xs
xsm
sm
md
lg

ยุทธศาสตร์ฟินแลนด์: แผนเปลี่ยนการปกครองไทย? (3)

เผยแพร่:   โดย: ปราโมทย์ นาครทรรพ

ยุทธศาสตร์ฟินแลนด์ คล้ายคลึงกับยุทธศาสตร์ทักษิณที่ผมจับตามานาน หลายๆคนเรียกยุทธศาสตร์นั้นว่า ปฏิญญาฟินแลนด์ เพราะผู้นำ ทรท.อดีตคอมมิวนิสต์ อดีต 14 ตุลา ไปประชุมตั้งและวางแนวทางต่อสู้ของพรรคที่ฟินแลนด์

คำว่าปฏิญญาหรือคำประกาศ ตรงกับภาษาอังกฤษว่า manifesto ยุทธศาสตร์มาจากคำว่า strategy คำหลังขลังน้อยกว่าคำแรก แต่ปฏิญญานั้นถึงจะยอดเยี่ยมสักเพียงใด หากไม่มียุทธศาสตร์ที่จะปรุงให้เป็นยุทธวิธีที่ดีได้ ก็ไร้ผล

เราได้ยินคำว่า manifesto จาก Communist Manufesto หรือ Manifesto of the Communist Party คือปฏิญญาคอมมิวนิสต์ ซึ่ง Marx กับ Engels ช่วยกันเขียนขึ้นในปี ค.ศ. 1848 หรือ พ.ศ. 2391 วรรคแรกว่าดังนี้

“A spectre is haunting Europe - the spectre of communism : เงาทะมึน กำลังทาบลงมาเขย่าขวัญยุโรป คือ เงาทะมึนของคอมมิวนิสต์”

นักแปลไทยมักจะแปล spectre นี้ว่าปีศาจ กว่าปีศาจตัวใหม่จะประสบความสำเร็จ โค่นราชวงศ์โรมานอฟ และสถาปนารัฐคอมมิวนิสต์ขึ้นเป็นครั้งแรกในโลกได้ก็กินเวลาถึง 69 ปี คือในปี ค.ศ.1917 หรือ 2460

ผู้นำปฏิวัติและผู้นำสหภาพโซเวียตคนแรกคือ เลนิน (1870-1924) ไปลี้ภัยเพาะบ่มอุดมการณ์คอมมิวนิสต์อยู่ในประเทศฟินแลนด์นาน

คำว่า manifesto นี้ คอมมิวนิสต์มิได้ผูกขาด พรรคการเมืองประชาธิปไตยทุกพรรคในอังกฤษ ก็ออก Manifesto of the .....Party มาทุกสมัยการเลือกตั้ง ที่ผมเล่าเรื่อง เลนิน กับฟินแลนด์อาจจะหรืออาจจะไม่เชื่อม โยงกับพรรคไทยรักไทยก็ได้ บางทีก็เป็นเพียงเรื่องของสัญลักษณ์

พรรคไทยรักไทยจงใจเลือกวันที่ 14 กรกฎาคม เป็นวันสถาปนาพรรค วันที่ 14 กรกฎาคม นอกจากเป็นวันชาติแล้ว ยังเป็นสัญลักษณ์ เป็นวันที่ระลึกการโค่นล้มระบบกษัตริย์และสถาปนามหาชนรัฐฝรั่งเศส

ทำไมผู้นำไทยรักไทยจึงต้องไปประชุมที่ฟินแลนด์ ผมก็ไม่แน่ใจ อุดมการณ์คอมมิวนิสต์นั้นต้องการให้รัฐคุมทุน จึงต่างกันกับ อุดมการณ์ของไทยรักไทยที่ต้องการให้ทุนคุมรัฐ แต่มียุทธศาสตร์แบบเดียวกัน คือ ให้รัฐอยู่ใต้พรรค แต่ ให้พรรคคุมรัฐแบบเผด็จการ และเป็นระบบพรรคเดียวเหมือนกัน

ผมจะไม่บอกว่ามีใครไปประชุมบ้าง ผมกำลังคอยหลักฐาน แต่บุคคลหนึ่งในนั้นเกี่ยวข้องกับเว็บไซต์ www.manussaya.com ที่โจมตีพระเจ้าอยู่หัวแน่นอน ผมจะนำหลักฐานเรื่องนี้มาผนวกเมื่อบทความนี้จบบริบูรณ์ เวลานี้เว็บไซต์ดังกล่าวกำลังปรับโฉมแปลงตัว ทำเป็นชุมทางขายของและบริการสารพัดไม่มีการเมืองเลย หวังว่าจะตบตากันตื้นๆ

manussaya.com
Click here to make this your homepage
Click Here to bookmark this page

