นักวิชาการชี้ “แม้ว” คัมแบ็กไม่ช่วยกู้วิกฤตเศรษฐกิจ “กอร์ปศักดิ์” ระบุรัฐบาลใกล้ถังแตก เหตุใช้งบผีมากเกินไป “เทียนชัย” แฉ “แม้ว” กลับมาปั่นวิกฤตเพื่อทำกำไร จับมือสิงคโปร์ปั่นอสังหาริมทรัพย์ เผยเครือญาติตระกูลชินวัตร กว้านซื้อที่ดินสุวรรณภูมิกว่า 6,000 ไร่ รอไว้แล้ว เตือนถ้ายังด้านอยู่ต่อชนชั้นกลางรวมพลังถล่มแน่ มั่นใจกระแสขาลงของ “บุช” ช่วยถีบส่งภายใน 2 ปี ด้าน “แม้ว” นัดถก ครม.นัดพิเศษวันนี้ งัดมาตรการมงฟอร์ตปัดฝุ่น
วานนี้ (28 พ.ค.) ที่สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ได้จัดเสวนาเรื่อง ทักษิณคัมแบ็กกู้วิกฤตได้จริงหรือ..? โดยมี นายเทียนชัย วงศ์ชัยสุวรรณ ผอ.สถาบันวิถีทรรศน์ นายศุภวุฒิ สายเชื้อ กรรมการผู้จัดการ ประธานสายงานวิจัย บริษัท หลักทรัพย์ภัทร จำกัด (มหาชน) และ นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ กรรมการบริหาร พรรคประชาธิปัตย์ มาเป็นผู้ร่วมเสวนา
**รัฐบาลส่อ “ถังแตก”
นายกอร์ปศักดิ์ กล่าวว่า ความสามารถในการทำงานของ พ.ต.ท.ทักษิณ ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาผูกไว้กับวิธีการใช้เงินงบประมาณที่รวดเร็วฉับไวโดยไม่ต้อรอกระบวนการจัดสรรงบประมาณประจำปีที่มีขั้นตอนชักช้า การใช้เงินนอกระบบก่อน เช่น กองทุนหมู่บ้าน ซึ่งรัฐบาลใช้วิธีไปกู้จากธนาคารออมสินมาก่อน ในทางกฎหมายถือว่าเป็นปัญหา เพราะเท่ากับเป็นการสร้างภาระผูกพันโดยที่ไม่กำหนดไว้ในเอกสารงบประมาณ แต่กลับมาใช้หนี้ทีหลัง โดยวิธีการนี้ทำให้เงินกว่า 8 หมื่นล้าน ไปถึงมือชาวบ้านใน 7 หมื่นหมู่บ้านทันที
ทั้งนี้ วิธีดังกล่าวเป็นวิธีค่อนข้างฉลาด แต่เป็นสีเทา และผิดหลักวินัยการคลังที่ดี เพราะประชาชนในฐานะผู้เสียภาษีไม่มีส่วนที่รับรู้ว่า ฝ่ายบริหารได้ไปทำเรื่องผูกพันเอาไว้แล้ว
“ผมมีข้อมูลว่า ตั้งแต่ปีแรก พ.ต.ท.ทักษิณ เข้ามาจัดงบประมาณ โดยใช้วิธีการตั้งงบประมาณแบบขาดดุล และกระตุ้นเศรษฐกิจที่ให้ภาครัฐใช้เงินเข้าไปอย่างเต็มที่ หาเงินมาเท่าไรไม่พอ และให้ไปกู้เพิ่ม และใน 3 ปีแรกรัฐบาลตั้งให้กู้มาก โดยในปีที่ 1 ให้กู้ประมาณ 2 แสนล้านบาท ปีที่ 2 ประมาณ 1.7 แสนล้านบาท และปีที่ 3 ประมาณ 9 หมื่นล้านบาท”
“วิธีการจัดงบนั้น หมายความว่าถ้าเรารู้ว่าขาดดุลเท่าไรก็ต้องตั้งวงเงินกู้เพื่อขอสภาฯเท่านั้น แต่ในแง่ของการปฏิบัติ จะกู้เลยหรือไม่ก็ได้ ดังนั้น ในปีที่ 1 ที่ตั้งไว้ 2 แสนล้านบาท เมื่อกลับไปดูพบว่ามีเงินถึง 5.8 หมื่นล้านบาทที่ตั้งเป็นวง เงินไว้เฉยโดยไม่มีโครงการที่จะทำอะไร ซึ่งในสภาฯเราเรียกกันว่างบผี และเมื่อเงินไม่ได้ใช้ กระทรวงการคลังและกรมบัญชีกลางจึงไม่กู้ในปีที่ 2 และ 3เช่นกัน เพราะฉะนั้นทั้ง 3 ปีที่ตั้งเงินกู้เอาไว้เพื่อมาปิดหีบงบประมาณ ก็ไม่ได้กู้ครบตามจำนวน และเมื่อเข้าสู่ปีที่ 4 รัฐบาลไม่ได้ตั้งวงเงินกู้เอาไว้ เงินสดก็เลยขาดมือ”
