xs
xsm
sm
md
lg

เด็กแม้วดัน กกต.ชนศาล ท่องกติกูเดินหน้าทูลเกล้าฯ วันเลือกตั้ง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

"วาสนา"หงุดหงิดมติศาลฎีกาที่บอกว่ากกต.ไม่เป็นกลาง ขาดความซื่อสัตย์สุจริต ไล่ผู้สื่อข่าว"อย่ามาถามเรื่องนี้ ไม่มีอะไรพูด" ขณะที่กกต.อีก 2 คนปิดโทรศัพท์หนีนักข่าว ด้าน"สุชน"หยุดดันทุรังชั่วคราว ไม่ส่งศาลรัฐธรรมนูญตีความเรื่องสรรหากกต.เพิ่ม "แก้วสรร"ย้ำต้องนำคำร้องของ 35 ส.ว.ยื่นศาลรธน.ตีความคุณสมบัติกกต.โดยเร็ว ขณะที่"วิษณุ"ยังท่องกติกู หาช่องเดินหน้าทูลเกล้าฯวันเลือกตั้ง "แม้ว"ส่งเด็กออกมาโต้ศาล หนุนกกต.อยู่ต่อ

หลังจากที่ นายชาญชัย ลิขิตจิตถะ ประธานศาลฎีกา ทำหนังสือชี้แจงเหตุผลที่ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกามีมติไม่สรรหากกต.เพิ่มเติมให้ตามที่ นายสุชน ชาลีเครือ รักษาการประธานวุฒิสภาเสนอมา และได้ระบุชัดเจนถึงการปฏิบัติหน้าที่ของกกต.ในช้วงที่ผ่านมา ว่า ไม่เป็นกลาง ขาดความซื่อสัตย์สุจริต และไม่มีความเหมาะสมที่จะปฏิบัติหน้าที่ต่อไป ซึ่งหนังสือคำชี้แจงดังกล่าวได้ถูกนำมาเผยแพร่ทางสื่อต่างๆ และมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ตามมาซึ่งส่วนใหญ่เห็นว่า กกต.ที่เหลือทั้ง 3คน ควรลาออก

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรยากาศที่สำนักงาน กกต.เมื่อวานนี้ ( 2 มิ.ย.)ว่า ไม่ได้มีการประชุมกกต.โดยหลังจากที่นายปริญญา นาคฉัตรีย์ กกต.เป็นประธานการสอบสวนพยานที่เกี่ยวข้องกับการจ้างวานพรรคเล็กลงสมัครรับเลือกตั้งเสร็จสิ้น ผู้สื่อข่าวพยายามที่จะดักรอสัมภาษณ์ที่บริเวณ ลานจอดรถชั้น 3 ซึ่งเป็นที่จอดรถของ กกต. แต่ปรากฏว่า นายปริญญา ไม่ได้ลงมาที่ลานจอดรถชั้นดังกล่าว แต่ให้รถตู้ของสำนักงานขึ้นไปรับที่ชั้นจอดรถอื่น และแจ้งให้คนขับรถส่วนตัวไปรับที่ธนาคารกรุงเทพจำกัด สาขาถนนพระราม 1 แทน เมื่อผู้เสื่อข่าวติดต่อไปทางโทรศัพท์มือถือก็พบว่าเครื่องปิด

ขณะที่ พล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ ประธาน กกต.กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า หากมีอะไรให้ไปพูดกันที่เมืองจันท์ ซึ่งผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วงสุดสัปดาห์นี้ พล.ต.อ.วาสนา ได้เชิญผู้สื่อข่าวไปเยี่ยมสวนผลไม้ที่ อ.โป่งน้ำร้อน จ.จันทบุรี อย่างไรก็ตาม เมื่อผู้สื่อข่าวโทรศัพท์ไปถามถึงกรณีที่ศาลฎีกา ระบุเหตุผลการไม่สรรหา กกต.อีก 2 คนว่าเนื่องจากกกต.ที่เหลือไม่มีความเป็นกลาง และไม่มีสภาพเป็นกกต.แล้ว ซึ่ง พล.ต.อ.วาสนา กล่าวด้วยน้ำเสียงมีอารมณ์ว่า"เรื่องนี้อย่ามาพูดกับผมเลย" เมื่อถามต่อว่า ศาลฎีกาเป็นห่วงว่าต่อไปนี้หากกกต.มีมติอะไรอาจจะปัญหาทางกฎหมายได้ พล.ต.อ.วาสนา กล่าวด้วยน้ำเสียงเช่นเดิมว่า"อย่ามาถามเรื่องนี้ผมไม่มีอะไรจะพูด" ก่อนที่จะตัดสายทันที

