xs
xsm
sm
md
lg

ยุทธศาสตร์ฟินแลนด์: แผนเปลี่ยนการปกครองไทย? (4)

เผยแพร่:   โดย: ปราโมทย์ นาครทรรพ

ยุทธศาสตร์ลิดรอนพระราชอำนาจ ที่ผมแจกแจงเป็น 4 ยุทธการ ถูกโวยวายโดยเพื่อนใน ทรท.ว่าเกิดมาไม่เคยได้ยิน ก็เป็นความจริง จะได้ยินยังไง เพราะผมเป็นคนตั้งชื่อยุทธการนั้นๆ เอง ตามลักษณะของการปฏิบัติการโดยกลไกของพรรค ที่ผู้ปฏิบัติเองอาจจะไม่ได้รับคำสั่ง หรือไม่เข้าใจว่าตนกำลังทำอะไร เนื่องจากไม่มีใบสั่งที่ติดป้ายว่า “ยุทธการครอบสภา” มาด้วย มีแต่คำสั่งของวิปว่า เรื่องนี้ให้กดปุ่มนี้ เรื่องนี้ให้ยกมือ เรื่องนี้ให้ประท้วง พ.ร.บ.นี้ให้ผ่าน พ.ร.บ.นั้นไม่ให้ผ่านเท่านั้น

ผมได้บอกแล้วว่า โครงสร้างและพฤติกรรมของพรรคเป็นแบบ “รวมศูนย์-รวบอำนาจ-เป็นทาสหัวหน้า” บุคคลที่เป็นรัฐมนตรีรู้ชะตากรรมของตนเองไหมว่าพรุ่งนี้จะเป็นอะไร ผู้แทนราษฎรรู้ไหมว่าพรุ่งนี้จะยุบสภา ถ้าตอบว่าทุกคนรู้ดี เพราะมีการประชุมกลั่นกรองกันหลายชั้นแล้วทั้งในระดับกรรมการ ทั้งในที่ประชุม ส.ส. ทั้งในที่ประชุมใหญ่สมาชิกพรรค ก็แปลว่าพรรคเป็นพรรคที่แท้จริงในระบบพรรคการเมืองรัฐสภา ทุกอย่างจึงไม่ต้องขึ้นกับคำสั่งหรือเสียงซุบซิบว่านี่คือความประสงค์ของหัวหน้า และต้องไม่มีการแตกตื่นกับข่าวลือ

ตอนนี้มีข่าวลือใหญ่ออกมาอีกแล้ว ทักษิณกลับจากเข้าเฝ้าทีไร มีข่าวบันลือโลกทุกที ผมพูดไปแล้วเมื่อวานนี้ “ครั้งหลังพอเข้าเฝ้าเย็นศุกร์ที่ 19 เช้าจันทร์ที่ 21 พฤษภาคมนี้ก็จะกลับมาทำงาน ซ้ำยังมีการกระพือข่าวส่งไปถึงศาลว่าในหลวงทรงเห็นด้วยว่าจำเป็นจะต้องให้ กกต.ชุดเดิมคงอยู่” นี่แหละคือตัวอย่างของการ “ปั้นข่าว” คือการปั้นน้ำเป็นตัว หามูลความจริงมิได้

อีกระลอกยิ่งหนักเข้าไปอีก บอกว่า “ในหลวงสั่งให้รีบกลับเข้าทำงาน ไม่งั้นบ้านเมืองจะล่มจม แล้วให้รีบออก พ.ร.ฎ.เลือกตั้ง เลือก กกต.ใหม่อีก 2 คนมาสมทบกับชุดเดิมด่วน อย่าไปปรารมภ์เรื่องศาลเลย” เรื่องนี้ โกหกทั้งเพ แต่ป่านนี้ ข่าวเท็จนี้ลือไปทั่วประเทศไทยถึงในป่าตามเครือข่ายจัดตั้งของ ทรท.เรียบร้อยแล้ว ใครโวยวายคัดค้านระวังจะเจอดี

