xs
xsm
sm
md
lg

อย่าเสียน้ำตาให้แก่ทรราช ถึงยังไงมันก็จะฉิบหายเอง

เผยแพร่:   โดย: ยอดรัก ตะวันรอน

“ขณะนี้ได้เกิดเหตุการณ์ทางการเมืองขึ้น ซึ่งได้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคม โครงการนี้จึงมุ่งประสานไปยังเครือข่ายที่เกี่ยวข้องเพื่อผลักดันกระแสให้เกิดการปฏิรูปทางเศรษฐกิจ วัฒนธรรม และค่านิยม ปัญหาการขาดแคลนปัจจัยการผลิต ปัญหาความเสื่อมทรุดของสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรทางธรรมชาติ ปัญหาเศรษฐกิจและสังคมหรือปัญหาความยากจนในพื้นที่หลายประเทศ ล้วนแต่เป็นปัญหาที่เราต้องเผชิญไม่น้อยไปกว่าปัญหาทางการเมือง”

ข้อความนี้เป็นข้อความที่ ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ เลขานุการคณะกรรมการ สพน.ในฐานะประธานโครงการปฏิรูปประเทศไทยได้กล่าวถึงการจัดกิจกรรมเพื่อการปฏิรูปประประเทศไทยโดยจะเริ่มตั้งแต่เดือนพฤษภาคมจนถึงเดือนธันวาคม 2549

ก็นับว่าเป็นคำบอกกล่าวที่ถูกต้อง แต่รายงานต่อมาของหนังสือพิมพ์ฉบับที่นำข่าวนี้มาเสนอกล่าวต่อไปว่า “ผู้สื่อข่าวรายงานว่าระหว่างการแถลงข่าว นายอนุสรณ์พูดถึงวิกฤตการณ์ทางการเมืองในปัจจุบันว่าแต่ละฝ่ายออกมาพูดว่ารักประเทศชาติประชาชน แต่ยังมองไม่เห็นแนวทางแต่อย่างใด จากนั้นนายอนุสรณ์ก็ได้หลั่งน้ำตาด้วยความอัดอั้นตันใจ”

รายงานนี้ได้ถูกนำมาตีพิมพ์ลงในหนังสือพิมพ์ “มติชน” ฉบับวันที่ 23 พฤษภาคม2549 ที่ผ่านมานี้ และวันนั้นผมก็ฟังการบรรยายของคุณอนุสรณ์ ธรรมใจในรายการนี้ตั้งแต่ต้นจนจบ

และเป็นเรื่องมหัศจรรย์และแปลกประหลาดอย่างยิ่งสำหรับผมที่ได้เห็นการร้องไห้ของลูกผู้ชายคนหนึ่งที่เคยร่วมต่อสู้เพื่อประเทศชาติออกมาต่อหน้าคนทั่วประเทศอย่างไม่อายใคร นอกจากต้องการแสดงออกถึงความเจ็บช้ำน้ำใจและปวดร้าวในชีวิตที่เกิดมาของเขาและเตรียมต่อสู้เพื่อประเทศไทยคนไทยมานั้น เขาได้พบแต่ความสกปรกและความชั่วของคนไทยส่วนใหญ่ที่ร่วมกันปล้นร่วมกันขายชาติบ้านเมืองอยู่กันแทบไม่มีหวังจะมีใครเข้าไปแก้ไขอะไรได้ เพราะส่วนมากคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตที่เอาประเทศ บ้านเมืองและคนไทยขายทำมาหากินได้ที่มีอยู่ในขณะนี้ มันกินจนอิ่มแปล้และอ้วนขึ้นมาจนไม่มีใครเลยแม้แต่คนเดียวที่จะมาเห็นบุญคุณของประเทศไทยและแผ่นดินไทยแม้แต่กระผีกริ้น นอกจากปู้ยี่ปู้ยำเขมือบกินไปจนบ้านเมืองวอดวายฉิบหายหมดอย่างที่ ดร.อนุสรณ์เห็นอยู่แล้วถึงกับยอมเสียน้ำตาให้มันอย่างไม่อายใคร

