ผู้จัดการรายวัน - รวมพลังร่าง "ปฏิญญาธรรมศาสตร์" ปลุกประชาชนไล่ทรราช รักษาสถาบันกษัตริย์ด้วยชีวิต "สนธิ-ชัยอนันต์-ปราโมทย์" ชำแหละปฏิญญาฟินแลนด์ วางยุทธศาสตร์ “คว่ำฟ้า พลิกแผ่นดิน” เพื่อให้สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นแค่สัญลักษณ์ วางแผนสถาปนาตัวเองขึ้นเป็นประธานาธิบดีผ่านระบบเลือกตั้งผู้ว่าฯซีอีโอ ระบุ "ทักษิณ"ไม่ควรเป็นประธานจัดงานฉลองครองราชย์ 60 ปี “เกรียงกมล”หนึ่งในคนเดือนตุลาฯ ที่ร่วมก๊วนฟินแลนด์" โผล่ ท้า "ปราโมทย์-โสภณ" ออกทีวีสด โต้ "ยุทธศาสตร์อุบาวท์"
ที่หอประชุมใหญ่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ วานนี้ (24 พ.ค.) มีการจัด เสวนาทางวิชาการเรื่อง "ปฏิญญาฟินแลนด์ ยุทธศาสตร์ครองเมืองของไทยรักไทย ?" โดยผู้เสวนาประกอบด้วยนายปราโมทย์ นาครทรรพ นักวิชาการอิสระ, นายชัยอนันต์ สมุทรวณิช ผู้บังคับการโรงเรียนวชิราวุธวิทยาลัย และนายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ และแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย มี นายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง รักษาการ ส.ว.กทม.เป็นผู้ดำเนินรายการ
นายสนธิ ถึงที่มาของปฎิญญาฟินแลนด์ว่า พันธมิตรฯไม่เคยรู้มาก่อน มาทราบเมื่อตอนที่มีอดีตพรรคพวกของคนในพรรคไทยรักไทย ไปขึ้นปราศรัยบนเวทีที่ท้องสนามหลวง แล้วมาเล่าให้แกนนำพันธมิตรฯฟังว่า มีการไปฟินแลนด์และทำข้อตกลงในหลายๆ เรื่อง โดยมีการไปล่องเรือกัน ขณะนั้นมีคนอ้วนไปยืนบนดาดฟ้าเรืองแล้วตะโกนว่า "เราจะคว่ำฟ้า พลิกแผ่นดิน"
**ผลกระทบปฎิญญาฟินแลนด์ต่อสถาบัน
นายสนธิ กล่าวว่าผลกระทบจากการไปฟินแลนด์ครั้งนั้นได้เกิดขึ้นแล้วในปัจจุบัน โดยเฉพาะความพยายามที่จะให้สถาบันกลายเป็นเพียงสัญลักษณ์ ซึ่งการกระทำที่ชัดเจนคือการเปลี่ยนเพลงชาติ เปลี่ยนข้าราชการเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ เปลี่ยนบัตรประชาชนไม่ให้มีตราครุฑ การแต่งตั้งผู้ปฎิบัติงานแทนสมเด็จพระสังฆราช การละเมิดพระราชอำนาจในกรณีของคุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา ผู้ว่าฯสตง. รวมไปถึงโผโยกย้าย นายทหาร การไม่รับผิดชอบพระราชกฤษฎีกาแปรรูปการไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ
“ทั้งหมดถือเป็นการละเมินพระราชอำนาจอย่างชัดเจน ในทางกลับกันเมื่อผมออกมาเรียกร้องก็กลับถูกฟ้องร้องในคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ในขณะที่บางคนพูดว่า เพียงในหลวงกระซิบข้างหู กลับไม่มีการดำเนินการใดๆ ซึ่งทำให้ผมอดมองไม่ได้ว่า เป็นการทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ได้อย่างไร และระบบสถาบันพระมหากษัตริย์ของประเทศไม่เหมือนกับประเทศแถบตะวันตก แต่ของเรามีประเพณีที่อยู่มาอย่างยาวนาน ถึงแม้จะไม่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ แต่เป็นการปฏิบัติสืบทอดมาโดยตลอด”
นายสนธิ กล่าวว่า พรรคไทยรักไทยเคยใช้คำพูดกับประชาชนในกลุ่มรากหญ้า ว่าไม่มีใครที่สนใจแก้ปัญหาความยากจนเหมือนกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องจริงเพราะตลอด 60 ปีที่ผ่านมา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงแก้ปัญหาเรื่องนี้มาตลอด ไม่ทราบว่าพรรคไทยรักไทยพูดเรื่องนี้ได้อย่างไร และทำไมไม่มีใครนำเรื่องนี้ออกมาพูด
**ปฏิรูประบบราชการกรุยทางสู่ประธานาธิบดี
ส่วนการปฏิรูประบบราชการให้เป็นซีอีโอที่ดูเหมือนว่ามีอำนาจ แต่ความจริง ไม่มีเลย การสั่งการจะมาจากนายกฯเพียงคนเดียว และเมื่อทำอย่างนี้ได้จังหวัดก็จะกลายเป็นนิติบุคคล และเมื่อทำการสร้างระบบนี้ได้สมบูรณ์ทางพรรคไทยรักไทย พยายามให้เกิดการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดขึ้น เพื่อที่จะส่งคนเข้าไปในแต่ละจังหวัดตัวอย่างเช่น ถ้าเป็นเชียงรายก็เป็น นายยงยุทธ ติยะไพรัช ถ้าเป็นบุรีรัมย์ก็จะเป็น นายเนวิน ชิดชอบ หรือใครก็ได้ที่คุมได้ก็จะส่งลงไป