เว็บไซต์แก้เก้อ (ใหม่) เพื่อให้ตำรวจอ้างว่าตรวจแล้วไม่เห็นมีอะไร

ก่อนกระโดดไปถึงยุทธศาสตร์ข้อ 4 คือการทำสถาบันกษัตริย์ให้เป็นเพียงสัญลักษณ์ ผมขอให้ท่านผู้อ่านเชื่อมโยงสิ่งต่อไปนี้ก่อน (1) จุดยืนพรรคเดียวและการมุ่งมั่นสร้างพรรคเดียวของทักษิณ (2) เมื่อในหลวงมีพระราชดำรัส เรื่องพรรคเดียวไม่เป็นประชาธิปไตย ประธานกกต.ก็สำรอกกลับทันทีโดยไม่ยำเกรง (3) การดิ้นของ ทรท.และ กกต.ที่ไม่ฟังเสียงศาล ทหาร สื่อและอาจารย์นิติศาสตร์รัฐศาสตร์เกือบทั้งประเทศที่ขอร้องให้ลาออก ศาลได้รับพระราชโองการให้แก้ปัญญาที่ทักษิณและ กกต.ชุดนี้ร่วมกันสร้างขึ้น(4)การที่ ทรท.และกกต.ประสานเสียงว่าจะยุบพรรคเก่าแก่ (5)หาก กกต.ชุดนี้ลาออก ก็จะปลดล็อกใหญ่คือล็อกแก๊งเลือกตั้งพรรคเดียวกุมอำนาจ เพื่อทำการปฏิรูปที่แท้จริงได้ ล็อกนี้สำคัญกว่าล็อก 90 วันเหมือนฟ้ากับดิน

การทำให้สถาบันกษัตริย์เป็นแต่เพียงสัญลักษณ์ให้มากที่สุดคืออย่างไร เราจำเป็นจะต้องเข้าใจหลักเรื่องพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตย การยกหรือลดฐานะพระมหากษัตริย์ให้เป็นสัญลักษณ์เฉยๆ ก็หมายความว่า การลิดรอนไม่ยอมให้พระมหากษัตริย์ใช้พระราชอำนาจใดๆ ได้

พระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ตามทฤษฎีรัฐธรรมนูญและจารีตประเพณีอังกฤษต้นแบบ อำนาจของพระมหากษัตริย์มีอยู่ 3 ประเภท

1. พระราชอำนาจทั่วไป (Usual Powers) ได้แก่อำนาจ แนะนำ ตักเตือน และให้กำลังใจ (Advise, Warn, & Encourage) รัฐบาลผ่านนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรี ซึ่งมีหน้าที่ถวายรายงานและขอพระราชทานบรมราชวินิจฉัย(คำปรึกษา) นายกรัฐมนตรีอังกฤษจะต้องเข้าถวายรายงานทุกสัปดาห์ โดยหมายกำหนดการที่แน่นอนเป็นทางการกำหนดไว้ล่วงหน้า เป็นการเฝ้าสองต่อสอง ไม่มีการบันทึก ไม่มีการแถลงข่าวใดๆ ทั้งนี้เพื่อป้องกันมิให้เข้าใจผิดว่าพระเจ้าแผ่นดินทรงลำเอียงเข้าหรือไม่เข้าข้างรัฐบาลในเรื่องใด กับทั้งป้องกันมิให้ผูกพันเกิดภาระจำยอมแก่ทั้งสองฝ่ายในประเด็นซึ่งอาจจะเห็นไม่ตรงกันหรือนำไปปฏิบัติยังไม่ได้หรือไม่ได้ ประเทศไทยประพฤติกันผิดๆ ตลอดมาทั้งด้วยการ “ปล่อยข่าว” โดยฝ่ายผู้เข้าเฝ้า และการ “เดาข่าว” ของสื่อ หรือการแสดงนัยหลอกลวงให้ประชาชนเข้าใจผิด ยกตัวอย่างกรณีทักษิณเข้าเฝ้าแล้วกลับมาประกาศเว้นวรรคทันที และครั้งหลังพอเข้าเฝ้าเย็นศุกร์ที่ 19 เช้าจันทร์ที่ 21 พฤษภาคมนี้ก็จะกลับมาทำงาน ซ้ำยังมีการกระพือข่าวส่งไปถึงศาลว่าในหลวงทรงเห็นด้วยว่าจำเป็นจะต้องให้ กกต.ชุดเดิมเหลืออยู่ อย่าว่าแต่ประชาชนไร้เดียงสาเลย ผู้มีความรู้และบุคคลระดับสูงก็อาจเดาผิดๆ เชื่อว่าเป็นพระราชประสงค์ อย่างนักวิชาการเรียกว่าละเมิดพระราชอำนาจ พูดเป็นภาษาชาวบ้านว่า อ้างในหลวงไปหลอกประชาชน เพื่อผลประ โยชน์ทางการเมืองของตน