นายกอร์ปศักดิ์ กล่าวว่า คิดว่า ณ วันนี้ยังสบายอยู่ แต่เงินคงคลังและเงินออมของประเทศในรูปแบบของเงินคงคลังไม่มี ถ้าเกิดปัญหาขึ้นมาซึ่งในอดีตปี 40 พอมีปัญหาถึงแม้จะเก็บเงินได้น้อย แต่ยังมีเงินออมถึง 3.9 แสนล้านบาท ก็สามารถกู้เพื่อมาปิดหีบงบประมาณได้ ถึงแม้รัฐบาลตอนนี้ยังจะไม่ถังแตก แต่สถานการณ์ก็เริ่มปริ่มๆแล้ว
**อีก 2 ปี “ฟองสบู่แตก” มาเยือน
นายเทียนชัย กล่าวว่า ตนสงสาร พ.ต.ท.ทักษิณมาก เพราะหากกลับเข้ามาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อก็เท่ากับเป็นการมาทนทุกข์ทรมานอีกครั้งหนึ่งในชีวิต เพราะต้องเจอกับวิกฤตต่างๆ ซึ่งวิกฤตที่จะทำให้ประเทศไทยเสียสมดุลอย่างรุนแรง คือ 1.วิกฤตสิ่งแวดล้อม 2.สภาวะการเปลี่ยนแปลงระบอบการเมืองโลก
ทั้งนี้ อีก 2 ปีข้างหน้า ทุกประเทศจะต้องเตรียมตัวรับมือกับสภาวะฟองสบู่แตก โดยจะเริ่มจากสหรัฐฯ เป็นประเทศแรก แล้วจะส่งผลกระทบมาที่จีน และหลังจากนั้นเศรษฐกิจก็จะทรุดตัวลงเรื่อยๆ ดังนั้น ไทยก็ต้องเตรียมตัวรับวิกฤตนี้ด้วย แต่ในรัฐบาลของ พ.ต.ท.ทักษิณ ยังไม่เห็นว่าจะมีการเตรียมรับมือกับประเด็นเหล่านี้เลย แต่ในทางกลับกันโดยที่ตั้งใจหรืออาจจะไม่ได้ตั้งใจก็ตามพ.ต.ท.ทักษิณเองกลับเป็นตัวสร้างระบอบวิกฤตขึ้น
“ก่อนหน้านี้มีคนถามผมเรื่องปฏิญญาฟินแลนด์ ซึ่งผมรู้มานานแล้วว่าจะมีการวางแผนการรวบอำนาจทางการเมือง และเศรษฐกิจ ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติในทางการเมือง แต่ พ.ต.ท.ทักษิณกลับใช้โมเดลผูกขาดของสิงคโปร์ และมาเลเซีย ซึ่งมันไม่เข้ากับประวัติศาสตร์การเมืองของไทย เพราะไทยมีประวัติศาสตร์ในการเคลื่อนไหวของภาคประชาชน ปัญญาชาชน เช่นเหตุการณ์ 14 ตุลา 16 และเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ดังนั้นไทยจึงมีการสั่งสมของคลื่นประชาธิปไตย ถ้า พ.ต.ท.ทักษิณ พยายามเข้ามายึดประเทศไทย วิกฤตก็จะยังอยู่ต่อ และขยายตัวต่อไปเรื่อยๆ”
**จับตา “แม้ว” ปั่นที่ดินสุวรรณภูมิ
นายเทียนชัย กล่าวว่า ถ้า พ.ต.ท.ทักษิณ กลับมาก็ยังมีการผูกขาดประเทศอยู่ ซึ่งกระบวนการ ทักษิณ เป็นกระบวนการเดียวกับนายในกระแสของจอร์จ ดับเบิลยู. บุช ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา นายโทนี แบลร์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ที่ต้องการยึดครองโลก ซึ่งอีกสองปี กระบวนการเหล่านี้ก็จะพัง โลกและประเทศไทยจะเกิดการผลิกผันครั้งยิ่งใหญ่ และกระบวนการทักษิณจะพัง โดยการถาโถมของคลื่นประชาธิปไตยอย่างชนชั้นกลาง อาจารย์ ในรูปแบบพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ซึ่งกระแสพันธมิตรฯ จะก่อให้เกิดวิกฤตต่อ พ.ต.ท.ทักษิณ