“ อย่าลืมว่าจังหวัดของเราไม่ได้เป็นมณฑลเหมือนจีน ที่ผู้ว่ามณฑลมีอำนาจตัดสินเด็ดขาดให้ใครมาทำธุรกิจ อยากจะเวนคืนที่ดินก็สามารถทำได้ทันที จึงเป็นที่มาว่า ทำไมพรรคไทยรักไทยจึงอยากให้เป็นพรรคการเมืองพรรคเดียวในประเทศไทย ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็จะกลายเป็นประธานธิบดีเหมือนประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่อคุมรัฐบาล ข้าราชการ ให้เป็นของตนเอง และถ้าใครไม่ใช่พวกก็จะเตะออกไป”
**ให้ปชช.เป็นหนี้ก่อนใช้ประชานิยมซื้อ
นายสนธิ กล่าว ต่อว่า ถ้ารัฐบาลยึดมั่นในเศรษฐกิจพอเพียงจริงจะต้องไม่ใช่ นโยบายที่เป็นอยู่ในเวลานี้ที่สร้างประชาชนเป็นหนี้ซึ่งเป็นสิ่งที่พรรคไทยรักไทยชอบ เพราะสามารถที่จะเข้าไปดึงมวลชนจากรากหญ้าโดยใช้ภาษีของชนชั้นกลางมาเป็น นโยบายประชาชนนิยม ถ้าประชานิยมหมดก็จะเสนอเงื่อนไขอื่นขึ้นมาแทน เช่น ถ้ากองทุนหมู่บ้านหมดก็จะให้เอสเอ็มแอลแทนเพื่อเอาใจรากหญ้า เพื่อให้ข้าราชการ มาเป็นคนของเขาและที่สำคัญจะมีการคอรัปชั่นจากนโยบายเมกกะโปรเจกต์อย่างมหาศาล ตัวใหญ่หน่อยก็จะกิน 20 % ก็จะโยนเศษเนื้อติดกระดูกไปให้กับพรรคพวกสร้างความฉิบหายให้กับประเทศไทย และให้คนไทยเป็นทาสของเขา
“ เรื่องเศรษฐกิจพอเพียงที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีกระแสพระราชดำรัส ไม่ใช่มีแต่นัยเรื่องเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว แต่มีเรื่องศีลธรรมด้วย ที่ต้องการให้มีศีลธรรมในตัวเองแต่ถ้าเขายังเห็นเงินแป็นพระเจ้าก็จะเกิดการฆ่ากันเพื่อแย่งเงินเพราะตอนนี้ทุกคนรู้แล้วว่าเงินสามารถได้มาซึ่งอำนาจ และจากที่ผมศึกษาประวัติศาสตร์ไม่มียุคไหนที่ประเทศชาติจะเกิดภัยพิบัติมากมายเท่ากับยุคของพ.ต.ท.ทักษิณมาก่อน ถือเป็นคราวโชคร้ายของประเทศที่มีคนซวยๆมาบริหาร”
**มั่นใจ"ทักษิณ" พ้นสภาพนายกฯ แล้ว
นายสนธิ กล่าวต่อว่า เรื่องปฏิญญาฟินแลนด์เป็นเรื่องคนอกหัก 3 กลุ่มคือ 1.พวกคนเข้าป่าที่กลับมาอยู่ในเมือง 2.กลุ่ม พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งเป็นคนที่ไม่เชื่อในระบบประชาธิปไตย ออกจากพรรคพลังธรรมมาก็มาตั้งพรรคไทยรักไทย และมาเจอกลุ่มที่ 3 คือนายพันธ์ศักดิ์ วิญญรัตน์ ซึ่งการบริหารพรรคของ พ.ต.ท.ทักษิณ เหมือนกับการบริหารบริษัท การกลับมาของทักษิณอ้างว่าวิกฤติยาเสพติด อ้างการแก้ปัญหาภาคใต้ที่พล.ต.อ.ชิดชัย วรรณสถิตย์ รองนายกฯ และ รมว.ยุติธรรมแก้ไม่ได้ ปัญหาเศรษฐกิจที่ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯและทนง พิทยะ รมว.คลัง แก้ไม่ได้ ซึ่งแสดงว่าบรรดารองนายกฯ และรัฐมนตรีเป็นแค่เด็กรับใช้ ดังนั้นจึงต้องเข้ามาแก้ปัญหาด้วยตัวเอง
นายสนธิ ยังกล่าวถึงสถานภาพของ พ.ต.ท.ทักษิณ ในการเป็นนายกฯ ว่า หลังจากที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ประกาศเว้นวรรคเมื่อเดือน เม.ย.ถือว่าพ้นสภาพแล้ว เพราะเขาเองประกาศว่าจะขอลาออกจนกว่าจะมีรัฐบาลใหม่ ดังนั้นจึงถือว่าเป็นการออกไปแล้ว ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 215 รวมทั้งหนังสือเวียนที่ส่งไปให้หน่วยราชการต่าง ๆ ก็บอกว่าเป็นการลางาน และคดีเรื่องนี้ศาลปกครองตัดสินว่าผิด พ.ต.ท.ทักษิณและครม.ต้องหลักจากสภาพการเป็นรัฐมนตรีทันที ดังนั้นประชาชนต้องช่วยกันจับตาดูว่าพวกเขาจะเคารพกฎหมายหรือไม่ ถ้าไม่เจอกันแน่
**สร้างทักษิณเป็นผู้นำมวลชนกระทบสถาบัน
ด้าน นายชัยอนันต์ กล่าวว่า ที่ผ่านมาพรรคการเมืองบางพรรคในประเทศไทย มีระบบบริหารที่กุมอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด มีรูปแบบการสร้างหัวหน้าพรรคให้มีลักษณะเป็นผู้นำมวลชน ในระยะยาวสถาบันกษัตริย์ จะถูกสถาบันพรรคการเมือง ล้อมกรอบ เนื่องจากนโยบายที่รัฐบาลใช้เม็ดเงินอัดฉีดไปที่รากหญ้าโดยตรง คือการพยายามสร้างประชาชนให้เป็นของตนเอง ตลอดระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมาไม่เคยเห็นการสร้างพรรคไทยรักไทย เท่าการสร้างตัว พ.ต.ท.ทักษิณ