2. พระราชอำนาจพิเศษ (Royal Prerogative) และ (3) พระราชอำนาจสงวนหรือสำรอง (Reserve Powers) ถ้าอธิบายง่ายๆ รวมกันแบบของไทยก็คือ อำนาจที่ต้องลงพระปรมาภิไธย เช่น เรื่องแต่งตั้ง ปลด ยุบหรือตั้งรัฐบาลฯลฯ สมเด็จพระนางเจ้าอลิซาเบธ ราชินีอังกฤษเสด็จเยือนเมืองไทย ได้ตรัสข้อความอันเป็นอัศจรรย์ว่า เพิ่งเคยเห็นพระมหากษัตริย์ที่เหมือนพระมหากษัตริย์จริงๆ คราวนี้แหละ แต่ในหลวงของเราหาได้มี พระราชอำนาจพิเศษ: Royal Prerogative กับอำนาจสำรอง:Reserve Powers เท่าเทียมกษัตริย์อังกฤษไม่ อำนาจนั้นมีอะไรบ้าง สุดวิสัยที่จะเขียนหมด ขอยกตัวอย่างและอธิบายสั้นๆ บางเรื่อง ทั้งๆที่กษัตริย์ต้องเป็นกลางอย่างเคร่งครัด ก็ยังหลีกเลี่ยงมิได้ที่จะต้องทรงใช้พระราชอำนาจเลือกบุคคลเป็นนายกรัฐมนตรีถึง 2 ครั้งในปี 1957 กับปี 1963 หรือ 2506 ซึ่งกรณีหลังนี้พระนางเจ้าฯ ทรงวินิจฉัยเองและพระราชทานคนนอกคือ Earl of Home ซึ่งไม่ตรงกับสองบุคคลที่สภาต้องการ ทั้งนี้โดยมิได้ปรึกษาสภาแต่อย่างใด ส่วนอำนาจสำรองก็มีการใช้บ่อย เมื่อกษัตริย์ไม่ทรงยินยอมยุบสภาตามคำขอของนายกรัฐมนตรี หรือโปรดเกล้าฯ ให้ยุบสภาโดยรัฐบาลมิได้ร้องขอ หรือขอให้รัฐบาลยุบสภาก่อนเพื่อให้สภาใหม่มาผ่านกฎหมายเพิ่มจำนวนสมาชิกสภาขุนนาง เพราะเป็นเรื่องที่กระทบกระเทือนโครงสร้างรัฐธรรมนูญ และอีกหลายเรื่องๆ ที่ไม่ลงพระปรมาภิไธยใน พ.ร.บ.จนกว่ารัฐบาลจะแก้ไขเสียก่อน เป็นต้น

การลิดรอน สร้างอุปสรรค บิดเบือนหรือแย่งชิงการใช้พระราชอำนาจที่กล่าวข้างต้นนี้ คือการลดหรือยกให้พระมหากษัตริย์เป็นเพียงสัญลักษณ์หรือตรายางที่ไม่มีความหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการอ้างทฤษฎีพระมหากษัตริย์ อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญแต่อยู่เหนือการเมือง ความจริงแล้ว การเมืองต้องอยู่ใต้รัฐธรรมนูญ ยกเว้นการเมืองเผด็จการ เผด็จการไม่ยอมให้พระมหากษัตริย์กระทำการใดๆ เพราะกษัตริย์เป็นเพียงอธิปัตย์แต่ในนาม เผด็จการต่างหากที่เป็นอธิปัตย์ที่แท้จริง