สถานการณ์ขณะนี้เหมือนกับตอนที่มีการยึดทรัพย์ จอมพลถนอม กิตติขจร และจอมพลประภาส จารุเสถียร พ.ต.ท.ทักษิณ กำลังประสบชะตากรรมกับวิกฤตระลอกใหม่ที่รุนแรงกว่าเดิม ก็ไม่รู้ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จะทนทุกข์ทรมานไปอีกนานเท่าไร
“สิ่งที่รับไม่ได้ คือ พ.ต.ท.ทักษิณ เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในกระแสของจอร์จ ดับเบิลยู. บุช ที่เติบโตมาจากวิกฤต เติบโตมาจากเศรษฐกิจฟองสบู่ การได้กำไรของกลุ่มทุนนี้จะมาจากกำไร ซึ่งเป็นที่มาของทักษิโณมิกส์ และเข้ามามีอำนาจเหนือการเมืองในไทย และเมื่อเข้ามาแล้ว จะเริ่มด้วยการปั่นเศรษฐกิจก่อน โดยจะเป็นช่วงที่คนรู้สึกดีว่าตัวเองได้จับต้องมาก ในทางตรงข้ามถ้า พ.ต.ท.ทักษิณ อยู่ต่อกระบวนการที่จะปั่นประเทศจะมีต่อ คือ การร่วมกับสิงคโปร์ในการปั่นวงการอสังหาริมทรัพย์ของไทย ที่เป็นที่มาของรถไฟฟ้า 10 สาย เมืองสุวรรณภูมิ หรือการที่คนตระกูลชินวัตร ไปกว้านซื้อที่ดินกว่า 6,000 ไร่ บริเวณสุวรรณภูมิ ถ้า พ.ต.ท.ทักษิณไม่เกิดการชะงัก ก็จะเกิดการปั่นอสังหาริมทรัพย์ครั้งใหญ่ในไทย เศรษฐกิจจะเกิดการบูม แต่กระแสอสังหาริมทรัพย์จะเกิดไม่เกิน 3 ปี อย่างวิกฤตเศรษฐกิจที่ผ่านมา ก็มาจากปั่นอสังหาริมทรัพย์เช่นกัน”
“ถามว่าปัญหาวิกฤตน้ำมัน ทำไม พ.ต.ท.ทักษิณ ที่เรียกตัวเองเป็นอัศวินคลื่นลูกที่สาม แต่กลับอ่านวิกฤตน้ำมันไม่ออก ซึ่งเป็นสิ่งที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ควรทำมานานแล้ว ในเรื่องนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเตือนมากี่ครั้งแล้ว รวมทั้งได้ทรงย้ำเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงมาหลายครั้งแล้ว แต่ก็ยังไม่มีการดำเนินการ และเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงเป็นทิศทางการพัฒนาที่ยั่งยืนของอนาคต ที่ไม่เร่งการผลิต และผมไม่ชอบผู้นำเดี่ยว อยากถามว่าเก่งคนเดียวหรือ” นายเทียนชัย กล่าว
**ลดนำเข้าน้ำมัน-ผลิตไฟฟ้าเพิ่ม
ด้าน นายศุภวุฒิ กล่าวว่า สถานการณ์ทางการเมืองและเศรษฐกิจ จะยังไม่กระเตื้องขึ้น เนื่องจากรัฐบาลอยู่ในช่วงรักษาการ ยังไม่มีความชัดเจนเกี่ยวกับกระบวนการต่างๆ รวมทั้งการปฏิรูปการเมือง สิ่งเหล่านี้ จะส่งผลให้เศรษฐกิจของไทยชะงักงันในระยะยาวแน่
ขณะเดียวกัน เศรษฐกิจโลกเกิดความไม่สมดุล มีสิ่งล่อแหลมที่ต้องระมัดระวัง คือ เศรษฐกิจในสหรัฐฯ ที่เกิดการบริโภคและสร้างหนี้ให้ตัวเองมากเกินไป ทำให้ขาดดุลบัญชีเดินสะพัด 6.5-7% ของจีดีพี ประกอบกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลาง (เฟด) จนถึงจุดที่ล่อแหลมของการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ และเกิดภาวะฟองสบู่แตก