“วันนี้ประชาชนไม่ได้สนับสนุนพรรคไทยรักไทย แต่สนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ เพียงคนเดียว หากสถานการณ์ดำเนินต่อไปเช่นนี้สถาบันกษัตริย์ จะมีบทบาทในแง่พิธีการเท่านั้น วันนี้เขาคิดว่าต้องแปลงสินทรัพย์ทุกอย่างให้เป็นทุน เอารัฐวิสาหกิจเข้าตลาดหุ้น ให้พรรคพวกในรัฐบาลเข้ามาครอบครองเพื่อใช้ระบบทุนอย่างเต็มรูป ในปั้นปลายของระบบอำนาจทางการเมืองจะอยู่ที่ผู้ ควบคุมกฏการเคลื่อนไหวของทุน วันนี้เขากำลังทำให้ทุนเป็นใหญ่ เพื่อคุมอำนาจทางการเมือง กระทั่งสถาบันกษัตริย์กลายเป็นสัญลักษณ์ในที่สุด วันนี้มีประชาชนเทิดทูนทักษิณ ใครจะไปแตะไม่ได้”
**วางแผนหาทุนสร้างฐานการเมืองเพื่อตัวเอง
นายชัยอนันต์ กล่าวว่า การปฏิรูประบบราชการโดยการแยกระทรวงขึ้นมา เช่น การตั้งกระทรวงไอซีทีเพื่อต้องการให้เข้ามาดูกิจการโทรคมนาคมแต่ขณะนี้ดูเหมือนว่า กระทรวงไอซีทีไม่มีบทบาทแล้วเพราะมีการแก้ไข พ.ร.บ.กิจการโทรคมนาคมเรื่องสัดส่วนของผู้ถือหุ้นไปแล้ว และ การปฏิรูปรัฐวิสาหกิจของไทยก็เพื่อให้เงินเข้ามา ในตลาดทุน ซึ่งในตลาดก็เต็มไปด้วยพรรคพวกของรัฐบาลที่สามารถคุมได้ ซึ่งแตกต่างจากเดิมที่เป็นการควบคุมโดยผ่านบอร์ดบริหาร อย่างกรณี กฟผ. สามารถเข้ากระจายหุ้นในตลาดได้ก็จะทำให้มูลค่าของหุ้นบริษัทชินคอร์ป สูงขึ้นมหาศาลมากกว่าที่เพิ่งขายหุ้นไปให้กลุ่มทุนสิงคโปร์
นายชัยอนันต์กล่าวว่า ในเรื่องของทุนถ้าใครมีทุนมากก็สร้างฐานการเมือง ได้มากดังนั้นในเรื่องกรณีของ ทีพีไอ ทางฝ่ายตรงข้ามมองว่าจะเป็นแหล่งทุนใหญ่ในอนาคตจึงส่งผลให้ต้องถูกแทรกแซงโดยอำนาจรัฐ
นายชัยอนันต์ กล่าวด้วยว่า ปัจจุบันพรรคการเมืองมีอำนาจมาก โดยการควบคุมของคนๆ เดียว เวลาไปไหนมาไหนก็จะมีคนมาแห่แหนมอบดอกไม้ให้ ซึ่งการกระทำแบบนี้มีเพียงการที่ประชาชนไปรับเสด็จเท่านั้น ทั้งนี้เราต้องเชื่อมโยง พรรคการเมืองใหญ่ที่ต้องการรัฐบาลพรรคเดียว ซึ่งอำนาจการตัดสินใจจะอยู่ที่คณะบุคคล แต่พรรคไทยรักไทยกลับอยู่ที่หัวหน้าเพียงคนเดียว โดยอาศัยความชอบธรรมจากเสียงของการเลือกตั้ง ซึ่งเราก็รู้ว่ามาจากแผนการที่รัฐบาลสามารถกุมองค์กรอิสระต่างๆไว้ได้
**"ชัยอนันต์"ย้ำไม่เกินก.ค."ทักษิณ"ไปแน่
นอกจากนี้รัฐบาลทักษิณยังได้สร้างระบบซีอีโอเพื่อดึงอำนาจเข้าส่วนกลาง โดยใช้ประชานิยมเข้าแทรกแซงทำลายการปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งตนได้มีโอกาสคุยกับผู้ว่าราชการท่านหนึ่งบอกว่าทำงานได้เพียง 1 ปีก็ถูกโยกย้ายหรือถูกเปลี่ยนไปจังหวัดอื่น ๆ เพื่อสนองนายใหญ่ของซีอีโออีกทีหนึ่ง
นายชัยอนันต์ ยังกล่าวถึงกรณีที่เคยกล่าวไว้ว่า ในเดือน ก.ค.พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรไปแน่ว่า ประเมินมาจาก หลังงานพระราชพิธีเฉลิมพระเกียรติฯ หากศาลตัดสินว่า กกต. ต้องออกจากตำแหน่ง จากนั้นจะมีการคัดเลือก กกต. ชุดใหม่เข้ามาและจะมีการหยิบยกกรณีพรรคใหญ่จ้างพรรคเล็กลงเลือกตั้งมาพิจารณา เชื่อว่าอาจมีการตัดสินให้ยุบพรรคได้ ซึ่งท้ายที่สุด พ.ต.ท.ทักษิณต้องออก แต่หาก พ.ต.ท.ทักษิณ ยังคิดสู้นำประชาชนมาเผชิญหน้ากัน ท้ายสุดจะมีการแทรกแซง ก็จะทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องออกไปในที่สุด จึงขอย้ำว่าภายในเดือน ก.ค.ทักษิณ ต้องออกไปแน่นอน
**สุดชั่ววางแผนให้กษัตริย์เป็นเพียงสัญลักษณ์
ขณะที่ นายปราโมทย์ กล่าวว่า การปกครองประเทศไทยเป็นการปกครองระบอบประชาธิปไตย โดยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข แต่ในช่วงที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ขึ้นมามีความพยายามที่จะทำให้ระบอบประชาธิปไตยตกเป็นเบี้ยล่างของระบอบทุนนิยมเผด็จการ ซึ่งตนไม่รู้ว่าแผนการนี้จะเรียกว่าปฏิญญาฟินแลนด์ หรือปฏิญญาทักษิณ ซึ่งถือว่าชั่วช้าสามานย์และเป็นอันตรายต่อประเทศชาติมากกว่าระบอบเผด็จการคอมมิวนิสต์ โดยมียุทธศาสตร์คือให้กษัตริย์เป็นเพียงสัญลักษณ์เปลี่ยนระบบราชการเป็นเพียงเจ้าหน้าที่ของรัฐ ให้ข้าราชการเป็นข้าราชการของทักษิณ เช่น เป็นทหารของทักษิณ ตำรวจของทักษิณ เป็นการทำลายพัฒนาการของสังคมไทย ซึ่งน่าที่จะให้ประชาชนไทยมีส่วนร่วมในการปกครอง แต่ระบอบทักษิณกลับทำลายไปทั้งหมด