ความทุกข์ของลูกผู้ชายไทยคนหนึ่งที่อุตส่าห์เล่าเรียนต่อสู้มาอย่างไม่ลดละในปัญหาต่างๆ ของประเทศชาติของเราซึ่งทำหมดความสามารถที่จะกลั้นน้ำตาและความขมขื่นในปัญหาของประเทศไทยที่เกิดขึ้นเพราะคนไทยไม่ได้ถึงกับร้องไห้ออกมา ซึ่งในความคิดเห็นของผม ผมมองไม่เห็นว่าการยอมเสียน้ำตาเพราะปัญหานี้ผมคิดว่าต่อให้คุณอนุสรณ์มีน้ำตามากมายยิ่งกว่าน้ำทั้ง 7 มหาสมุทรมันจะช่วยอะไรไม่ได้เลย

ไม่มีประโยชน์อะไรแม้แต่นิดเดียวที่ให้หยาดน้ำตาแต่ละหยดมันหยาดออกมา

เพราะมันจะไม่มีใครเข้าใจและไม่มีใครสนใจ
และมันจะไม่มีค่าอะไรเลยแม้แต่น้อยสำหรับการเสียน้ำตาเพราะคนเหล่านี้

แผ่นดินไทยนั้น ผมไม่เชื่อว่าคนที่จะมาเห็นอกเห็นใจและร่วมเป็นร่วมตายเพื่อแก้ปัญหากระบวนการเมืองอย่างที่ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจนั้น ผมไม่เชื่อว่ามันจะมีอยู่

คนไทยสังคมไทย ถ้าจะพิจารณากันให้ลึกลงไปแล้วเราจะสามารถมองเห็นความแตกต่างจากสังคมอื่นหรือคนชาติอื่นๆ นั่นคือความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันทั้งชาติทั้งสังคม และในความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันนั้น กฎเกณฑ์ที่คนจะต้องยึดถือและยอมรับนับถือนั้นเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในทุกเรื่องทุกอย่างที่สังคมไทยได้เคยรองรับและปฏิบัติสืบต่อกันมา สังคมไทยและคนไทยนั้นเมื่อได้มีการตกลงยอมรับและปฏิบัติสืบต่อกันมาแล้ว ทุกคนจะต้องยอมรับร่วมกัน สังคมไทยส่วนใหญ่แล้วจึงเป็นสังคมที่อยู่กันมาด้วยการร่วมมือร่วมใจมาทุกเรื่องทุกอย่างตั้งแต่การทำไร่ไถนาที่ต้องลงแขก เข้าวัดวาอาราม วันพระ วันดับ การเคารพนับถือต่อผู้ที่มีอาวุโสสูงกว่า เชื่อฟังซึ่งกันและกันและนับถือซึ่งกันและกัน

แต่มาถึงวันนี้ ขนบประเพณีและหลักเกณฑ์เหล่านั้นไม่มีอะไรเหลืออยู่แล้ว

ตรงข้าม มันมีแต่ความแตกแยก การแบ่งพรรคแบ่งพวก และความขัดแย้งระหว่างคนต่อคน ระหว่างพวกระหว่างกลุ่ม สิ่งที่คนไทยพยายามที่จะสร้างและทำกันอยู่มีอย่างเดียวคือการโกหกหลอกลวงซึ่งกันและกัน การปล้นสะดมทุกสิ่งทุกอย่างจากกันและกัน