**"สุชน"เลิกตีความสรรหากกต.

นายสุชน ชาลีเครือ รักษาการประธานวุฒิสภา กล่าวว่าได้รับบันทึกจากศาลฎีกา ชี้แจงเหตุผลที่ไม่สรรหากกต.เพิ่ม เพื่อแทนตำแหน่งที่ว่าง 2 ตำแหน่งแล้ว จึงจะขอยุติการเคลื่อนไหว ด้วยการไม่ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ การใช้รัฐธรรมนูญ มาตรา 138(3)

"ผมขอเคารพมติศาล เมื่อวานนี้ (1 มิ.ย.) ผมได้หารือกับประธานศาลฎีกา และประธานศาลรัฐธรรมนูญ ทำให้ทราบรายละเอียดเพิ่มเติม ดังนั้นการยุติความเคลื่อนไหว น่าจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุด"

นอกจากนี้ นายสุชน ยังขอปฏิเสธที่จะให้ความเห็นว่า กกต. 3 คน ที่เหลือ ควรจะตัดสินใจอย่างไร โดยกล่าวว่า ไม่มีอำนาจเข้าไปแทรกแซงการทำหน้าที่ขององค์กรอื่น กกต.คงต้องตัดสินใจเอง

ด้านนายผัน จันทรปาน ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ในฐานะผู้ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุมคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ยอมรับว่า ตนและประธานศาลฎีกา และประธานศาลปกครองสูงสุด ได้พบกับนายสุชนจริง ที่วัดพระแก้วฯ ขณะรอเข้าเฝ้ารับเสด็จฯเมื่อวันที่ 1 มิ.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งเรื่องที่พูดคุยกันเป็นเรื่องทั่วๆไป ไม่มีการหยิบยกประเด็นปัญหาของเรื่องที่กำลังเป็นข่าวมาพูดคุยกันในวงสนทนาแต่อย่างใด

สำหรับเรื่องการสรรหากกต.ที่ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาไม่รับดำเนินการตามคำร้องของประธานวุฒิสภานั้น ส่วนตัวยอมรับว่า สิ่งที่ตนรู้และรับทราบเท่าที่มีการนำเสนอออกมาเป็นข่าวเท่านั้น ดังนั้นการที่ประธานวุฒิสภาจะตัดสินใจส่งเรื่องนี้มายังศาลรัฐธรรมนูญหรือไม่นั้น ไม่สามารถให้รายละเอียดอะได้

เมื่อถามว่ามีความรู้สึกกดดันหรือไม่ที่ในขณะนี้ศาลรัฐธรรมนูญเหมือนเป็นปลายทาง ที่จะเป็นผู้แก้ไขปัญหาทุกเรื่องที่เกิดขึ้นนายผัน กล่าวว่า ขอตอบได้เลยว่าไม่มีความกดดันใด แต่กลับกันกับมีความรู้สึกว่าเป็นเกียรติอย่างมากที่ศาลรัฐธรรมนูญจะต้องมารับภาระหน้าที่แก้ไขปัญหาวิกฤตของชาติที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ และมั่นใจว่า คำวินิจฉัยที่จะออกมาจากศาลรัฐธรรมนูญในทุกเรื่อง จะมีความชัดเจน และตอบคำถามที่คาใจให้กับสังคมได้ในทุกเรื่อง

**จี้แม้วร่วมแสดงจุดยืนขอกกต.ชุดใหม่

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า สิ่งที่กกต.ควรทำที่สุดในเวลานี้คือ ลาออก เพราะศาลให้แนวทางที่ชัดเจนแล้วว่า วิกฤติของประเทศจะคลี่คลายอย่างไร ขึ้นอยู่กับกกต. ซึ่งที่ผ่านมาทุกฝ่ายได้แสดงเหตุผลของการเรียกร้องมาแล้ว คงไม่ต้องพูดเรื่องถูกหรือผิดเพราะเรื่องอยู่ในศาล และไม่เหลือเหตุผลอะไรที่จะทำให้กกต.ทำหน้าที่ต่อไป