“นอกจากนี้ ในแง่ความเสี่ยงจากปัจจัยราคาน้ำมัน และราคาสินค้าโภคภัณฑ์ยังปรับตัวสูงขึ้นมาก เช่น ราคาทองแดง ที่ปรับตัวสูงขึ้นเป็นเท่าตัวในช่วง 5 เดือนแรกของปี เพราะตลาดจีน และอินเดีย มีความต้องการสูงมาก ประกอบกับมีการเก็งกำไร ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้นควบคู่กับปัจจัยอัตราเงินเฟ้อ และอัตราดอกเบี้ยปรับตัวสูงขึ้นตามไปด้วย จึงมีความเสี่ยงว่าจะเกิดภาวะสภาพคล่องหดตัวอย่างรุนแรง โดยความเสี่ยงเหล่านี้ กำลังสะท้อนให้เห็นในตลาดต่าง ๆ และชัดเจนว่า ตลาดเริ่มกลัวความเสี่ยง เกิดการดึงสภาพคล่องกลับ ซึ่งไทยกำลังได้รับผลกระทบจากปัจจัยเหล่านี้ด้วย”
นายศุภวุฒิ กล่าวถึงการแก้ไขปัญหาด้านพลังงานว่า ต้องเน้นลดการนำเข้าน้ำมัน และผลิตกระแสไฟฟ้าใช้ภายในประเทศให้มากขึ้น รวมถึงควรนำผลกำไรของ บริษัท ปตท.จำกัด(มหาชน) มาสนับสนุนส่งเสริมและพัฒนายุทธศาสตร์ด้านพลังงานของประเทศในอนาคต ย่อมจะเป็นผลดีกว่านำกำไรของ ปตท.มาใช้เพียงเพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายเชื้อเพลิงของประชาชน ด้วยการลดราคาน้ำมันในระยะสั้น และควรปล่อยให้ราคาน้ำมันสะท้อนราคาตามตลาดโลกอย่างแท้จริง ลดการพึ่งพาการส่งออกที่สูงกว่าการบริโภคภายในประเทศ มิฉะนั้นเศรษฐกิจของไทยจะหยุดเดิน
**“แม้ว” ถกมาตรการกระตุ้น ศก.วันนี้
เวลา 09.00 น.วันนี้ (29 พ.ค.) พ.ต.ท.ทักษิณจะเป็นประธานการประชุม ครม.นัดพิเศษ เพื่อกำหนดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภายใน 3 เดือนก่อนเลือกตั้ง ส่วนช่วงบ่ายจะเป็นการประชุมติดตามการดำเนินงานด้านสังคม ทั้งด้านแก้ปัญหายาเสพติด ผู้มีอิทธิพล รวมทั้งนโยบายการกระตุ้นรากหญ้า แปลงสินทรัพย์เป็น กองทุนหมู่บ้าน และกองทุนเอสเอ็มแอล
นายอำพน กิตติอำพน เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) กล่าวว่า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่จะเสนอให้พ.ต.ท.ทักษิณ พิจารณาในวันนี้ เบื้องต้นได้คัดเลือกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมงฟอร์ตบางข้อมาประยุกต์ใหม่ เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันที่ประชากรไทยส่วนใหญ่ได้รับความเดือดร้อนจากราคาน้ำมัน และอัตราดอกเบี้ยที่ปรับตัวสูงอย่างต่อเนื่อง