นายปราโมทย์ กล่าวว่า เรื่องการแปลงสินทรัพย์เป็นทุนในไทยทางรัฐบาลได้แนวคิดมาจาก นายดีโซโต้ ที่ปรึกษาของนายฟูจิมูริ อดีตประธานาธิบดีเปรู ที่ถูกกล่าวหาเรื่องคอร์รัปชั่นมากมาย ซึ่งแนวคิดนี้ถือเป็นเรื่องที่ส่งผลเสียต่อประเทศไทยมากเพราะเป็นการตีราคาทรัพย์สินของประเทศไปจำนองจำนำ เอาไปตีราคาเพื่อเป็นเครดิตของ ประเทศ ซึ่งจะเห็นได้จากการแปรรูป กฟผ. ที่มีการไปแปลงทรัพย์สินต่างๆ ที่เป็นของประชาชน เช่น เขื่อน สายส่ง เข้าไปด้วย
**ซัดพวกอั้งยี่การเมืองรวมกลุ่มหาประโยชน์
"พรรคไทยรักไทยไม่ใช่พรรคการเมือง แต่เป็นแก็งค์เลือกตั้ง ซึ่งรวบรวม ซื้อพรรคอื่นเข้ามาเพื่อให้ตัวเองชนะการเลือกตั้ง ซึ่งหลังหารเลือกตั้งมีการต่อรอง ในเรื่องผลประโยชน์ไม่มีที่สิ้นสุด จึงขอเรียกว่าเป็นอั้งยี่การเมือง คือรวมศูนย์อำนาจ ไว้ที่คน ๆ เดียว และให้คนไทยเป็นทาสของคน ๆ เดียว ซึ่งผมจะไม่ยอมให้ประเทศไทยมีพรรคการเมืองเพียงพรรคเดียวเหมือนประเทศที่เกิดใหม่ในอาฟริกา"
นายปราโมทย์ กล่าวว่า นอกจากนี้ระบอบทักษิณทำให้สังคมไทยเกิดการคอรัปชั่นที่เลวร้าย โดยการใช้ระบบซีอีโอสั่งจ่ายงบประมาณตามอำเภอใจปราศจาก การตรวจสอบเกิดโครงสร้างการคอรัปชั่นที่ไม่เคยเกิดขึ้นในประเทศไทยมาก่อน กลายเป็นว่าซีอีใหญ่ทำให้ซีอีเล็กเลวร้ายไปด้วย
**"ชัยอนันต์-ปราโมทย์"ขึ้นเวที ผู้นำไม่รอด
ทั้งนี้การเลือกตั้งวุฒิสภาที่ผ่านมาก็ถือเป็นแผนการหนึ่งที่จะทำให้คนของ พรรคไทยรักไทยเข้ามา เมื่อยุบสภาไปแล้วไม่มีส.ส.สมาชิกวุฒิสภาก็ควรจะออกไปด้วย ซึ่งขณะนี้จิตวิญญาณของคนไทยถูกปล้นไปหมดแล้ว
“ผมเชื่อว่ารัฐบาลทักษิณต้องล้ม เพราะเมื่อเดือนก.ย.ปี 2516 ก่อนเกิดเหตุ 14 ตุลา 16 ผมกับ อาจารย์ชัยอนันต์ได้มานั่งที่หอประชุมใหญ่ มธ. แห่งนี้ก่อนที่พลังประชาชนจะชุมนุมส่งผลให้ผู้นำเผด็จการ 3 คนซึ่งมีอำนาจล้นฟ้าในประเทศขณะนั้นต้องเดินทางออกจากประเทศไทยไป และในวันนี้ผมกับอาจารย์ชัยอนันต์กลับมานั่งตรงจุดเดิมอีกครั้ง หลังจากนี้ไปอีก 2 สัปดาห์อย่ากระพริบตาว่าจะมีเหตุการณ์ใดเกิดขึ้น”
**ประกาศปฏิญาธรรมศาสตร์สู้ปฏิญญาฟินแลนด์
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าหลังการเสวนา นายเจิมศักดิ์ ได้มีการเปิดโอกาสให้ประชาชนร่วมซักถาม โดยมีการเสนอว่า ไม่ควรให้ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นประธานการจัดงานราชพิธีเฉลิมฉลองงานครองราชย์ 60 ปี เพราะหวั่นเกรงว่า จะนำไปใช้หาผลประโยชน์ทางการค้าภายหลังพ้นจากตำแหน่งนายกฯ
นายเจิมศักดิ์ ยังได้เสนอให้ วิทยากรทั้ง 3 คน ช่วยกันทำการยกร่าง ปฏิญญาธรรมศาสตร์ขึ้นมา ประกอบด้วย 1.จะต้องร่วมกันสร้างสรรค์และปกป้องระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขไว้ด้วยชีวิต 2. เราจะต้องร่วมกันต่อสู้ทำลายรหัสลับฟินแลนด์อย่างไม่ลดละ ให้ล่มสลายไปภายใน3-7 วัน 3. ร่วมกันขับไล่ผู้ที่นำเอาทรัพย์สินของชาติไปขายเพื่อประโยชน์ส่วนตัวรวมทั้งคนที่ขายของแล้วไม่ยอมเสียภาษี
4. ประชาชนอย่านิ่งเฉย เพราะทุกคนเป็นสื่อในตัวเอง ควรจะต้องทำตัวเป็นสื่อ เพื่อกระจายเรื่องข้อเท็จจริงให้สังคมรับรู้ด้วยการอธิบายให้เข้าใจ ถ้าอธิบายแล้ว กลุ่มคนเหล่านั้นไม่ฟังก็ให้ทำตัวเป็ยอุเบกขาและนิ่งเฉยไม่ต้องสนใจ 5. ต้องให้โอกาสกลุ่มคนที่เป็นฐานอำนาจทางการเมืองของระบอบทักษิณ กลับตัวกลับใจ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนที่จะจบการเสวนาที่ได้มีผู้เข้าฟังแสดงความคิดเห็นว่า 40 คำถามที่ทักษิณ ไม่ยอมตอบนั้น ขอให้ประชาชนช่วยกันถามทุกวันเพื่อให้คนที่สนับสนุนทักษิณอย่างไม่ลืมหูลืมตาได้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น จากนั้นผู้เข้าฟังได้ตะโกนขับไล่ "ท้ากก....สิน... ออกไป" พร้อมกับเปิดเพลงคนหน้าเหลี่ยมก้องห้องประชุม
**"เกรียงกมล" ท้า"ปราโมทย์-โสภณ"ออกทีวี
นายเกรียงกมล เลาหะไพโรจน์ คนเดือนตุลา ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ยอมรับว่าเป็นผู้หนึ่งที่ร่วมเดินทางไปประเทศฟินแลนด์ด้วยกันกล่าว เชิงเปรียบเทียบว่า หากมีข่าวว่า มียานลำเลียงหุ้มเกราะจอดอยู่ในคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เต็มไปหมด อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จำเป็นต้องพาสื่อมวลชนเพื่อไปยืนยันว่า ไม่มีรถคันดังกล่าวอยู่ด้วยหรือ เพราะถือเป็นเรื่องที่ไร้สาระที่อธิการบดีไม่จำเป็นต้องชี้แจง เช่นเดียวกับเรื่อง "ปฏิญญาฟินแลนด์" ที่ถือเป็นเรื่องไร้สาระ ตนอยากขอเชิญนายโสภณ สุภาพงษ์ รักษาการส.ว.กทม. และนายปราโมทย์ นาครทัพ นักวิชาการอิสระ ให้นำเรื่อง "ปริญญาฟินแลนด์"มาวิจารณ์ ออกรายการสดทางโทรทัศน์ช่องใดก็ได้ร่วมกับตน
