนเกินออกไปแจกจ่ายและขายยังต่างจังหวัด ผ่านผู้ว่าราชการจังหวัด และทางกระทรวงเกษตรฯ จะซื้อสับปะรดจากเกษตรกรนำมาผลิตเป็นอาหารสัตว์ ในโรงงานผลิตอาหารสัตว์ของกระทรวงเกษตรฯ โดยในวันจันทร์ที่ 5 มิ.ย.จะมีการประชุมร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศ
2.พืช พลังงาน ที่เกิดปัญหาไม่สามารถเปิดโรงงานผลิตพืชที่นำมาผลิตเป็นพลังงานทดแทนได้ และมีปัญหาผลผลิตส่วนเกิน เช่น ปาล์ม และมันสำปะหลัง ในส่วนของปาล์มน้ำมันนั้น ปัญหาที่เกิดจากการลักลอบนำเข้าโดยไม่เสียภาษี ที่ราคาถูกกว่าปาล์มในประเทศ ขณะที่การส่งออกก็ลดลงจากเดิมเคยส่งออกปีละแสนตัน ปัญหาดังกล่าว กระทรวงเกษตรฯ เห็นว่าจะร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเช่น กรมศุลกากร กระทรวงการคลัง ที่จะออกระเบียบและมาตรการควบคุมการส่งออกและนำเข้า ด้วยการนำเข้าเท่าไรส่งออกเท่านั้นในสัดส่วน 1 ต่อ 1 จะช่วยทำให้ราคาปาล์มดีขึ้น ในส่วนของปาล์มน้ำมันที่ใช้ผลิตไบโอดีเซล จะเร่งรัดเปิดโรงงาน 3 แห่งภายในเดือนมิ.ย.นี้ มีผลผลิตปาล์มป้อนเข้าโรงงานเพิ่มขึ้นก็จะทำให้ราคาปาล์มน้ำมันดีขึ้น
3.กลุ่มสินค้ากุ้ง ไก่ แม้สินค้ากลุ่มนี้ไม่มีปัญหาแต่จะผลักดันด้านราคาและด้านมูลค่าเพิ่มในการส่งออก เพื่อหารายได้ให้กับประเทศเพิ่มสูงขึ้น
ทั้งนี้ ในส่วนของมาตรการที่ 2 คือ การลดต้นทุนเกษตรกรในระยะสั้น 6 เดือนหลังจากนี้ คือ 1. จะช่วยเกษตรกรด้วยการลดดอกเบี้ย 1 % ในกลุ่มเกษตรกรรายย่อยที่มีหนี้ต่ำกว่า 1 แสนบาท 2.จะเจรจากับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตในการลดค่ากระแสไฟฟ้าภาคการเกษตรให้เท่ากับนิคมอุตสาหกรรมที่จ่ายค่าไฟถูกกว่าปกติ 20 เปอร์เซ็นต์ และ 3. ราคาปุ๋ยและยา ทางรัฐบาลจะปลดล็อคการผูกขาดราคาและผลประโยชน์ โดยจะเร่งศึกษาในเรื่องนี้ควรจะอย่างไร พร้อมกับสนับสนุนให้เกษตรกรมาใช้ปุ๋ยชีวภาพ โดยกระทรวงเกษตรจะเป็นผู้ผลิตขายให้กับเกษตรกรเอง ทั้งหมดนี้จะสรุปเป็นแผนกระตุ้นเศรษฐกิจเสนอต่อที่ประชุมครม.อีกครั้ง
นายธีรพงษ์ ตั้งธีระสุนันท์ ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรแลสหกรณ์ (ธ.ก.ส.) กล่าวว่า ปัจจุบันลูกค้ารายย่อยที่มีหนี้ต่ำกว่า 1 แสนบาท มีจำนวน 2.2 ล้านครัวเรือน และหาก ธ.ก.ส.จะลดอัตราดอกเบี้ย 1 % ก็จะต้องใช้เงินชดเชย 500 -600 ล้านบาท แต่เบื้องต้นข้อเสนอดังกล่าวยังไม่ได้ข้อสรุป คาดว่าจะได้ข้อสรุปในวันที่ 8 มิ.ย.นี้ เบื้องต้น ธ.ก.ส.ต้องการแหล่งเงินทุนต้นทุนต่ำ 2–3 หมื่นล้านบาท โดย ธ.ก.ส.จะให้อัตราดอกเบี้ยแต่ส่วนราชการในลักษณะเผื่อเรียกประมาณ 0.75 %
ในส่วนเรื่องที่จะนำเงินของส่วนราชการ ที่ไปฝากตามกองทุนต่างๆ มาฝากไว้กับ ธนาคารของรัฐนั้น เห็นว่าอาจมีบางกองทุนที่ไม่สามารถนำเงินมาฝากกับ ธ.ก.ส.ได้เพราะมีภาระผูกพันต่างๆ จำนวนมาก
นายสมศักดิ์ อัศวโภคี รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) กล่าวว่า ที่ประชุมได้มอบหมายให้ธอส.ไปศึกษาการลดอัตราดอกเบี้ย เงินกู้แก่ผู้ที่จะซื้อบ้านว่าจะช่วยเหลืออย่างไรได้บ้าง เบื้องต้นปัจจุบัน ธอส.มีต้นทุนทางการเงินประมาณ 4 % กว่าๆ ซึ่งคาดว่าในวันที่ 8 มิ.ย. จะได้ข้อสรุปต่างๆ