ปัญหาบ้านเมืองทั้งดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ เป็นปัญหาของชาติไทยหรือเป็นบาปของชาติไทยที่มันเกิดมานานแล้ว เฉพาะอย่างยิ่งหลังจากเรารู้จักคำว่าการเมืองและเรามีนักการเมืองที่เอาการเมืองมาเล่นกันเกือบจะ 100 ปีมาแล้ว ถ้าหากว่านครไม่มีพระผู้เป็นเจ้าองค์ไหนอุ้มชูให้เกิดมาอย่างผู้มีบุญในแผ่นดินด้วยบุญบารมีหรือความสามารถในการเป็นโจรพอที่จะปล้นหรือแย่งชิงคนอื่นเขากิน คุณก็จะมีสภาพไม่ผิดกับหมาไม่มีเจ้าของคนหนึ่งหรือเศษขยะที่สกปรกต่ำช้าขนาดที่ไม่มีใครจะเก็บไปขายต่อได้อีกประการหนึ่ง

ระยะนี้ว่ากันว่าเมืองไทยมีปัญหามากและเป็นปัญหาหนัก
และปัญหานั้นก็คือปัญหาการเมือง
ว่ากันว่าการเมืองสกปรกทำให้เมืองไทยและคนไทยมีปัญหา

แต่ในความจริงแล้ว การเมืองไทยไม่มีอะไรเป็นปัญหาเหมือนการเมืองในประเทศที่มีคุณมีธรรมอื่นๆ ปัญหาเกิดขึ้นเพราะการเมืองในประเทศไทยนั้นเป็นเพราะคนไทยเจ้าของประเทศเองที่มีปัญหา นั่นก็คือความชั่วความเลวร้ายที่ก่อให้เกิดปัญหาทั้งหมด เกิดมาจากตัวคนไทยที่เสือกไปเลือกเอาสัตว์ร้ายทางการเมืองเป็นอาชีพหรือเป็นแหล่งทำมาหากินของมัน

นักการเมืองไทยส่วนมากจะเป็นคนประเภทพวกเด็กอมมือ ไม่ประสีประสาใดๆ กับการเมืองและนักการเมืองหน้าด้านที่ด้านจนไม่รู้ว่าอะไรผิดอะไรถูกหรือไม่คิดว่าคนอื่นเขาจะมองเห็นสันดาน สิ่งที่นักการเมืองพวกนี้ต้องการและแสวงหามีอย่างเดียวก็คือผลประโยชน์ที่ตนจะพึงไขว่คว้าเอาได้ จะไม่ยอมรับรู้ว่าอะไรถูกอะไรผิด อะไรจะต้องงดต้องเว้น นักการเมืองพวกนี้จะไม่รู้จักหรือนำมาปฏิบัติที่ทำได้อย่างเดียว

นอกจากตั้งหน้าแสวงหาช่องทางที่จะเอาก็คือเอาการเมืองเป็นที่แสวงหาประโยชน์ นักการเมืองที่ประสบความสำเร็จอย่างใหญ่หลวงหลายคนที่เคยมีมาแล้วและปรากฏอยู่ จะไม่ทำอะไรที่เป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติและประชาชน แต่โดยสันดานโจรชั่วร้ายของชาติ นักการเมืองพวกนี้จะทำทุกอย่างเพื่อทำลายหลักการ ขนบประเพณีและผลประโยชน์ของประชาชนอย่างไม่สะดุ้งสะเทือนอะไรแม้แต่น้อย

การเมืองนั้นความจริงไม่มีเรื่องอัศจรรย์ มันเป็นแต่เพียงการรวมกันของหมู่คนและเลือกใครคนใดคนหนึ่งทำหน้าที่ดำเนินการเพื่อจัดสรรผลประโยชน์ให้แก่คนทุกพวกทุกคนที่เรียกกันว่าราษฎรหรือประชาชน

เท่านั้นเอง!
ไม่มีเรื่องเลวร้ายหรือชั่วช้าอะไรแต่อย่างใด
แต่ที่มันชั่วเพราะคนที่ประชาชนมอบอำนาจให้ทำหน้าที่ปกครองคุ้มกันหรือแบ่งปันผลประโยชน์แก่ประชาชนนั้น ทุกวันนี้ไม่มีอะไรผิดกับโจรชั้นต่ำที่ต่ำสุด