เรื่องอย่างนี้ไม่มีใครได้ยินจากพระโอฐดอกครับ เพราะเป็นการเข้าเฝ้าฯ สองต่อสอง ไม่มีการบันทึก และไม่มีการแถลงข่าว หากจะมีอะไรเป็นทางการ ก็จะต้องผ่านสำนักราชเลขาธิการออกมา โดยไม่อ้างอิงถึงการเข้าเฝ้าฯ เรื่องนี้ผมเชื่อว่าทักษิณเข้าใจดี

ที่สำคัญที่สุด พวกเราต้องเคยได้ยินวลีว่า “เป็นกษัตริย์ตรัสแล้วไม่คืนคำ” และต้องภูมิใจว่าในหลวงของเราเป็นยอดกษัตริย์ของกษัตริย์ หากอยากรู้ว่าพระองค์ตรัสว่าอย่างไร ให้กลับไปอ่านพระราชดำรัส 4 ธันวาคม 2548 และ 25 เมษายน 2549 ดูให้ดีเถิด

สมาชิกส่วนใหญ่ของไทยลักไทยถูกลากเข้ามาและล่ามโซ่ไว้ ในเครือข่ายของการอุปถัมภ์ คอยหวังพึ่ง คอยลาภลอย และมาตรการประชานิยม ไม่ต้องรู้อะไรก็ได้ นอกจากบูชาหัวหน้าพรรค คอยฟังข่าว (ลือ) สำคัญ และคอยรับรางวัล ผมรับรองไทยลักไทยไม่มีวันพิมพ์พระราชดำรัสไปแจก

ผมใช้คำว่า “ป่าล้อมเมือง” เพราะจำนวนคนที่จงรักภักดีและอยู่ในระบบของ ทรท.ที่อยู่ในชนบทมีจำนวนมหาศาล เมื่อเทียบกับในเมืองหรือผู้ที่ไม่เชื่อข่าวลือ นี่คือป่าล้อมเมืองที่คอมมิวนิสต์ทำไม่สำเร็จ ไทยลักไทยทำได้สบาย เพราะมีทั้งเทคโนโลยีและเงิน พร้อมทั้งข้าทาสบริวารในระบบราชการ (ซีอีโอ) ส่วนโลกล้อมประเทศนั้นก็คือการใช้โทรทัศน์ สำนักข่าวและสื่อต่างประเทศที่โอนอ่อนตามทักษิณเพราะความเป็นมิตร อามิสและเข้าใจผิดให้เข้ามาล้อมสื่อและนักข่าวไทยในประเทศไทยนั่นเอง

ก่อนที่จะไปถึงยุทธการลิดรอนพระราชอำนาจให้ครบทั้ง 4 ผมขอกลับมาที่ปฏิญญาฟินแลนด์อีกครั้ง ผมได้รับเชิญถึง 4 ครั้งให้ไปพูดถึง 4 แห่ง รวมทั้งไปออก ASTV ผมปฏิเสธไปแล้ว 3 แห่ง และได้ชี้แจงกับนักข่าวที่โทร.มาจะนัดขอสัมภาษณ์ว่า ผมไม่ใช่คนที่รู้หรือรอบรู้เรื่องปฏิญญาฟินแลนด์ ผมกำลังศึกษาและรวบรวมหลักฐานที่ได้ยินมาอยู่ แต่ถึงแม้ว่าปฏิญญาฟินแลนด์จะมีหรือไม่มีอยู่จริงก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญ สำคัญอยู่ที่แผนการหรือปฏิบัติการที่คล้ายคลึงกับความที่อ้างไว้ในปฏิญญานั้นมีจริงหรือไม่ อันนี้ผมว่ามี จะเรียกชื่อว่าอะไรก็ช่าง จะเก็บใส่แฟ้มติดป้ายไว้หรือไม่ก็ไม่สำคัญ ผมย้ำอีกครั้งว่า ความสำคัญอยู่ที่มีการกระทำนั้นๆ หรือไม่ ตรงนี้ที่ผมเชื่อว่ามี การกระทำนั้นๆ สำคัญและมีความหมาย