นายโอภาส เพชรมุนี รักษาการผู้อำนวยการขนส่งมวลชน กล่าวว่า วันนี้ได้มาฟังนโยบายว่าจะมีการพัฒนาระบบอย่างไรต่อไป ซึ่งจะมีการประชุมใหม่อีกครั้งในวันศุกร์หน้า ทั้งนี้ในส่วนของ ขสมก.ก็จะมีการเสนอเกี่ยวกับการเปลี่ยนเครื่องรถเป็นเอ็นจีวี ในอนาคต เมื่อถามว่าได้มีการพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องรถ 2 พันคันหรือไม่ นายโอภาส กล่าวว่า ยังไม่มีการคุย แค่คุยเรื่องที่จะปรับปรุงเครื่องยนต์ที่ใช้อยู่เท่านั้น
นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ รักษาการรองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในส่วนของการเพิ่มค่าจ้างขั้นต่ำให้กับแรงงาน โดยเฉพาะผู้มีรายได้น้อย นายกรัฐมนตรี ได้สั่งการให้ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กระทรวงการคลัง และกระทรวงแรงงาน ไปวิเคราะห์ตัวเลข และประชุมร่วมกับผู้ประกอบการเพื่อหาทางออกภายใน 2 สัปดาห์ เพื่อเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรีต่อไป
**ทนงลั่นดุลเดินสะพัดเป็นบวก
นายทนง พิทยะ รักษาการ รมว.คลัง เปิดเผยว่า การขาดดุลบัญชีเดินสะพัดในมุมมองธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เกิดจาก ธปท.คาดการณ์ว่ามีการนำเข้าเครื่องจักรภายใต้อัตราการลงทุนรวมในปี 49 มากกว่า 2 % แต่กระทรวงการคลังโดยสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) คาดการณ์ว่าปี 49 อัตราการลงทุนรวมเติบโต 2 % จึงมีความเป็นไปได้ที่จะมีการนำเข้าเครื่องจักรลดลง ส่งผลให้ปีนี้ดุลบัญชีเดินสะพัดมีโอกาสที่จะกลับมาเกินดุลได้
"ความแตกต่างของตัวเลขคาดการณ์ดุลบัญชีเดินสะพัดระหว่างแบงก์ชาติกับกระทรวงการคลังเป็นเพียงความแตกต่างของตัวเลขคาดการณ์ทางวิชาการเท่านั้น ใครจะทำนายยังไงก็ช่าง" นายทนง กล่าว
อย่างไรก็ตาม หากในช่วงไตรมาสที่ 2 และ 3 อัตราแลกเปลี่ยนเริ่มทรงตัวและไม่ผันผวนมากนัก เชื่อว่าภาคธุรกิจก็จะเดินหน้าเป็นปกติ การนำเข้าและส่งออกก็จะดีขึ้น ส่วนถ้าดุลบัญชีเดินสะพัดจะขาดดุลต่อก็ไม่เป็นไร เพราะต้องมองที่ภาคธุรกิจเป็นสำคัญ แต่ที่เป็นห่วงคือ เรื่องน้ำมัน เพราะส่งผลโดยตรงต่อภาวะเงินเฟ้อ
วานนี้ (2 มิ.ย.) ที่ทำเนียบรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุม ติดตามการดำเนินงานด้านเศรษฐกิจและสังคม โดยมีนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รักษาการรองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิชย์ นายวราเทพ รัตนากร รักษาการ รมช.คลัง และคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ รักษาการ รมว.เกษตรและสหกรณ์ เข้าร่วม
คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าวภายหลังการประชุมว่า มีมาตรการเร่งด่วนในภาคเกษตร 3-6 เดือน 2 มาตรการหลัก คือ 1.ดูแลราคาสินค้าเกษตรให้เกษตรกรขายได้ในราคาที่คุ้มทุน 2. ลดค่าใช้จ่ายต้นทุนของเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดจากราคาน้ำมันแพง โดยการดูแลสินค้าเกษตรจะแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม คือ 1.ผลไม้ 5 ชนิดที่อยู่ในช่วงฤดูของผลไม้แต่ละชนิดคือ เงาะ ทุเรียน มังคุค ที่เป็นผลไม้ภาคตะวันออก โดยจะสนับสนุนการแปรรูป และหาตลาดใหม่ในการส่งออก ทั้งนี้จะขอสนับสนุนงบประมาณ 50 ล้านบาทในการกระจายสินค้าออกไปจำหน่ายยังต่างจังหวัด
ในส่วนของปัญหาสับปะรดล้นตลาด ที่อยู่ในการดูแลของกระทรวงอุตสาหกรรม ซึ่งเกิดปัญหาผลผลิตล้นตลาด 2 แสนตัน ทางกระทรวงเกษตรฯ จะเข้าไปร่วมมือกับกระทรวงอุตสาหกรรมในการดูดสับผลผลิตส่วนเกิน โดยจะขออนุมัติงบประมาณ 80 ล้านบาท เพื่อซื้อผลผลิตส่วนเกินออกไปแจกจ่ายและขายยังต่างจังหวัด ผ่านผู้ว่าราชการจังหวัด และทางกระทรวงเกษตรฯ จะซื้อสับปะรดจากเกษตรกรนำมาผลิตเป็นอาหารสัตว์ ในโรงงานผลิตอาหารสัตว์ของกระทรวงเกษตรฯ โดยในวันจันทร์ที่ 5 มิ.ย.จะมีการประชุมร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศ
2.พืช พลังงาน ที่เกิดปัญหาไม่สามารถเปิดโรงงานผลิตพืชที่นำมาผลิตเป็นพลังงานทดแทนได้ และมีปัญหาผลผลิตส่วนเกิน เช่น ปาล์ม และมันสำปะหลัง ในส่วนของปาล์มน้ำมันนั้น ปัญหาที่เกิดจากการลักลอบนำเข้าโดยไม่เสียภาษี ที่ราคาถูกกว่าปาล์มในประเทศ ขณะที่การส่งออกก็ลดลงจากเดิมเคยส่งออกปีละแสนตัน ปัญหาดังกล่าว กระทรวงเกษตรฯ เห็นว่าจะร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเช่น กรมศุลกากร กระทรวงการคลัง ที่จะออกระเบียบและมาตรการควบคุมการส่งออกและนำเข้า ด้วยการนำเข้าเท่าไรส่งออกเท่านั้นในสัดส่วน 1 ต่อ 1 จะช่วยทำให้ราคาปาล์มดีขึ้น ในส่วนของปาล์มน้ำมันที่ใช้ผลิตไบโอดีเซล จะเร่งรัดเปิดโรงงาน 3 แห่งภายในเดือนมิ.ย.นี้ มีผลผลิตปาล์มป้อนเข้าโรงงานเพิ่มขึ้นก็จะทำให้ราคาปาล์มน้ำมันดีขึ้น
3.กลุ่มสินค้ากุ้ง ไก่ แม้สินค้ากลุ่มนี้ไม่มีปัญหาแต่จะผลักดันด้านราคาและด้านมูลค่าเพิ่มในการส่งออก เพื่อหารายได้ให้กับประเทศเพิ่มสูงขึ้น
ทั้งนี้ ในส่วนของมาตรการที่ 2 คือ การลดต้นทุนเกษตรกรในระยะสั้น 6 เดือนหลังจากนี้ คือ 1. จะช่วยเกษตรกรด้วยการลดดอกเบี้ย 1 % ในกลุ่มเกษตรกรรายย่อยที่มีหนี้ต่ำกว่า 1 แสนบาท 2.จะเจรจากับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตในการลดค่ากระแสไฟฟ้าภาคการเกษตรให้เท่ากับนิคมอุตสาหกรรมที่จ่ายค่าไฟถูกกว่าปกติ 20 เปอร์เซ็นต์ และ 3. ราคาปุ๋ยและยา ทางรัฐบาลจะปลดล็อคการผูกขาดราคาและผลประโยชน์ โดยจะเร่งศึกษาในเรื่องนี้ควรจะอย่างไร พร้อมกับสนับสนุนให้เกษตรกรมาใช้ปุ๋ยชีวภาพ โดยกระทรวงเกษตรจะเป็นผู้ผลิตขายให้กับเกษตรกรเอง ทั้งหมดนี้จะสรุปเป็นแผนกระตุ้นเศรษฐกิจเสนอต่อที่ประชุมครม.อีกครั้ง