สำหรับมาตรการมงฟอร์ต ที่รัฐบาลเคยประกาศก่อนหน้านี้ และ สศช.ต้องมาพิจารณาเพื่อนำมาใช้ใหม่ เช่น การขึ้นเงินเดือนข้าราชการ และเพิ่มเงินให้ข้าราชการบำนาญ เพิ่มค่าแรงขั้นต่ำให้กับผู้ใช้แรงงาน จูงใจให้เอกชนฝึกพัฒนาแรงงาน เพื่อนำไปสู่ค่าแรงที่สูงขึ้น เพิ่มราคาสินค้าเกษตร เร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณที่ค้างจ่าย เร่งรัดการส่งออก จัดจ้างงานในชนบทและท้องถิ่นให้มากขึ้น
วานนี้ (28 พ.ค.) ที่สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ได้จัดเสวนาเรื่อง ทักษิณคัมแบ็กกู้วิกฤตได้จริงหรือ..? โดยมี นายเทียนชัย วงศ์ชัยสุวรรณ ผอ.สถาบันวิถีทรรศน์ นายศุภวุฒิ สายเชื้อ กรรมการผู้จัดการ ประธานสายงานวิจัย บริษัท หลักทรัพย์ภัทร จำกัด (มหาชน) และ นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ กรรมการบริหาร พรรคประชาธิปัตย์ มาเป็นผู้ร่วมเสวนา
**รัฐบาลส่อ “ถังแตก”
นายกอร์ปศักดิ์ กล่าวว่า ความสามารถในการทำงานของ พ.ต.ท.ทักษิณ ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาผูกไว้กับวิธีการใช้เงินงบประมาณที่รวดเร็วฉับไวโดยไม่ต้อรอกระบวนการจัดสรรงบประมาณประจำปีที่มีขั้นตอนชักช้า การใช้เงินนอกระบบก่อน เช่น กองทุนหมู่บ้าน ซึ่งรัฐบาลใช้วิธีไปกู้จากธนาคารออมสินมาก่อน ในทางกฎหมายถือว่าเป็นปัญหา เพราะเท่ากับเป็นการสร้างภาระผูกพันโดยที่ไม่กำหนดไว้ในเอกสารงบประมาณ แต่กลับมาใช้หนี้ทีหลัง โดยวิธีการนี้ทำให้เงินกว่า 8 หมื่นล้าน ไปถึงมือชาวบ้านใน 7 หมื่นหมู่บ้านทันที
ทั้งนี้ วิธีดังกล่าวเป็นวิธีค่อนข้างฉลาด แต่เป็นสีเทา และผิดหลักวินัยการคลังที่ดี เพราะประชาชนในฐานะผู้เสียภาษีไม่มีส่วนที่รับรู้ว่า ฝ่ายบริหารได้ไปทำเรื่องผูกพันเอาไว้แล้ว
“ผมมีข้อมูลว่า ตั้งแต่ปีแรก พ.ต.ท.ทักษิณ เข้ามาจัดงบประมาณ โดยใช้วิธีการตั้งงบประมาณแบบขาดดุล และกระตุ้นเศรษฐกิจที่ให้ภาครัฐใช้เงินเข้าไปอย่างเต็มที่ หาเงินมาเท่าไรไม่พอ และให้ไปกู้เพิ่ม และใน 3 ปีแรกรัฐบาลตั้งให้กู้มาก โดยในปีที่ 1 ให้กู้ประมาณ 2 แสนล้านบาท ปีที่ 2 ประมาณ 1.7 แสนล้านบาท และปีที่ 3 ประมาณ 9 หมื่นล้านบาท”
“วิธีการจัดงบนั้น หมายความว่าถ้าเรารู้ว่าขาดดุลเท่าไรก็ต้องตั้งวงเงินกู้เพื่อขอสภาฯเท่านั้น แต่ในแง่ของการปฏิบัติ จะกู้เลยหรือไม่ก็ได้ ดังนั้น ในปีที่ 1 ที่ตั้งไว้ 2 แสนล้านบาท เมื่อกลับไปดูพบว่ามีเงินถึง 5.8 หมื่นล้านบาทที่ตั้งเป็นวง เงินไว้เฉยโดยไม่มีโครงการที่จะทำอะไร ซึ่งในสภาฯเราเรียกกันว่างบผี และเมื่อเงินไม่ได้ใช้ กระทรวงการคลังและกรมบัญชีกลางจึงไม่กู้ในปีที่ 2 และ 3เช่นกัน เพราะฉะนั้นทั้ง 3 ปีที่ตั้งเงินกู้เอาไว้เพื่อมาปิดหีบงบประมาณ ก็ไม่ได้กู้ครบตามจำนวน และเมื่อเข้าสู่ปีที่ 4 รัฐบาลไม่ได้ตั้งวงเงินกู้เอาไว้ เงินสดก็เลยขาดมือ”