เพราะฉะนั้น ผมจึงตอบรับที่จะไปร่วมที่หอประชุมใหญ่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในวันพุธที่ 24 พฤษภาคม นี้ โดยผมไม่สนใจว่าหัวข้อของการอภิปรายจะเป็นอย่างไร ผมจะไปพูดถึงระบบพฤติกรรมของพรรคที่ผมเชื่อว่าเป็นอันตรายต่อระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ผมไม่มีเจตนาจะไปใส่ร้ายป้ายสีบุคคลหนึ่งบุคคลใด

ในบรรดา 4 ยุทธการที่ผมกล่าวถึง คือ (1) ยุทธการป่าล้มเมือง-โลกล้อมประเทศ (2) ยุทธการครอบสภา-ฝ่าระบบกฎหมาย (3) ยุทธการพรานล่อกระต่ายป่า และ (4) ยุทธการต้านพระราชดำริ ผมเห็นว่ายุทธการป่าล้อมเมืองเป็นยุทธการที่สำคัญและอันตรายที่สุด ยุทธการนี้ถูกค้ำยันด้วยการตลาดของพรรคมวลชนและมาตรการประชานิยม จึงสามารถครองใจมวลชนจำนวนมหาศาล พลังของมวลชนเหล่านี้ หากนำไปใช้ในทางที่ดีก็จะเกิดผลดี หากนำไปใช้ในทางที่ผิดก็จะเกิดผลร้าย ท่านผู้อ่านคงเห็นตัวอย่างแล้วที่เชียงใหม่ อุดรธานี คม-ชัด-ลึก และล่าสุดที่ กกต.ตัวอย่างเหล่านี้เป็นแต่เพียงตัวอย่างประเภทเดียว อำนาจทำลายของพลังมวลชนที่หลงผิดนั้นมีศักยภาพและอานุภาพยิ่งใหญ่นับประเภทและขอบเขตมิได้ เราไม่ควรประมาท

ความสำเร็จของนโยบาย 66/3 ที่เอาชนะพรรคคอมมิวนิสต์ได้กลับจะไร้ความหมายโดยสิ้นเชิง เมื่อใดที่สามารถทุ่มพลังมวลชนเข้ามาเสริมหรือควบคุมยุทธการอีก 3 อย่างที่ผมกำลังจะพูดต่อไป

2. ยุทธการครอบสภา ฝ่าระบบกฎหมาย อำนาจนิติบัญญัติหรืออำนาจของสภานั้นเป็นหนึ่งใน 3 อำนาจอธิปไตย สำหรับกรณีของไทยซึ่งมีพระมหากษัตริย์ รัฐธรรม นูญบัญญัติว่า “ผู้ทรงเป็นประมุขทรงใช้อำนาจนั้นทางสภา” แปลว่ากฎหมายที่ออกจะต้องผ่านสภาและมีพระปรมาภิไธยจึงจะออกบังคับเป็นกฎหมายได้ กฎหมายที่ผ่านสภามีสารพัดเรื่อง ส่วนใหญ่ก็เพื่อจะบำบัดทุกข์-บำรุงสุขประชาราษฎร แต่มีอยู่หลายกรณีเหมือนกันที่กฎหมายบางฉบับทำลายผลประโยชน์หรือทรัพย์สินของคนบางกลุ่ม เช่น กฎหมายเวนคืน บางฉบับให้ประโยชน์แก่คนบางกลุ่ม เช่น เรื่องส่งเสริมอุตสาหกรรม การขายหุ้น การยกเว้นภาษี การให้สัมปทาน เป็นต้น การปกครองระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขที่แท้จริง ต้องให้พระราชอำนาจพระมหากษัตริย์ที่จะทำนุบำรุงประเทศและพสกนิกร โดยใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือ ในบางครั้ง รัฐบาล (โดยสภา) กับพระมหากษัตริย์อาจจะมีความเห็นไม่ตรงกันพระมหากษัตริย์ก็จะไม่ทรงลงพระปรมาภิไธยในกฎหมายที่สภาเสนอมา กรณีเช่นนี้ทำให้เกิดการเผชิญหน้าระหว่างพระมหากษัตริย์กับสภา ซึ่งเป็นผู้แทนของประชาชน ซึ่งอาจจะทำให้เกิดความเข้าใจผิด และสภาวะกดดัน เช่น พ.ร.บ.การศึกษาไม่ผ่าน บรรดาครูอาจจะเสียประโยชน์เรื่องตำแหน่งหรือเงินเดือน อาจจะทำให้เกิดน้อยใจพระมหากษัตริย์ โดยหารู้ไม่ว่ากฎหมายนั้นบกพร่องโดยความตั้งใจหรือไม่ตั้งใจของรัฐบาล