นายธีรพงษ์ ตั้งธีระสุนันท์ ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรแลสหกรณ์ (ธ.ก.ส.) กล่าวว่า ปัจจุบันลูกค้ารายย่อยที่มีหนี้ต่ำกว่า 1 แสนบาท มีจำนวน 2.2 ล้านครัวเรือน และหาก ธ.ก.ส.จะลดอัตราดอกเบี้ย 1 % ก็จะต้องใช้เงินชดเชย 500 -600 ล้านบาท แต่เบื้องต้นข้อเสนอดังกล่าวยังไม่ได้ข้อสรุป คาดว่าจะได้ข้อสรุปในวันที่ 8 มิ.ย.นี้ เบื้องต้น ธ.ก.ส.ต้องการแหล่งเงินทุนต้นทุนต่ำ 2–3 หมื่นล้านบาท โดย ธ.ก.ส.จะให้อัตราดอกเบี้ยแต่ส่วนราชการในลักษณะเผื่อเรียกประมาณ 0.75 %
ในส่วนเรื่องที่จะนำเงินของส่วนราชการ ที่ไปฝากตามกองทุนต่างๆ มาฝากไว้กับ ธนาคารของรัฐนั้น เห็นว่าอาจมีบางกองทุนที่ไม่สามารถนำเงินมาฝากกับ ธ.ก.ส.ได้เพราะมีภาระผูกพันต่างๆ จำนวนมาก
นายสมศักดิ์ อัศวโภคี รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) กล่าวว่า ที่ประชุมได้มอบหมายให้ธอส.ไปศึกษาการลดอัตราดอกเบี้ย เงินกู้แก่ผู้ที่จะซื้อบ้านว่าจะช่วยเหลืออย่างไรได้บ้าง เบื้องต้นปัจจุบัน ธอส.มีต้นทุนทางการเงินประมาณ 4 % กว่าๆ ซึ่งคาดว่าในวันที่ 8 มิ.ย. จะได้ข้อสรุปต่างๆ
นายโอภาส เพชรมุนี รักษาการผู้อำนวยการขนส่งมวลชน กล่าวว่า วันนี้ได้มาฟังนโยบายว่าจะมีการพัฒนาระบบอย่างไรต่อไป ซึ่งจะมีการประชุมใหม่อีกครั้งในวันศุกร์หน้า ทั้งนี้ในส่วนของ ขสมก.ก็จะมีการเสนอเกี่ยวกับการเปลี่ยนเครื่องรถเป็นเอ็นจีวี ในอนาคต เมื่อถามว่าได้มีการพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องรถ 2 พันคันหรือไม่ นายโอภาส กล่าวว่า ยังไม่มีการคุย แค่คุยเรื่องที่จะปรับปรุงเครื่องยนต์ที่ใช้อยู่เท่านั้น
นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ รักษาการรองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในส่วนของการเพิ่มค่าจ้างขั้นต่ำให้กับแรงงาน โดยเฉพาะผู้มีรายได้น้อย นายกรัฐมนตรี ได้สั่งการให้ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กระทรวงการคลัง และกระทรวงแรงงาน ไปวิเคราะห์ตัวเลข และประชุมร่วมกับผู้ประกอบการเพื่อหาทางออกภายใน 2 สัปดาห์ เพื่อเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรีต่อไป
**ทนงลั่นดุลเดินสะพัดเป็นบวก
นายทนง พิทยะ รักษาการ รมว.คลัง เปิดเผยว่า การขาดดุลบัญชีเดินสะพัดในมุมมองธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เกิดจาก ธปท.คาดการณ์ว่ามีการนำเข้าเครื่องจักรภายใต้อัตราการลงทุนรวมในปี 49 มากกว่า 2 % แต่กระทรวงการคลังโดยสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) คาดการณ์ว่าปี 49 อัตราการลงทุนรวมเติบโต 2 % จึงมีความเป็นไปได้ที่จะมีการนำเข้าเครื่องจักรลดลง ส่งผลให้ปีนี้ดุลบัญชีเดินสะพัดมีโอกาสที่จะกลับมาเกินดุลได้
"ความแตกต่างของตัวเลขคาดการณ์ดุลบัญชีเดินสะพัดระหว่างแบงก์ชาติกับกระทรวงการคลังเป็นเพียงความแตกต่างของตัวเลขคาดการณ์ทางวิชาการเท่านั้น ใครจะทำนายยังไงก็ช่าง" นายทนง กล่าว
อย่างไรก็ตาม หากในช่วงไตรมาสที่ 2 และ 3 อัตราแลกเปลี่ยนเริ่มทรงตัวและไม่ผันผวนมากนัก เชื่อว่าภาคธุรกิจก็จะเดินหน้าเป็นปกติ การนำเข้าและส่งออกก็จะดีขึ้น ส่วนถ้าดุลบัญชีเดินสะพัดจะขาดดุลต่อก็ไม่เป็นไร เพราะต้องมองที่ภาคธุรกิจเป็นสำคัญ แต่ที่เป็นห่วงคือ เรื่องน้ำมัน เพราะส่งผลโดยตรงต่อภาวะเงินเฟ้อ