นายกอร์ปศักดิ์ กล่าวว่า คิดว่า ณ วันนี้ยังสบายอยู่ แต่เงินคงคลังและเงินออมของประเทศในรูปแบบของเงินคงคลังไม่มี ถ้าเกิดปัญหาขึ้นมาซึ่งในอดีตปี 40 พอมีปัญหาถึงแม้จะเก็บเงินได้น้อย แต่ยังมีเงินออมถึง 3.9 แสนล้านบาท ก็สามารถกู้เพื่อมาปิดหีบงบประมาณได้ ถึงแม้รัฐบาลตอนนี้ยังจะไม่ถังแตก แต่สถานการณ์ก็เริ่มปริ่มๆแล้ว
**อีก 2 ปี “ฟองสบู่แตก” มาเยือน
นายเทียนชัย กล่าวว่า ตนสงสาร พ.ต.ท.ทักษิณมาก เพราะหากกลับเข้ามาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อก็เท่ากับเป็นการมาทนทุกข์ทรมานอีกครั้งหนึ่งในชีวิต เพราะต้องเจอกับวิกฤตต่างๆ ซึ่งวิกฤตที่จะทำให้ประเทศไทยเสียสมดุลอย่างรุนแรง คือ 1.วิกฤตสิ่งแวดล้อม 2.สภาวะการเปลี่ยนแปลงระบอบการเมืองโลก
ทั้งนี้ อีก 2 ปีข้างหน้า ทุกประเทศจะต้องเตรียมตัวรับมือกับสภาวะฟองสบู่แตก โดยจะเริ่มจากสหรัฐฯ เป็นประเทศแรก แล้วจะส่งผลกระทบมาที่จีน และหลังจากนั้นเศรษฐกิจก็จะทรุดตัวลงเรื่อยๆ ดังนั้น ไทยก็ต้องเตรียมตัวรับวิกฤตนี้ด้วย แต่ในรัฐบาลของ พ.ต.ท.ทักษิณ ยังไม่เห็นว่าจะมีการเตรียมรับมือกับประเด็นเหล่านี้เลย แต่ในทางกลับกันโดยที่ตั้งใจหรืออาจจะไม่ได้ตั้งใจก็ตามพ.ต.ท.ทักษิณเองกลับเป็นตัวสร้างระบอบวิกฤตขึ้น
“ก่อนหน้านี้มีคนถามผมเรื่องปฏิญญาฟินแลนด์ ซึ่งผมรู้มานานแล้วว่าจะมีการวางแผนการรวบอำนาจทางการเมือง และเศรษฐกิจ ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติในทางการเมือง แต่ พ.ต.ท.ทักษิณกลับใช้โมเดลผูกขาดของสิงคโปร์ และมาเลเซีย ซึ่งมันไม่เข้ากับประวัติศาสตร์การเมืองของไทย เพราะไทยมีประวัติศาสตร์ในการเคลื่อนไหวของภาคประชาชน ปัญญาชาชน เช่นเหตุการณ์ 14 ตุลา 16 และเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ดังนั้นไทยจึงมีการสั่งสมของคลื่นประชาธิปไตย ถ้า พ.ต.ท.ทักษิณ พยายามเข้ามายึดประเทศไทย วิกฤตก็จะยังอยู่ต่อ และขยายตัวต่อไปเรื่อยๆ”
**จับตา “แม้ว” ปั่นที่ดินสุวรรณภูมิ
นายเทียนชัย กล่าวว่า ถ้า พ.ต.ท.ทักษิณ กลับมาก็ยังมีการผูกขาดประเทศอยู่ ซึ่งกระบวนการ ทักษิณ เป็นกระบวนการเดียวกับนายในกระแสของจอร์จ ดับเบิลยู. บุช ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา นายโทนี แบลร์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ที่ต้องการยึดครองโลก ซึ่งอีกสองปี กระบวนการเหล่านี้ก็จะพัง โลกและประเทศไทยจะเกิดการผลิกผันครั้งยิ่งใหญ่ และกระบวนการทักษิณจะพัง โดยการถาโถมของคลื่นประชาธิปไตยอย่างชนชั้นกลาง อาจารย์ ในรูปแบบพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ซึ่งกระแสพันธมิตรฯ จะก่อให้เกิดวิกฤตต่อ พ.ต.ท.ทักษิณ