รัฐบาลทักษิณเป็นรัฐบาลที่ขาดความระมัดระวังที่สุดในการเสนอกฎหมาย ทั้งๆ ที่มีเสียงท่วมท้น ทำให้ พ.ร.บ. และ พ.ร.ฎ หรือแม้แต่การโปรดเกล้าฯ ยศ และตำแหน่งล่าช้า มิได้ลงพระปรมาภิไธย ซึ่งไม่ใช่ความผิดของในหลวง แต่เป็นความผิดของรัฐบาล ทำให้ในหลวงเดือดร้อนและถูกเข้าใจผิด นอกจากนั้นกฎหมายหลายๆ อย่างที่เป็นพระราชอำนาจ ต้องผ่านสภาและลงพระปรมาภิไธย รัฐบาลก็แย่งชิงพระราชอำนาจนำไปทำเอาเองโดยฝ่ายบริหาร ไมผ่านสภา ทั้งๆ ที่ขัดรัฐธรรมนูญ เช่น เรื่อง ให้สิงคโปร์ใช้ฐานทัพ ใช้น่านฟ้าฝึกบิน เรื่อง FTA เหล่านี้ เป็นต้น การกระทำเช่นนี้เป็นการช่วงชิงพระราชอำนาจ และทำให้สถาบันเสี่ยงต่อการเข้าใจผิดและเผชิญหน้ากับฝ่ายนิติบัญญัติ เรื่องนี้ไม่เคยมีในรัฐบาลก่อนในระยะ 50 ปีที่ผ่านมา

(3) ยุทธการพรานล่อกระต่ายป่า ยุทธการนี้มิได้พาดพิงถึงตัวบุคคลว่าใครเป็นพราน ใครเป็นกระต่าย แต่หมายถึงวิธีการที่พรานกระต่ายใช้ คือการเอาแสงจันทร์เทียมจากไฟฉายหรือโคม และเหยื่อมาล่อกระต่าย บรรดากระต่ายที่หลงกลก็พากันตกเป็นเหยื่อ มีเสียงพูดกันหนาหูว่า ทักษิณมีความเก่งกาจในการแย่งคนและซื้อคนจากสังกัดเดิม โดยไม่คำนึงถึงความถูกต้องและจริยธรรม โดยเห็นแก่ผลประโยชน์ทางธุรกิจอย่างเดียว ต่อมาก็นำวิธีการนี้มาใช้ในทางการเมืองด้วย และใช้เป็นประจำ ไม่เลือกที่ต่ำที่สูง

บางครั้งก็เลยเถิดไปถึงข้าราชบริพารใกล้ชิด หรือผู้มีตำแหน่งหน้าที่จะต้องรับใช้ถวายชีวิตต่อพระเจ้าอยู่หัว ถึงแม้จะกระทำต่อท่านเหล่านั้นในฐานะส่วนตัวหรือในตำแหน่งอื่นๆ ก็หาสมควรไม่