"ผมคิดว่าทุกคนเรียกร้องต่อกกต.มามากแล้ว ผมอยากเรียกร้องต่อพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคการเมืองที่อยู่ในสภาฯ ให้แสดงท่าทีที่ชัดเจนว่าควรให้ กกต.ชุดใหม่มาทำงานจะดีกว่า หากคิดถึงบ้านเมืองและประชาชน น่าจะมาร่วมกับพรรคการเมืองอื่นที่เคยอยู่ในสภาฯ บอกกกต.บ้าง จะได้เท่ากับว่าทุกพรรคการเมืองที่อยู่ในสภาฯ ต้องการกกต.ชุดใหม่ เราจะได้ปลดล็อกตรงนี้ไม่ให้ยืดเยื้อ"

ผู้สื่อข่าวถามว่า การตรวจสอบพรรคการเมืองใหญ่จ้างพรรคการเมืองเล็กลงสมัครรับเลือกตั้ง ยังจำเป็นต้องทำต่อไปหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า สิ่งที่ต้องการย้ำคือ นาทีนี้ สิ่งที่กกต.ควรทำอย่างดีที่สุดเพื่อบ้านเมือง คือ ลาออก เรื่องอื่นใครมาทำก็ได้ เพราะถ้ายังอยู่ต่อไปเรื่องจะยืดเยื้อ ปัญหาไม่จบ และจะมีคดีไปสู่ศาลมากขึ้น สุดท้ายจะเป็นเรื่องยาก ที่กกต.จะจัดการเลือกตั้งครั้งต่อไป

"ส่วนใครผิดใครถูก จะต้องให้ศาลตัดสิน วันนี้ต้องเดินหน้า เพื่อให้ทุกฝ่ายมีความมั่นใจ เชื่อว่าทุกอย่างจะคลี่คลาย และจังหวะเวลานี้เหมาะสมจริงๆที่จะดำเนินการ"นายอภิสิทธิ์ กล่าว

นายโคทม อารียา ประธานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในฐานะอดีต กกต.ได้แสดงความเห็นว่า หนังสือที่ศาลฎีกาส่งให้กับประธานวุฒิสภานั้น มีความชัดเจนว่า เป็นแรงกดดันให้กกต.ลาออกจากตำแหน่ง ซึ่งหากกกต.ไม่ลาออก ก็สามารถทำงานต่อไปได้ตามกฎหมาย แต่สังคมจะเกิดความระแวง ว่ากกต.ชุดนี้จะมีการเลือกปฎิบัติิหรือไม่ ส่วนกกต.จะนำหนังสือดังกล่าวไปพิจารณาลาออกหรือไม่นั้น เป็นเรื่องที่แต่ละ คนต้องพิจารณากันเอง

**จี้"สุชน"ยื่นตีความคุณสมบัติกกต.

นายแก้วสรร อติโพธิ รักษการ ส.ว.กทม.กล่าวว่า การตัดสินของศาลเป็นสิ่งที่ศาลได้คิดอย่างรอบคอบแล้ว ดังนั้นทุกฝ่ายต้องรับมติศาลและนำมาสานต่อเพื่อหาทางแก้ปัญหาอย่างเร่งด่วน เพราะเหตุผลที่ชัดเจนที่สุดที่ศาลได้ส่งบันทึกว่าที่วุฒิสภาตอนหนึ่งมีใจความว่า ปัจจุบันประเทศตกอยู่ในภาวะวิกฤตทางการเมือง ประชาชนแบ่งออกเป็นสองฟักสองฝ่าย ไม่รับฟังเหตุผลซึ่งกันและกัน มีผลกระทบกระเทือนต่อการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข และความผาสุกของอาณาประชาราษฏร์ อย่างรุนแรงจึงจำเป็นที่ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาจะต้องพิจารณาอย่างสุขุมรอบคอบโดยมองผลที่จะตามมาในอนาคต และศาลรัฐธรรมนูญก็ได้วินิจฉัยออกมาอย่างชัดเจนแล้วว่าการกระทำของ กกต.ทั้งสามคนที่เหลือไม่ชอบด้วยกฎหมาย ดังนั้น การเยียวยาด้วยการสรรหา กกต.เพิ่ม 2 คนจึงไม่สามารถแก้ปัญหาได้ จากบันทึกตอนนี้ตนว่าชัดเจนที่สุดแล้ว