ที่หอประชุมใหญ่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ วานนี้ (24 พ.ค.) มีการจัด เสวนาทางวิชาการเรื่อง "ปฏิญญาฟินแลนด์ ยุทธศาสตร์ครองเมืองของไทยรักไทย ?" โดยผู้เสวนาประกอบด้วยนายปราโมทย์ นาครทรรพ นักวิชาการอิสระ, นายชัยอนันต์ สมุทรวณิช ผู้บังคับการโรงเรียนวชิราวุธวิทยาลัย และนายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ และแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย มี นายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง รักษาการ ส.ว.กทม.เป็นผู้ดำเนินรายการ
นายสนธิ ถึงที่มาของปฎิญญาฟินแลนด์ว่า พันธมิตรฯไม่เคยรู้มาก่อน มาทราบเมื่อตอนที่มีอดีตพรรคพวกของคนในพรรคไทยรักไทย ไปขึ้นปราศรัยบนเวทีที่ท้องสนามหลวง แล้วมาเล่าให้แกนนำพันธมิตรฯฟังว่า มีการไปฟินแลนด์และทำข้อตกลงในหลายๆ เรื่อง โดยมีการไปล่องเรือกัน ขณะนั้นมีคนอ้วนไปยืนบนดาดฟ้าเรืองแล้วตะโกนว่า "เราจะคว่ำฟ้า พลิกแผ่นดิน"
**ผลกระทบปฎิญญาฟินแลนด์ต่อสถาบัน
นายสนธิ กล่าวว่าผลกระทบจากการไปฟินแลนด์ครั้งนั้นได้เกิดขึ้นแล้วในปัจจุบัน โดยเฉพาะความพยายามที่จะให้สถาบันกลายเป็นเพียงสัญลักษณ์ ซึ่งการกระทำที่ชัดเจนคือการเปลี่ยนเพลงชาติ เปลี่ยนข้าราชการเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ เปลี่ยนบัตรประชาชนไม่ให้มีตราครุฑ การแต่งตั้งผู้ปฎิบัติงานแทนสมเด็จพระสังฆราช การละเมิดพระราชอำนาจในกรณีของคุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา ผู้ว่าฯสตง. รวมไปถึงโผโยกย้าย นายทหาร การไม่รับผิดชอบพระราชกฤษฎีกาแปรรูปการไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ
“ทั้งหมดถือเป็นการละเมินพระราชอำนาจอย่างชัดเจน ในทางกลับกันเมื่อผมออกมาเรียกร้องก็กลับถูกฟ้องร้องในคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ในขณะที่บางคนพูดว่า เพียงในหลวงกระซิบข้างหู กลับไม่มีการดำเนินการใดๆ ซึ่งทำให้ผมอดมองไม่ได้ว่า เป็นการทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ได้อย่างไร และระบบสถาบันพระมหากษัตริย์ของประเทศไม่เหมือนกับประเทศแถบตะวันตก แต่ของเรามีประเพณีที่อยู่มาอย่างยาวนาน ถึงแม้จะไม่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ แต่เป็นการปฏิบัติสืบทอดมาโดยตลอด”
นายสนธิ กล่าวว่า พรรคไทยรักไทยเคยใช้คำพูดกับประชาชนในกลุ่มรากหญ้า ว่าไม่มีใครที่สนใจแก้ปัญหาความยากจนเหมือนกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องจริงเพราะตลอด 60 ปีที่ผ่านมา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงแก้ปัญหาเรื่องนี้มาตลอด ไม่ทราบว่าพรรคไทยรักไทยพูดเรื่องนี้ได้อย่างไร และทำไมไม่มีใครนำเรื่องนี้ออกมาพูด
**ปฏิรูประบบราชการกรุยทางสู่ประธานาธิบดี
ส่วนการปฏิรูประบบราชการให้เป็นซีอีโอที่ดูเหมือนว่ามีอำนาจ แต่ความจริง ไม่มีเลย การสั่งการจะมาจากนายกฯเพียงคนเดียว และเมื่อทำอย่างนี้ได้จังหวัดก็จะกลายเป็นนิติบุคคล และเมื่อทำการสร้างระบบนี้ได้สมบูรณ์ทางพรรคไทยรักไทย พยายามให้เกิดการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดขึ้น เพื่อที่จะส่งคนเข้าไปในแต่ละจังหวัดตัวอย่างเช่น ถ้าเป็นเชียงรายก็เป็น นายยงยุทธ ติยะไพรัช ถ้าเป็นบุรีรัมย์ก็จะเป็น นายเนวิน ชิดชอบ หรือใครก็ได้ที่คุมได้ก็จะส่งลงไป
“ อย่าลืมว่าจังหวัดของเราไม่ได้เป็นมณฑลเหมือนจีน ที่ผู้ว่ามณฑลมีอำนาจตัดสินเด็ดขาดให้ใครมาทำธุรกิจ อยากจะเวนคืนที่ดินก็สามารถทำได้ทันที จึงเป็นที่มาว่า ทำไมพรรคไทยรักไทยจึงอยากให้เป็นพรรคการเมืองพรรคเดียวในประเทศไทย ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็จะกลายเป็นประธานธิบดีเหมือนประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่อคุมรัฐบาล ข้าราชการ ให้เป็นของตนเอง และถ้าใครไม่ใช่พวกก็จะเตะออกไป”