(4) ยุทธการต่อต้านพระราชดำริ ตัวอย่างยุทธการนี้มีมาก เช่น ชอบป่าวประกาศทั้งทางราชการและหาเสียงว่า เมืองไทยไม่มีใครสนใจคนจน วิธีช่วยเหลือคนจนที่ได้ผลเพิ่งค้นพบโดยทักษิณ ในยุคทักษิณ เช่น โมเดลอาจสามารถ ทั้งนี้โดยหาคิดไม่ว่าโครงการในพระราชดำริมีนับไม่ถ้วน และมีมานานตั้งแต่ทักษิณยังเป็นนักเรียน และโครงการส่วนใหญ่ก็ประสบความสำเร็จภายในขอบเขตและพื้นที่ปฏิบัติ บางโครงการก็ขยายผลได้อย่างดียิ่ง นอกจากนั้น รัฐบาลทักษิณมิได้สนใจเศรษฐกิจพอเพียงอย่างจริงใจ พอมีพระราชดำรัสยังไม่ทันสิ้นสุรเสียง ก็ผลิตโครงการเมกะและวิมานในอากาศขึ้นมาเทียบเคียงบดบังโดยไม่มีความสำนึกใดๆ อดีตโฆษกของพรรคไทยลักไทย เคยออกมาวิจารณ์ทำนองว่า พระราชดำริว่าด้วยเศรษฐกิจพอเพียง ไม่น่าจะนำประเทศไทยไปรอดได้ สิ่งที่จะนำประเทศไทยไปรอด คือระบบทุนนิยมแบบ dual track ของพรรคเท่านั้น บุคคลที่ทำตัวเป็นกระบอกเสียงของไทยลักไทยหรือทักษิณ เช่น สมัคร และ ดุสิต ได้ออกมาโจมตีพลเอกเปรม ซึ่งนำกระแสพระราชดำริมาเผยแพร่ และคอยจ้องวิพากษ์วิจารณ์พลเอกสุรยุทธ จุลานนท์ กับดร.สุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา ในพระราชดำริ เพื่อทำลายความเชื่อถือเพราะระแวงว่าทั้งสองท่านอาจจะเป็นตัวเลือกตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

อีกเรื่องหนึ่งที่ในหลวงทรงเดือดร้อนและขอร้อง ผมเคยเขียนแล้วในเรื่องใครทำให้ในหลวงเดือดร้อนก็คือ บรรดาตำรวจและลิ่วล้อที่จงรักภักดีต่อทักษิณ แต่อ้างว่าจงรักภักดีต่อในหลวง กระจัดกระจายพากันไปฟ้องร้องบุคคลต่างๆ โดยเฉพาะกลุ่มพันธมิตรว่าหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ถ้าอ่านพระราชดำรัสก็จะประจักษ์ชัดว่าในหลวงไม่โปรดให้กระทำเช่นนั้นเลย พระองค์ท่านเดือดร้อน ทั้งทักษิณและตำรวจของทักษิณก็หาได้ฟังไม่ ทำเอาหูไปนาเอาตาไปไร่เสียดื้อๆ

กรณีที่อาจสงเคราะห์เข้ากับยุทธการต่างๆ ยังมีมากมายนัก ทางที่ดีท่านผู้อ่านที่ยังไม่ทราบอาจไปค้นคว้าหาข้อมูลเพิ่มเติมจากรายงานและหนังสือซึ่งมีอยู่มากมาย ท่านที่ทราบดีอยู่แล้วอาจนำสิ่งที่ท่านทราบแล้วมาเผยแพร่และบอกกล่าวกัน ถ้าจะกรุณาก็ส่งมาให้ผมด้วย

เราอย่าประมาท และชะล่าใจว่าหากไม่มีปฏิญญาที่ชื่อว่าฟินแลนด์แล้ว การบั่นทอนพระราชอำนาจและความมุ่งมาดให้พระมหากษัตริย์เป็นสัญลักษณ์ธรรมดาจะไม่มี

ผมนึกถึงอาจารย์คึกฤทธิ์ ผมกับท่านมีความเห็นไม่ตรงกันหลายเรื่อง แต่คราวนี้สุดเสียดายที่ท่านหาไม่แล้ว มิฉะนั้นเราคงจะได้ยินคำประกาศก้องว่า กูไม่กลัวมึง
กำลังโหลดความคิดเห็น