"ขณะนี้มันไม่ใช่ปัญหาที่เกิดขึ้นทางด้านกฏหมายอย่างเดียวแต่เป็นปัญหาทางด้านการเมืองที่ต้องช่วยกันแก้ไข และช่องทางที่คิดว่าจะส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยยิ่งเป็นไปไม่ได้ เพราะมันไม่ใช่ความขัดแย้งระหว่างองค์กร คุณสุชนควรรีบนำเรื่องที่ 35 ส.ว. ยื่นให้ถอดถอน กกต.ขึ้นยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยอย่างเร่งด่วน เพราะหากรีบยื่นและศาลรัฐธรรมนูญมีมติออกมาอย่างชัดเจนว่า กกต.ที่เหลือมีความผิดตามที่ 35 ส.ว.ยื่น จะส่งผลให้ถอนถอน กกต.ออกจากตำแหน่งได้ทันที"รักษาการ ส.ว.กทม.กล่าว

**กกต.เลิกเป็นผู้ร้ายปากแข็งได้แล้ว

นายสุริยะใส กตะศิลา เลขาธิการคณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) และผู้ประสานงานพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวว่า บันทึกของประธานศาลฎีกาถึงนายสุชนนั้น ระบุชัดเจนถึงสถานภาพของกกต.ทั้ง 3 คน ว่าไม่เป็นกลาง ขาดความซื่อสัตย์สุจริต ก็ถือว่ากกต.ชุดนี้มีคุณสมบัติขัดรัฐธรรมนูญไม่ สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อีกต่อไป ฉะนั้นมติระเบียบ คำสั่งใดๆที่ กกต.ทั้ง 3 คนออกมาจะถือว่าเป็นมติเถื่อนทันที ไม่มีผลบังคับหรือผูกพันใดๆ กับใครทั้งสิ้น แม้แต่การกำหนดวันเลือกตั้ง 15 ต.ค. ก็ไม่มีผลตามไปด้วย คำร้องกรณีพรรคใหญ่จ้างพรรคเล็ก หรือคำร้องอื่นๆ ก็ต้องยุติไว้ เพื่อรอกกต.ชุดใหม่เท่านั้น เพราะถือว่า กกต.ชุดนี้สิ้นสถานภาพไปแล้ว หากยังใช้อำนาจหน้าที่ใดๆ ในระหว่างนี้ หรือรับผลประโยชน์ตอบแทนใด อาจจะเข้าข่ายขโมย หรือยักยอกทรัพย์สินทางราชการไปโดยปริยาย

"เนื้อหาในหนังสือของประธานศาลฎีกาครั้งนี้ ผมถือว่าเป็นทางลงให้กกต.อย่างนุ่มนวล และสุภาพที่สุดแล้ว แต่แปลกเหมือนกับว่า กกต.ทั้ง 3 คน อยากรอฟังคำพิพากษาของศาลอาญามากกว่า ผมถือว่ากกต.ชุดนี้นอกจากอย่างหนาแล้ว ยังไม่ฉลาดเอาเสียเลย ศาลส่งสัญญาณขนาดนี้ยังดื้ออยู่อีก กกต.ทั้ง 3 คน น่าจะรู้ดีว่าจุดจบของผู้ร้ายปากแข็งนั้น บทลงโทษมักรุนแรงกว่าผู้ร้ายที่รับสารภาพผิด"นายสุริยะใส กล่าว และว่า อันที่จริงแล้วแทนที่เราจะเรียกร้องให้ กกต.ชุดนี้ลาออก อาจจะต้องเรียกร้องให้อยู่รอคำ พิพากษาของศาลอาญาก็น่าจะดี เพราะคำพิพากษาของศาลจะได้เป็นบรรทัดฐานกับองค์กรอิสระอื่นๆ ด้วย