สถานการณ์ขณะนี้เหมือนกับตอนที่มีการยึดทรัพย์ จอมพลถนอม กิตติขจร และจอมพลประภาส จารุเสถียร พ.ต.ท.ทักษิณ กำลังประสบชะตากรรมกับวิกฤตระลอกใหม่ที่รุนแรงกว่าเดิม ก็ไม่รู้ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จะทนทุกข์ทรมานไปอีกนานเท่าไร
“สิ่งที่รับไม่ได้ คือ พ.ต.ท.ทักษิณ เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในกระแสของจอร์จ ดับเบิลยู. บุช ที่เติบโตมาจากวิกฤต เติบโตมาจากเศรษฐกิจฟองสบู่ การได้กำไรของกลุ่มทุนนี้จะมาจากกำไร ซึ่งเป็นที่มาของทักษิโณมิกส์ และเข้ามามีอำนาจเหนือการเมืองในไทย และเมื่อเข้ามาแล้ว จะเริ่มด้วยการปั่นเศรษฐกิจก่อน โดยจะเป็นช่วงที่คนรู้สึกดีว่าตัวเองได้จับต้องมาก ในทางตรงข้ามถ้า พ.ต.ท.ทักษิณ อยู่ต่อกระบวนการที่จะปั่นประเทศจะมีต่อ คือ การร่วมกับสิงคโปร์ในการปั่นวงการอสังหาริมทรัพย์ของไทย ที่เป็นที่มาของรถไฟฟ้า 10 สาย เมืองสุวรรณภูมิ หรือการที่คนตระกูลชินวัตร ไปกว้านซื้อที่ดินกว่า 6,000 ไร่ บริเวณสุวรรณภูมิ ถ้า พ.ต.ท.ทักษิณไม่เกิดการชะงัก ก็จะเกิดการปั่นอสังหาริมทรัพย์ครั้งใหญ่ในไทย เศรษฐกิจจะเกิดการบูม แต่กระแสอสังหาริมทรัพย์จะเกิดไม่เกิน 3 ปี อย่างวิกฤตเศรษฐกิจที่ผ่านมา ก็มาจากปั่นอสังหาริมทรัพย์เช่นกัน”
“ถามว่าปัญหาวิกฤตน้ำมัน ทำไม พ.ต.ท.ทักษิณ ที่เรียกตัวเองเป็นอัศวินคลื่นลูกที่สาม แต่กลับอ่านวิกฤตน้ำมันไม่ออก ซึ่งเป็นสิ่งที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ควรทำมานานแล้ว ในเรื่องนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเตือนมากี่ครั้งแล้ว รวมทั้งได้ทรงย้ำเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงมาหลายครั้งแล้ว แต่ก็ยังไม่มีการดำเนินการ และเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงเป็นทิศทางการพัฒนาที่ยั่งยืนของอนาคต ที่ไม่เร่งการผลิต และผมไม่ชอบผู้นำเดี่ยว อยากถามว่าเก่งคนเดียวหรือ” นายเทียนชัย กล่าว
**ลดนำเข้าน้ำมัน-ผลิตไฟฟ้าเพิ่ม
ด้าน นายศุภวุฒิ กล่าวว่า สถานการณ์ทางการเมืองและเศรษฐกิจ จะยังไม่กระเตื้องขึ้น เนื่องจากรัฐบาลอยู่ในช่วงรักษาการ ยังไม่มีความชัดเจนเกี่ยวกับกระบวนการต่างๆ รวมทั้งการปฏิรูปการเมือง สิ่งเหล่านี้ จะส่งผลให้เศรษฐกิจของไทยชะงักงันในระยะยาวแน่
ขณะเดียวกัน เศรษฐกิจโลกเกิดความไม่สมดุล มีสิ่งล่อแหลมที่ต้องระมัดระวัง คือ เศรษฐกิจในสหรัฐฯ ที่เกิดการบริโภคและสร้างหนี้ให้ตัวเองมากเกินไป ทำให้ขาดดุลบัญชีเดินสะพัด 6.5-7% ของจีดีพี ประกอบกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลาง (เฟด) จนถึงจุดที่ล่อแหลมของการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ และเกิดภาวะฟองสบู่แตก