โจรพวกนี้จะไม่รู้จักคำว่าศีลธรรม ไม่รู้จักคุณธรรมใดๆ ทั้งสิ้น
และที่สำคัญที่สุดก็คือมันจะไม่สนใจน้ำตาของใครด้วยมันจะถูกเรียกขานอย่างเทิดทูนว่า “ท่าน” “ฯพณฯ” หรือ “นาย” ใหญ่ยิ่งเหนือผู้เหนือคนไปเลย

การอาศัยบ้านเมืองทำมาหากินในสมัยก่อนนั้นเป็นการหากินชนิดเรียกว่าตอดเล็กตอดน้อยหรือไม่อาจจะเรียกว่าสวาปามกันอย่างไม่บันยะบันยัง เพราะมีการทำมาหากินประเภทลักลอบหรือไม่เต็มไม้เต็มมือนัก แต่มาถึงยุคนี้นักการเมืองของเราจะกินทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นดินน้ำลมไฟในแผ่นดินทุกอย่างทุกสิ่งจะแย่งกินรุมกินผูกขาดทั้งสิ้น

ทุกอย่างในประเทศตั้งแต่สถาบันพระมหากษัตริย์ เรื่อยลงมากระทั่งป่าไม้ทรายป่นในแผ่นดินเราจะเป็นเป้าหมายสำหรับนำมาเป็นเครื่องมือในการทำมาหากินทั้งสิ้นถึงขนาดที่ว่าตอนนี้กำลังจะรื้อคุกต่างๆ ทั่วประเทศทำเป็นศูนย์การค้าที่มีราคาถึง 82,000 ล้านบาท โดยให้บริษัทสมุนและพรรคพวกของตนเองเป็นผู้รับเหมาก่อสร้าง ที่ว่ากันว่าตนและวงศาคณาญาติจะมีรายได้เป็นจำนวนไม่น้อยกว่า9,000 ล้านบาท กินไปได้เจ็ดชั่วโคตรยังไม่หมด แม้แต่รัฐธรรมนูญและกฎหมายต่างๆ ก็นำมาเป็นเครื่องมือในการปล้นสะดมบ้านเมืองและใช้กันอย่างบิดเบือนเพื่อประโยชน์ในการปล้นบ้านปล้นเมืองทั้งสิ้น หนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวันพาดหัวข่าวว่า “มันจะรื้อคุกทำศูนย์การค้า” ซึ่งไม่มีอะไรนอกจากว่ามันจะเป็นโครงการทำเงินมหาศาลอีกโครงการหนึ่งหลังจากขายสนามบินดอนเมืองให้สิงคโปร์ และมาเลเซียเรียบร้อยไปแล้ว กฎหมายสูงสุดของบ้านเมืองอย่างรัฐธรรมนูญทำอะไรไม่ได้เอาเลย

ตัวอย่างที่ไม่ต้องไปสืบสาวหรือหาความสัตย์ความจริงอะไรทั้งสิ้น เพราะการมีรัฐธรรมนูญนั้นไม่ว่าเราจะถือเป็นกฎหมายสุดยอดของชาติของประเทศ บ้านเมืองผู้คนจะเป็นอย่างไร ดีหรือชั่วถูกหรือผิดจะขึ้นอยู่กับรัฐธรรมนูญฉบับที่เรามีอยู่ ซึ่งใช้คนไทยที่มีความรู้ในประเทศและคนหัวหงอกหัวดำทุกคนเข้าช่วยกันร่างและเขียนขึ้นมา ซึ่งก็นับว่าดีที่สุดและจะเป็นแนวทางที่ดีที่สุดสำหรับเป็นกฎเกณฑ์หรือขนบประเพณีแทนหลักการที่ยอมรับกันในสมัยสังคมเก่า