**วิษณุยังเดินหน้าทูลเกล้าฯวันเลือกตั้ง

นายวิษณุ เครืองาม รักษาการรองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่ประธานศาลฎีกาทำหนังสือถึงนายสุชน โดยให้ความเห็นว่า กกต.ที่เหลืออยู่ทั้ง 3 คน ไม่อยู่ในฐานะไว้วางใจให้ทำหน้าที่ต่อไป จะส่งผลกระทบต่อการทูลเกล้าฯ พระราชกฤษฎีกาเลือกตั้งใหม่ ที่ครม.ได้อนุมัติไปแล้วหรือไม่ว่า เรื่องการทูลเกล้าฯ เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่กรณีนี้เป็นเรื่องของการให้ความเห็น เกี่ยวกับการทำงานของ กกต. แต่ความเห็นก็คือความเห็น ไม่ใช่คำวินิจฉัย แต่ไม่ใช่ว่ารัฐบาลจะไม่ทำอะไร คงต้องรอดูเวลา ซึ่งยังถือว่าพอมีเวลา เป็นเรื่องของหน้าที่ของใครของมัน หาก กกต.พิจารณาแล้วเห็นว่าควรพิจารณาตัวเอง ก็เป็นเรื่องของ กกต. แต่หน้าที่ของรัฐบาลคือ การออกพระราชกฤษฎีกาเลือกตั้ง เพราะนายกรัฐมนตรีเป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการก็ต้องทำ แต่ความจำเป็นที่จะรีบทูลเกล้าฯนั้นไม่มี และรัฐบาลก็ไม่เคยคิดที่จะรีบทูลเกล้าฯ ด้วย

อย่างไรก็ตาม ความเห็นของศาลฎีกาที่มีไปยังประธานวุฒิสภานั้นถือ เป็นปัจจัยของกกต.ที่จะพิจารณาตัวเอง ไม่ได้เป็นปัจจัยต่อการออกพระราชกฤษฎีกาเลือกตั้งเพราะ การออกพระราชกฤฎีกาเลือกตั้งนั้นรัฐบาลดำเนินการตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ที่บอกว่า จะออกพระราชกฤษฎีกาวันไหนก็ได้ แต่ต้องให้มีการจัดการเลือกตั้งใหม่ ไม่เกิน 60 วัน นับตั้งแต่มีพระราชกฤษฎีกาประกาศใช้ แต่ถึงแม้รัฐบาลมีตัวนี้เป็นตัวล็อก ก็สามารถเคลื่อนไปมาได้ จะให้เลือกตั้งใหม่ในเดือนธันวาคมก็ยังได้ เพียงแต่ให้เข้าเงื่อนไขตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเท่านั้น

เมื่อถามว่าหาก กกต.ไม่ยอมลาออก รัฐบาลก็สามารถนำขึ้นทูลเกล้าฯได้ นายวิษณุกล่าวว่า อย่าไปพูดอย่างนั้น เพราะรัฐบาลไม่ควรพูดเรื่ององค์กรอิสระ ส่วนคนอื่นนั้นสามารถพูดได้และสนับสนุนให้พูดด้วย แต่ถ้ารัฐบาลไปพูด เรื่องที่คนคิดว่าจะเลี้ยวซ้าย ก็จะเลี้ยวขวาเลย เพราะคิดว่าอยู่ตรงข้ามกับรัฐบาลไว้เป็นอันว่าดี แต่จะให้รัฐบาลไม่ทำอะไร นั่ง ๆนอนๆ อยู่ก็ได้ แล้วรอให้กกต.ออก หรือไม่ออก แล้วค่อยทูลเกล้าฯก็ได้ ระหว่างนี้ก็ต้องรออยู่แล้ว เนื่องจากรัฐบาลไม่คิดจะทูลเกล้าฯ ในเร็ววันนี้

**เด็กทรท.โต้ศาล หนุนกกต.อยู่ต่อ

ขณะที่นายสุขุมพงศ์ โง่นคำ คณะทำงานฝ่ายกฎหมายของพรรคไทยรักไทย กล่าวว่า การที่ศษลฎีกาบอกว่า กกต.ขาดคุณสมบัติตามรัฐธรรมนูญ มาตรา136 นั้น ต้องยอมรับว่าตามกฎหมายรัฐธรรมนูญแล้ว การจะถอดถอน กกต.ทำไม่ได้ เนื่องจากการวินิจฉัยคุณสมบัติของก กกต.ตามมาตรา 143 จะต้องใช้เสียง 1 ใน 10 ของทั้งสองสภาซึ่งขณะนี้ไม่มีทั้งสองสภา โดยวุฒิสภา ก็เป็นเพียงวุฒิสภารักษาการ ดังนั้นจะทำให้กระบวนการของถอดถอน กกต.ก็ไม่สามารถทำได้เลย กกต.ควรอยู่ทำหน้าที่ต่อไป เพราะบ้านเมืองตอนนี้เกิดวิกฤติหลายด้าน ทั้งเรื่องการวินิจฉัยเรื่องร้องเรียนต่างๆ และเห็นว่ากกต.ควรอยู่ดูแลการเลือกตั้ง ส.ส.และ สก.ที่จะมีขึ้น ถ้าวันนี้ไปบีบให้กกต.ออก ก็จะยิ่งเกิดความโกลาหลต่อบ้านเมืองอีก ทั้งเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และปัญหาการเมืองก็จะตามมาอีก