**ให้ปชช.เป็นหนี้ก่อนใช้ประชานิยมซื้อ
นายสนธิ กล่าว ต่อว่า ถ้ารัฐบาลยึดมั่นในเศรษฐกิจพอเพียงจริงจะต้องไม่ใช่ นโยบายที่เป็นอยู่ในเวลานี้ที่สร้างประชาชนเป็นหนี้ซึ่งเป็นสิ่งที่พรรคไทยรักไทยชอบ เพราะสามารถที่จะเข้าไปดึงมวลชนจากรากหญ้าโดยใช้ภาษีของชนชั้นกลางมาเป็น นโยบายประชาชนนิยม ถ้าประชานิยมหมดก็จะเสนอเงื่อนไขอื่นขึ้นมาแทน เช่น ถ้ากองทุนหมู่บ้านหมดก็จะให้เอสเอ็มแอลแทนเพื่อเอาใจรากหญ้า เพื่อให้ข้าราชการ มาเป็นคนของเขาและที่สำคัญจะมีการคอรัปชั่นจากนโยบายเมกกะโปรเจกต์อย่างมหาศาล ตัวใหญ่หน่อยก็จะกิน 20 % ก็จะโยนเศษเนื้อติดกระดูกไปให้กับพรรคพวกสร้างความฉิบหายให้กับประเทศไทย และให้คนไทยเป็นทาสของเขา
“ เรื่องเศรษฐกิจพอเพียงที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีกระแสพระราชดำรัส ไม่ใช่มีแต่นัยเรื่องเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว แต่มีเรื่องศีลธรรมด้วย ที่ต้องการให้มีศีลธรรมในตัวเองแต่ถ้าเขายังเห็นเงินแป็นพระเจ้าก็จะเกิดการฆ่ากันเพื่อแย่งเงินเพราะตอนนี้ทุกคนรู้แล้วว่าเงินสามารถได้มาซึ่งอำนาจ และจากที่ผมศึกษาประวัติศาสตร์ไม่มียุคไหนที่ประเทศชาติจะเกิดภัยพิบัติมากมายเท่ากับยุคของพ.ต.ท.ทักษิณมาก่อน ถือเป็นคราวโชคร้ายของประเทศที่มีคนซวยๆมาบริหาร”
**มั่นใจ"ทักษิณ" พ้นสภาพนายกฯ แล้ว
นายสนธิ กล่าวต่อว่า เรื่องปฏิญญาฟินแลนด์เป็นเรื่องคนอกหัก 3 กลุ่มคือ 1.พวกคนเข้าป่าที่กลับมาอยู่ในเมือง 2.กลุ่ม พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งเป็นคนที่ไม่เชื่อในระบบประชาธิปไตย ออกจากพรรคพลังธรรมมาก็มาตั้งพรรคไทยรักไทย และมาเจอกลุ่มที่ 3 คือนายพันธ์ศักดิ์ วิญญรัตน์ ซึ่งการบริหารพรรคของ พ.ต.ท.ทักษิณ เหมือนกับการบริหารบริษัท การกลับมาของทักษิณอ้างว่าวิกฤติยาเสพติด อ้างการแก้ปัญหาภาคใต้ที่พล.ต.อ.ชิดชัย วรรณสถิตย์ รองนายกฯ และ รมว.ยุติธรรมแก้ไม่ได้ ปัญหาเศรษฐกิจที่ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯและทนง พิทยะ รมว.คลัง แก้ไม่ได้ ซึ่งแสดงว่าบรรดารองนายกฯ และรัฐมนตรีเป็นแค่เด็กรับใช้ ดังนั้นจึงต้องเข้ามาแก้ปัญหาด้วยตัวเอง
นายสนธิ ยังกล่าวถึงสถานภาพของ พ.ต.ท.ทักษิณ ในการเป็นนายกฯ ว่า หลังจากที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ประกาศเว้นวรรคเมื่อเดือน เม.ย.ถือว่าพ้นสภาพแล้ว เพราะเขาเองประกาศว่าจะขอลาออกจนกว่าจะมีรัฐบาลใหม่ ดังนั้นจึงถือว่าเป็นการออกไปแล้ว ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 215 รวมทั้งหนังสือเวียนที่ส่งไปให้หน่วยราชการต่าง ๆ ก็บอกว่าเป็นการลางาน และคดีเรื่องนี้ศาลปกครองตัดสินว่าผิด พ.ต.ท.ทักษิณและครม.ต้องหลักจากสภาพการเป็นรัฐมนตรีทันที ดังนั้นประชาชนต้องช่วยกันจับตาดูว่าพวกเขาจะเคารพกฎหมายหรือไม่ ถ้าไม่เจอกันแน่
**สร้างทักษิณเป็นผู้นำมวลชนกระทบสถาบัน
ด้าน นายชัยอนันต์ กล่าวว่า ที่ผ่านมาพรรคการเมืองบางพรรคในประเทศไทย มีระบบบริหารที่กุมอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด มีรูปแบบการสร้างหัวหน้าพรรคให้มีลักษณะเป็นผู้นำมวลชน ในระยะยาวสถาบันกษัตริย์ จะถูกสถาบันพรรคการเมือง ล้อมกรอบ เนื่องจากนโยบายที่รัฐบาลใช้เม็ดเงินอัดฉีดไปที่รากหญ้าโดยตรง คือการพยายามสร้างประชาชนให้เป็นของตนเอง ตลอดระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมาไม่เคยเห็นการสร้างพรรคไทยรักไทย เท่าการสร้างตัว พ.ต.ท.ทักษิณ
“วันนี้ประชาชนไม่ได้สนับสนุนพรรคไทยรักไทย แต่สนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ เพียงคนเดียว หากสถานการณ์ดำเนินต่อไปเช่นนี้สถาบันกษัตริย์ จะมีบทบาทในแง่พิธีการเท่านั้น วันนี้เขาคิดว่าต้องแปลงสินทรัพย์ทุกอย่างให้เป็นทุน เอารัฐวิสาหกิจเข้าตลาดหุ้น ให้พรรคพวกในรัฐบาลเข้ามาครอบครองเพื่อใช้ระบบทุนอย่างเต็มรูป ในปั้นปลายของระบบอำนาจทางการเมืองจะอยู่ที่ผู้ ควบคุมกฏการเคลื่อนไหวของทุน วันนี้เขากำลังทำให้ทุนเป็นใหญ่ เพื่อคุมอำนาจทางการเมือง กระทั่งสถาบันกษัตริย์กลายเป็นสัญลักษณ์ในที่สุด วันนี้มีประชาชนเทิดทูนทักษิณ ใครจะไปแตะไม่ได้”