แต่เมื่อรัฐธรรมนูญถูกนำมาประกาศใช้ด้วยความยินดีปรีดาของประชาชนทั้งประเทศ แต่เมื่อใช้เข้าจริงกลับได้ผลตรงข้าม เพราะปรากฏว่าเงื่อนไขและหลักการทุกอย่างในรัฐธรรมนูญนั้น ถูกเงินซื้อเอาไปเก็บไว้ในอำนาจของโจรไม่กี่คนเท่านั้น กฎเกณฑ์อันศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดที่คนไทยหวังถูกอำนาจเงินบิดเบือนเอาไปใช้เพื่อแสวงหาประโยชนแก่ตัวบุคคล และกลุ่มบุคคลซึ่งไม่มีทางที่ใครจะคัดค้านท้วงติงได้

ตัวบทกฎหมาย ขนบประเพณีและความถูกต้องทุกประการจะถูกบิดเบนไปเพื่อผลประโยชน์ของพวกเดียรัจฉานทางการเมืองพวกนี้ทั้งสิ้น

ตัวอย่างมีมากมายที่เขียนกันได้และบอกกันได้เป็นรายปียังไม่จบ เฉพาะการทรยศต่อกฎหมายรัฐธรรมนูญ ที่ศาลรัฐธรรมนูญหรือคนสำคัญในบ้านเมืองทั้งตำรวจทหารหรือผู้มีอำนาจทุกรายจะทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อผลประโยชน์ของตัวเองและสมุนบริวารอย่างไม่ยอมหยุดยั้ง

รายงานที่ผมไม่จำเป็นต้องเขียนขึ้นมาเอง แต่ลอกเอามาจากรายงานของหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน ฉบับวันที่ 26 พฤษภาคม ที่ผ่านมา ก็ดูเหมือนจะมากพอสำหรับยืนยันความจริงทั้งหมดที่ผมพูดมาแล้ว นั่นคือพาดหัวข่าวที่ว่า “จวก กกต.เมินพระราชดำรัส” ดูเหมือนจะเป็นคำยืนยันที่มากเกินพอสำหรับการกินบ้านกินเมืองของเดียรัจฉานทางการเมืองในขณะนี้

รายละเอียดของพาดหัวข่าวครั้งนี้ ที่ผมไม่จำเป็นต้องเขียนขึ้นมาจากสติปัญญาส่วนหนึ่งส่วนใดของผมเองก็คือข้อความที่เป็นหัวข่าวที่เขียนต่อมาคือข้อความสั้นๆ ดังนี้ “กกต. เสนอวันที่ 15 ต.ค.เป็นวันเลือกตั้งขณะที่ผู้พิพากษาศาลฎีการะบุเรื่องนี้ยังต้องรอ 3 ศาลตีความก่อนว่าองค์ประชุมครบตามจำนวน 4 ใน 5 เสียงหรือไม่ ส่วน 3 พรรคร่วมฝ่ายค้านนัดหารือวันนี้ ด้านนักวิชาการจวกรัฐบาล - กกต.แสดงท่าทีท้าทายมติ 3 ศาลเท่ากับไม่ยอมรับกระแสพระราชดำรัสขณะที่ศาลรธน.ไม่รับพิจารณาร้องเรียนให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ สวนอนุกรรมการ กกต.เรียกแกนนำ ทรท.สอบก่อนสรุปยุบพรรค “จรัญ”ระบุชัดกกต.เป็นต้นตอนวิกฤตชาติ องค์กรบิดเบี้ยวจนกลายเป็นเผด็จการเฉพาะกิจ”

ข้อความเท่านี้ก็น่าจะมากเกินไปที่จะทำความเข้าใจการเมืองอุบาทว์ของไทยในขณะนี้

เมื่อเป็นเช่นนั้น ผมไม่เห็นด้วยกับ ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจที่จะต้องเสียน้ำตาเพราะเดียรัจฉานทางการเมืองพวกนี้

แต่ถ้าคิดจะกระทืบกันให้ราบเป็นหน้ากลองไป ผมก็ขออนุโมทนาด้วย!!
กำลังโหลดความคิดเห็น