นายสุขุมพงศ์ กล่าวด้วยว่า ที่ผ่านมาตนยังเห็นว่าประธานศาลฎีกามีสองมาตรฐาน เพราะที่ผ่านมาในเรื่องการส่งตัวแทนศาลฎีกาเข้ามาเป็นคณะกรรมการสรรหา กกต. ศาลกลับไม่ส่งตัวแทนมา แต่กลับจะขอให้ กกต.ลาออกครบ 3 คนถึงจะส่งตัวแทน ซึ่งไม่ถูกต้อง ถ้า กกต.ทำไม่ถูกต้องก็ควรปล่อยให้เป็นไปตามกฎหมาย มาตรา 143 ให้รัฐสภาเป็นผู้วินิจฉัยคุณสมบัติกกต.

"เมื่อวันนี้ไม่มีสภาก็ต้องจบ ปล่อยให้กกต.ทำหน้าที่ต่อไป แต่ไม่ใช่เรื่องที่ประธานศาลฎีกา จะมาพูดเรื่องคุณสมบัติของกกต.ว่าไม่มีความเป็นกลาง ตรงนั้นเป็นเหตุผลส่วนตัว เหตุผลในเรื่องคุณสมบัติ" นายสุขุมพงศ์ กล่าว

**"วรเจตน์"สวนศาลฎีกาชี้นำศาล รธน.

นายวรเจตน์ ภาคีรัตน์ อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ ธรรมศาสตร์ กล่าวถึงหนังสือที่ระบุเหตุผลของศาลฎีกาในการปฎิเสธที่จะส่ง กกต. มาให้วุฒิสภาคัดเลือก ว่า ต้องแบ่งเนื้อหาของหนังสือออกเป็นสองส่วน คือความเห็นในทางข้อกฎหมาย ที่ศาลอ้างในการไม่ส่งผู้ดำรงตำแหน่ง กกต. ซึ่งตนเห็นด้วย ที่ศาลยืนยันตามหลักเดิมที่นายสุชน เคยใช้เมื่อครั้งนายจรัล บูรณพันธุ์ศรี อดีตกกต.เสียชีวิต ซึ่งนายสุชน อ้างว่ากรรมการสรรหาไม่ครบองค์ประกอบ จึงไม่สามารถสรรหาได้

แต่อีกส่วนที่เป็นความเห็นต่อการทำงานของกกต.นั้นเป็นส่วนที่ตนไม่เห็นด้วย โดยเฉพาะกรณีที่ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาบอกชัดเจนว่า กกต.ไม่เป็นกลางทางการเมือง หรือขาดความเที่ยงธรรม ทั้งที่ข้อกล่าวหา กกต. เหล่านี้ไม่ปรากฏอยู่ในคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ เป็นการแสดงความเห็นเกินกว่าบทบาทของศาลฎีกา เพราะประเด็นความไม่เที่ยงธรรม หรือความไม่เป็นกลางทางการเมืองนั้น อาจจะเป็นประเด็นที่มีการพิพาทกันในศาลรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับคุณสมบัติของ กกต.ก็ได้ ซึ่งการที่ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกามีความเห็นอย่างนี้ เท่ากับชี้นำคำวินิจฉัยก่อนที่จะเข้าสู่กระบวนการทางกฎหมาย อย่างไรก็ตาม หากกกต.เป็นอย่างที่ศาลฎีกาบอกไว้ก็ควรจะใช้กระบวนการทางกฎหมายจัดการให้ออกจากตำแหน่ง