**วางแผนหาทุนสร้างฐานการเมืองเพื่อตัวเอง
นายชัยอนันต์ กล่าวว่า การปฏิรูประบบราชการโดยการแยกระทรวงขึ้นมา เช่น การตั้งกระทรวงไอซีทีเพื่อต้องการให้เข้ามาดูกิจการโทรคมนาคมแต่ขณะนี้ดูเหมือนว่า กระทรวงไอซีทีไม่มีบทบาทแล้วเพราะมีการแก้ไข พ.ร.บ.กิจการโทรคมนาคมเรื่องสัดส่วนของผู้ถือหุ้นไปแล้ว และ การปฏิรูปรัฐวิสาหกิจของไทยก็เพื่อให้เงินเข้ามา ในตลาดทุน ซึ่งในตลาดก็เต็มไปด้วยพรรคพวกของรัฐบาลที่สามารถคุมได้ ซึ่งแตกต่างจากเดิมที่เป็นการควบคุมโดยผ่านบอร์ดบริหาร อย่างกรณี กฟผ. สามารถเข้ากระจายหุ้นในตลาดได้ก็จะทำให้มูลค่าของหุ้นบริษัทชินคอร์ป สูงขึ้นมหาศาลมากกว่าที่เพิ่งขายหุ้นไปให้กลุ่มทุนสิงคโปร์
นายชัยอนันต์กล่าวว่า ในเรื่องของทุนถ้าใครมีทุนมากก็สร้างฐานการเมือง ได้มากดังนั้นในเรื่องกรณีของ ทีพีไอ ทางฝ่ายตรงข้ามมองว่าจะเป็นแหล่งทุนใหญ่ในอนาคตจึงส่งผลให้ต้องถูกแทรกแซงโดยอำนาจรัฐ
นายชัยอนันต์ กล่าวด้วยว่า ปัจจุบันพรรคการเมืองมีอำนาจมาก โดยการควบคุมของคนๆ เดียว เวลาไปไหนมาไหนก็จะมีคนมาแห่แหนมอบดอกไม้ให้ ซึ่งการกระทำแบบนี้มีเพียงการที่ประชาชนไปรับเสด็จเท่านั้น ทั้งนี้เราต้องเชื่อมโยง พรรคการเมืองใหญ่ที่ต้องการรัฐบาลพรรคเดียว ซึ่งอำนาจการตัดสินใจจะอยู่ที่คณะบุคคล แต่พรรคไทยรักไทยกลับอยู่ที่หัวหน้าเพียงคนเดียว โดยอาศัยความชอบธรรมจากเสียงของการเลือกตั้ง ซึ่งเราก็รู้ว่ามาจากแผนการที่รัฐบาลสามารถกุมองค์กรอิสระต่างๆไว้ได้
**"ชัยอนันต์"ย้ำไม่เกินก.ค."ทักษิณ"ไปแน่
นอกจากนี้รัฐบาลทักษิณยังได้สร้างระบบซีอีโอเพื่อดึงอำนาจเข้าส่วนกลาง โดยใช้ประชานิยมเข้าแทรกแซงทำลายการปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งตนได้มีโอกาสคุยกับผู้ว่าราชการท่านหนึ่งบอกว่าทำงานได้เพียง 1 ปีก็ถูกโยกย้ายหรือถูกเปลี่ยนไปจังหวัดอื่น ๆ เพื่อสนองนายใหญ่ของซีอีโออีกทีหนึ่ง
นายชัยอนันต์ ยังกล่าวถึงกรณีที่เคยกล่าวไว้ว่า ในเดือน ก.ค.พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรไปแน่ว่า ประเมินมาจาก หลังงานพระราชพิธีเฉลิมพระเกียรติฯ หากศาลตัดสินว่า กกต. ต้องออกจากตำแหน่ง จากนั้นจะมีการคัดเลือก กกต. ชุดใหม่เข้ามาและจะมีการหยิบยกกรณีพรรคใหญ่จ้างพรรคเล็กลงเลือกตั้งมาพิจารณา เชื่อว่าอาจมีการตัดสินให้ยุบพรรคได้ ซึ่งท้ายที่สุด พ.ต.ท.ทักษิณต้องออก แต่หาก พ.ต.ท.ทักษิณ ยังคิดสู้นำประชาชนมาเผชิญหน้ากัน ท้ายสุดจะมีการแทรกแซง ก็จะทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องออกไปในที่สุด จึงขอย้ำว่าภายในเดือน ก.ค.ทักษิณ ต้องออกไปแน่นอน
**สุดชั่ววางแผนให้กษัตริย์เป็นเพียงสัญลักษณ์
ขณะที่ นายปราโมทย์ กล่าวว่า การปกครองประเทศไทยเป็นการปกครองระบอบประชาธิปไตย โดยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข แต่ในช่วงที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ขึ้นมามีความพยายามที่จะทำให้ระบอบประชาธิปไตยตกเป็นเบี้ยล่างของระบอบทุนนิยมเผด็จการ ซึ่งตนไม่รู้ว่าแผนการนี้จะเรียกว่าปฏิญญาฟินแลนด์ หรือปฏิญญาทักษิณ ซึ่งถือว่าชั่วช้าสามานย์และเป็นอันตรายต่อประเทศชาติมากกว่าระบอบเผด็จการคอมมิวนิสต์ โดยมียุทธศาสตร์คือให้กษัตริย์เป็นเพียงสัญลักษณ์เปลี่ยนระบบราชการเป็นเพียงเจ้าหน้าที่ของรัฐ ให้ข้าราชการเป็นข้าราชการของทักษิณ เช่น เป็นทหารของทักษิณ ตำรวจของทักษิณ เป็นการทำลายพัฒนาการของสังคมไทย ซึ่งน่าที่จะให้ประชาชนไทยมีส่วนร่วมในการปกครอง แต่ระบอบทักษิณกลับทำลายไปทั้งหมด
นายปราโมทย์ กล่าวว่า เรื่องการแปลงสินทรัพย์เป็นทุนในไทยทางรัฐบาลได้แนวคิดมาจาก นายดีโซโต้ ที่ปรึกษาของนายฟูจิมูริ อดีตประธานาธิบดีเปรู ที่ถูกกล่าวหาเรื่องคอร์รัปชั่นมากมาย ซึ่งแนวคิดนี้ถือเป็นเรื่องที่ส่งผลเสียต่อประเทศไทยมากเพราะเป็นการตีราคาทรัพย์สินของประเทศไปจำนองจำนำ เอาไปตีราคาเพื่อเป็นเครดิตของ ประเทศ ซึ่งจะเห็นได้จากการแปรรูป กฟผ. ที่มีการไปแปลงทรัพย์สินต่างๆ ที่เป็นของประชาชน เช่น เขื่อน สายส่ง เข้าไปด้วย