“นอกจากนี้ ในแง่ความเสี่ยงจากปัจจัยราคาน้ำมัน และราคาสินค้าโภคภัณฑ์ยังปรับตัวสูงขึ้นมาก เช่น ราคาทองแดง ที่ปรับตัวสูงขึ้นเป็นเท่าตัวในช่วง 5 เดือนแรกของปี เพราะตลาดจีน และอินเดีย มีความต้องการสูงมาก ประกอบกับมีการเก็งกำไร ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้นควบคู่กับปัจจัยอัตราเงินเฟ้อ และอัตราดอกเบี้ยปรับตัวสูงขึ้นตามไปด้วย จึงมีความเสี่ยงว่าจะเกิดภาวะสภาพคล่องหดตัวอย่างรุนแรง โดยความเสี่ยงเหล่านี้ กำลังสะท้อนให้เห็นในตลาดต่าง ๆ และชัดเจนว่า ตลาดเริ่มกลัวความเสี่ยง เกิดการดึงสภาพคล่องกลับ ซึ่งไทยกำลังได้รับผลกระทบจากปัจจัยเหล่านี้ด้วย”
นายศุภวุฒิ กล่าวถึงการแก้ไขปัญหาด้านพลังงานว่า ต้องเน้นลดการนำเข้าน้ำมัน และผลิตกระแสไฟฟ้าใช้ภายในประเทศให้มากขึ้น รวมถึงควรนำผลกำไรของ บริษัท ปตท.จำกัด(มหาชน) มาสนับสนุนส่งเสริมและพัฒนายุทธศาสตร์ด้านพลังงานของประเทศในอนาคต ย่อมจะเป็นผลดีกว่านำกำไรของ ปตท.มาใช้เพียงเพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายเชื้อเพลิงของประชาชน ด้วยการลดราคาน้ำมันในระยะสั้น และควรปล่อยให้ราคาน้ำมันสะท้อนราคาตามตลาดโลกอย่างแท้จริง ลดการพึ่งพาการส่งออกที่สูงกว่าการบริโภคภายในประเทศ มิฉะนั้นเศรษฐกิจของไทยจะหยุดเดิน
**“แม้ว” ถกมาตรการกระตุ้น ศก.วันนี้
เวลา 09.00 น.วันนี้ (29 พ.ค.) พ.ต.ท.ทักษิณจะเป็นประธานการประชุม ครม.นัดพิเศษ เพื่อกำหนดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภายใน 3 เดือนก่อนเลือกตั้ง ส่วนช่วงบ่ายจะเป็นการประชุมติดตามการดำเนินงานด้านสังคม ทั้งด้านแก้ปัญหายาเสพติด ผู้มีอิทธิพล รวมทั้งนโยบายการกระตุ้นรากหญ้า แปลงสินทรัพย์เป็น กองทุนหมู่บ้าน และกองทุนเอสเอ็มแอล
นายอำพน กิตติอำพน เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) กล่าวว่า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่จะเสนอให้พ.ต.ท.ทักษิณ พิจารณาในวันนี้ เบื้องต้นได้คัดเลือกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมงฟอร์ตบางข้อมาประยุกต์ใหม่ เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันที่ประชากรไทยส่วนใหญ่ได้รับความเดือดร้อนจากราคาน้ำมัน และอัตราดอกเบี้ยที่ปรับตัวสูงอย่างต่อเนื่อง
สำหรับมาตรการมงฟอร์ต ที่รัฐบาลเคยประกาศก่อนหน้านี้ และ สศช.ต้องมาพิจารณาเพื่อนำมาใช้ใหม่ เช่น การขึ้นเงินเดือนข้าราชการ และเพิ่มเงินให้ข้าราชการบำนาญ เพิ่มค่าแรงขั้นต่ำให้กับผู้ใช้แรงงาน จูงใจให้เอกชนฝึกพัฒนาแรงงาน เพื่อนำไปสู่ค่าแรงที่สูงขึ้น เพิ่มราคาสินค้าเกษตร เร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณที่ค้างจ่าย เร่งรัดการส่งออก จัดจ้างงานในชนบทและท้องถิ่นให้มากขึ้น