**กกต.เรียกลิ่วล้อธรรมรักษ์ให้ปากคำ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันเดียวกันนี้ กกต.ได้เชิญนายทวี สุวรรณพัฒน์ นายพงศ์ศรี หรือยุทธพงศ์ ศิวาโมกข์ นายธีรชัย จุลพัฒน์ ซึ่งทั้ง 3 คนเป็นผู้ที่ปรากฎในภาพวิดีโอวงจรปิดที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ นำมาเปิดเผย และอ้างว่าเป็นบุคคลที่ร่วมกันรับจ้างจาก พล.อ.ธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา รมว.กลาโหม เพื่อลงสมัครรับเลือกตั้งในวันที่ 2 เม.ย.และนายถั่ว ซึ่งถูกอ้างในผลการสอบสวนว่า ร่วมขบวนการอยู่ด้วยมาชี้แจงข้อกล่าวหาต่อกกต.โดยมีนายปริญญา นาคฉัตรีย์ กกต. เป็นผู้สอบสวนร่วมกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนของ กกต.

ทั้งนี้ มีรายงานว่าการเข้าชี้แจงของบุคคลทั้งหมด เกิดขึ้นหลังจากที่ พล.อ.ธรรมรักษ์ ได้เข้าชี้แจงเมื่อวันที่ 31 พ.ค.และประธานกกต.ได้แจ้งว่า กกต.มีต้องการที่จะให้บุคคลที่ปรากฏในภาพมาให้ปากคำกับกกต. จึงขอให้ พล.อ.ธรรมรักษ์ ช่วยติดต่อให้ ซึ่งการเดินทางมาของคนทั้งหมดจะมีคนของพล.อ.ธรรมรักษ์ มาคอยอำนวยความสะดวกให้

ด้านนายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกสำนักการเลือกตั้งของพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวกรณี พล.อ.ธรรมรักษ์ปฏิเสธหลักฐานรูปภาพชี้ให้เห็นถึงพรรคใหญ่ใหญจ้างพรรคเล็กลงสมัครเลือกตั้ง ตามที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการรพรรคประชาธิปัตย์ นำเสนอศาลว่า แม้พล.อ.ธรรมรักษ์ จะปฏิเสธอย่างไรสังคมก็ไม่เชื่อ เพราะถ้าเป็นข้อมูลไม่จริง พล.อ.ธรรมรักษ์ ที่ปกติเป็นคนโผงผางต้องพูดตอบโต้ ก้าวร้าว และฟ้องหมิ่นประมาทนายสุเทพไปแล้ว แต่ที่ไม่กล้าฟ้องศาล เพราะกลัวหลักฐานเด็ดๆไปปรากฎอยู่ในชั้นศาล อีก ทั้งจากหลักฐานที่ปรากฎทำให้คนในพรรคไทยรักไทย และนายโภคิน พลกุล รองหัวหน้าพรรคไทยรักไทยได้แสดงท่าทีตัดช่องน้อยพอตัวโยนให้พล.อ.ธรรมรักษ์ รับผิดชอบไปคนเดียว

พล.อ.สิริชัย ธัญญสิริ ปลัดกระทรวงกลาโหม กล่าวถึง ความคืบหน้าภายหลังตั้งคณะกรรมการสอบสวนการนำภาพวิดิโอวงจรปิดภายในกระทรวงไปเผยแพร่ต่อสาธารณชน ว่า ผลสอบก้าวหน้าไปมาก โดยมีหลักฐานต่างๆ พอสมควร เพียงแต่คณะกรรมการขอตรวจสอบเพิ่มเติม โดยบอกเหตุผลว่ามีหลักฐานบางอย่างต้องการสอบเพิ่มเติม เช่น บุคคลแวดวงในกระทรวงกลาโหม ส่วนบริษัทติดตั้งวงจรปิดนั้น คณะกรรมการฯ ก็เชิญมาสอบถามทางเทคนิคเช่นกัน ทั้งนี้คิดว่าวันจันทร์ที่ 5 มิ.ย.นี้คงจะทราบผลสรุป

"ผมจะลงโทษคนผิดตามอำนาจที่มี แล้วแต่ลักษณะความผิดเป็นอย่างไร อำนาจหน้าที่ของคนที่ถูกลงทัณฑ์เป็นอย่างไร ก็จะว่าให้เต็มที่ ไม่มีการซูเอี๋ย"ปลัดกระทรวงกลาโหม กล่าว และว่างานนี้ ต้องมีคนผิดแน่นอน แต่อยู่ที่หลักฐานแวดล้อมว่าแค่ไหน อย่างไร และ เขาจะยอมรับหรือไม่
กำลังโหลดความคิดเห็น