**ซัดพวกอั้งยี่การเมืองรวมกลุ่มหาประโยชน์
"พรรคไทยรักไทยไม่ใช่พรรคการเมือง แต่เป็นแก็งค์เลือกตั้ง ซึ่งรวบรวม ซื้อพรรคอื่นเข้ามาเพื่อให้ตัวเองชนะการเลือกตั้ง ซึ่งหลังหารเลือกตั้งมีการต่อรอง ในเรื่องผลประโยชน์ไม่มีที่สิ้นสุด จึงขอเรียกว่าเป็นอั้งยี่การเมือง คือรวมศูนย์อำนาจ ไว้ที่คน ๆ เดียว และให้คนไทยเป็นทาสของคน ๆ เดียว ซึ่งผมจะไม่ยอมให้ประเทศไทยมีพรรคการเมืองเพียงพรรคเดียวเหมือนประเทศที่เกิดใหม่ในอาฟริกา"
นายปราโมทย์ กล่าวว่า นอกจากนี้ระบอบทักษิณทำให้สังคมไทยเกิดการคอรัปชั่นที่เลวร้าย โดยการใช้ระบบซีอีโอสั่งจ่ายงบประมาณตามอำเภอใจปราศจาก การตรวจสอบเกิดโครงสร้างการคอรัปชั่นที่ไม่เคยเกิดขึ้นในประเทศไทยมาก่อน กลายเป็นว่าซีอีใหญ่ทำให้ซีอีเล็กเลวร้ายไปด้วย
**"ชัยอนันต์-ปราโมทย์"ขึ้นเวที ผู้นำไม่รอด
ทั้งนี้การเลือกตั้งวุฒิสภาที่ผ่านมาก็ถือเป็นแผนการหนึ่งที่จะทำให้คนของ พรรคไทยรักไทยเข้ามา เมื่อยุบสภาไปแล้วไม่มีส.ส.สมาชิกวุฒิสภาก็ควรจะออกไปด้วย ซึ่งขณะนี้จิตวิญญาณของคนไทยถูกปล้นไปหมดแล้ว
“ผมเชื่อว่ารัฐบาลทักษิณต้องล้ม เพราะเมื่อเดือนก.ย.ปี 2516 ก่อนเกิดเหตุ 14 ตุลา 16 ผมกับ อาจารย์ชัยอนันต์ได้มานั่งที่หอประชุมใหญ่ มธ. แห่งนี้ก่อนที่พลังประชาชนจะชุมนุมส่งผลให้ผู้นำเผด็จการ 3 คนซึ่งมีอำนาจล้นฟ้าในประเทศขณะนั้นต้องเดินทางออกจากประเทศไทยไป และในวันนี้ผมกับอาจารย์ชัยอนันต์กลับมานั่งตรงจุดเดิมอีกครั้ง หลังจากนี้ไปอีก 2 สัปดาห์อย่ากระพริบตาว่าจะมีเหตุการณ์ใดเกิดขึ้น”
**ประกาศปฏิญาธรรมศาสตร์สู้ปฏิญญาฟินแลนด์
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าหลังการเสวนา นายเจิมศักดิ์ ได้มีการเปิดโอกาสให้ประชาชนร่วมซักถาม โดยมีการเสนอว่า ไม่ควรให้ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นประธานการจัดงานราชพิธีเฉลิมฉลองงานครองราชย์ 60 ปี เพราะหวั่นเกรงว่า จะนำไปใช้หาผลประโยชน์ทางการค้าภายหลังพ้นจากตำแหน่งนายกฯ
นายเจิมศักดิ์ ยังได้เสนอให้ วิทยากรทั้ง 3 คน ช่วยกันทำการยกร่าง ปฏิญญาธรรมศาสตร์ขึ้นมา ประกอบด้วย 1.จะต้องร่วมกันสร้างสรรค์และปกป้องระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขไว้ด้วยชีวิต 2. เราจะต้องร่วมกันต่อสู้ทำลายรหัสลับฟินแลนด์อย่างไม่ลดละ ให้ล่มสลายไปภายใน3-7 วัน 3. ร่วมกันขับไล่ผู้ที่นำเอาทรัพย์สินของชาติไปขายเพื่อประโยชน์ส่วนตัวรวมทั้งคนที่ขายของแล้วไม่ยอมเสียภาษี
4. ประชาชนอย่านิ่งเฉย เพราะทุกคนเป็นสื่อในตัวเอง ควรจะต้องทำตัวเป็นสื่อ เพื่อกระจายเรื่องข้อเท็จจริงให้สังคมรับรู้ด้วยการอธิบายให้เข้าใจ ถ้าอธิบายแล้ว กลุ่มคนเหล่านั้นไม่ฟังก็ให้ทำตัวเป็ยอุเบกขาและนิ่งเฉยไม่ต้องสนใจ 5. ต้องให้โอกาสกลุ่มคนที่เป็นฐานอำนาจทางการเมืองของระบอบทักษิณ กลับตัวกลับใจ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนที่จะจบการเสวนาที่ได้มีผู้เข้าฟังแสดงความคิดเห็นว่า 40 คำถามที่ทักษิณ ไม่ยอมตอบนั้น ขอให้ประชาชนช่วยกันถามทุกวันเพื่อให้คนที่สนับสนุนทักษิณอย่างไม่ลืมหูลืมตาได้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น จากนั้นผู้เข้าฟังได้ตะโกนขับไล่ "ท้ากก....สิน... ออกไป" พร้อมกับเปิดเพลงคนหน้าเหลี่ยมก้องห้องประชุม
**"เกรียงกมล" ท้า"ปราโมทย์-โสภณ"ออกทีวี
นายเกรียงกมล เลาหะไพโรจน์ คนเดือนตุลา ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ยอมรับว่าเป็นผู้หนึ่งที่ร่วมเดินทางไปประเทศฟินแลนด์ด้วยกันกล่าว เชิงเปรียบเทียบว่า หากมีข่าวว่า มียานลำเลียงหุ้มเกราะจอดอยู่ในคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เต็มไปหมด อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จำเป็นต้องพาสื่อมวลชนเพื่อไปยืนยันว่า ไม่มีรถคันดังกล่าวอยู่ด้วยหรือ เพราะถือเป็นเรื่องที่ไร้สาระที่อธิการบดีไม่จำเป็นต้องชี้แจง เช่นเดียวกับเรื่อง "ปฏิญญาฟินแลนด์" ที่ถือเป็นเรื่องไร้สาระ ตนอยากขอเชิญนายโสภณ สุภาพงษ์ รักษาการส.ว.กทม. และนายปราโมทย์ นาครทัพ นักวิชาการอิสระ ให้นำเรื่อง "ปริญญาฟินแลนด์"มาวิจารณ์ ออกรายการสดทางโทรทัศน์ช่องใดก็ได้ร่วมกับตน