ก่อนที่จะพูดถึงระบอบทักษิณทำลายพระราชอำนาจ ขอพูดถึงเรื่องสัญลักษณ์ 2 กรณีที่รู้จักกันดี โดยผมจะไม่วิจารณ์ว่าอย่างไร แต่มีผู้คนประณามกันอย่างกว้างขวางว่า ทักษิณทำตัวไม่สมควร และตีเสมอในหลวง โดยใส่เสื้อเชิ้ตแขนสั้นเข้าไปทำพิธีที่วัดพระแก้วแล้วนั่งเกือบจะจุดเดียวกับพระที่นั่ง และกรณีที่ไปตรวจราชการต่างจังหวัดมีคนมาแห่ป้ายทรงพระเจริญ เพื่อเชียร์นายกฯ ตัวนายกฯ เอง ผู้ว่าราชการหรือตำรวจที่อยู่ในที่นั้นๆ ก็ไม่พากันห้าม ถ้าจะเป็นการถวายพระพรจริงๆ ทักษิณจะต้องเข้าไปร่วมถือป้ายด้วย

ผมจะพูดสั้นๆ ถึงยุทธการลิดรอนพระราชอำนาจ เพื่อทำให้พระมหากษัตริย์เป็นแต่เพียงสัญลักษณ์อย่างเดียว ผมจะยกตัวอย่างต่างๆ เพียงสั้นๆ ผมใคร่ขอให้ท่านผู้อ่านไปค้นคว้าเพิ่มเติม และช่วยพากันสอบถามเผยแพร่ความเข้าใจให้กว้างขวางออกไป เพื่อจะได้ช่วยกันสกัดกั้นการขยายตัวของยุทธศาสตร์ที่ทำลายการปกครองประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข

กิระ ดังได้ยินมาดังนี้

1. ยุทธการป่าล้อมเมือง-โลกล้อมประเทศ เป็นยุทธการสร้างภาพให้ตนเองและทำลายภาพของคู่แข่งขัน มิได้หมายถึงตัวปฏิบัติการที่ปลุกระดมคนต่างจังหวัดเข้ามาเชียร์ทักษิณ ขู่ และปะทะฝ่ายตรงกันข้าม การสร้างภาพนี้มีทั้งขบวนการ “ปั้นข่าว” “ปล่อยข่าว” “กระจายข่าว” และ “ต้านข่าว” โดยเฉพาะอย่างยิ่งในชนบทบ้านนอกด้วยกลไกของรัฐและของพรรค ประเด็นที่สำคัญคือฉายภาพว่า เด็กของในหลวงกำลังถูกรังแก ทักษิณเป็นนายกฯ คนโปรดของในหลวง ในหลวงฝากให้ดูแลบ้านเมืองแทนในอนาคต กระซิบให้สู้ไม่ใช่ให้ออก กระซิบให้รีบเลือกตั้ง และให้รีบตั้ง กกต.เพิ่ม อย่ามัวฟังศาล และในที่ที่ชาวบ้านยังมีความสงสัย ในภาคอีสานและเหนือ ก็จะถามชาวบ้านแบบปุจฉาว่าใครเป็นคนเอาเงินมาให้ ทักษิณหรือในหลวง แล้วจะเอาใคร สำหรับการต้านข่าว ก็คือการโกหก ปกปิด บิดเบือน กำจัดและจำกัดข่าวที่ไม่เข้าข้างทักษิณไม่ให้ได้ออกอากาศ ฯลฯ ในต่างประเทศมีการปนเปรอนักข่าว สร้างเครือข่ายป้อนข้อมูลและการวิเคราะห์ที่โดนใจนักข่าว ที่ไม่มีพื้นฐานที่จะเข้าใจการเมืองไทยอย่างแท้จริง จนกระทั่งนิตยสารใหญ่คือ Economist ขึ้นปกว่าประชาธิปไตยไทยถูกกระหน่ำ เพราะทักษิณที่มาจากการเลือกตั้งถูกกีดกันโดยพลังไม่เป็นธรรม และระยะหลังนอกจากเว็บไซต์ต่างๆ วิจารณ์ในหลวงยังมีหนังสือเล่มและรายงานว่าศาลถูกแทรกแซง ฯลฯ นอกจากนั้นทักษิณยังไปพูดอย่างเปิดเผยตามสถานทูตไทยว่าไม่กลัวที่องคมนตรี 3 ท่านอยากเป็นนายกฯ และวางแผนล้มรัฐบาล ฯลฯ

ยังมีอีก 3 ยุทธการ คือ (2) ยุทธการครอบสภา ฝ่าระบบกฎหมาย (3) ยุทธการพรานล่อกระต่ายป่า (4) ยุทธการต่อต้านพระราชดำริ แต่วันนี้เวลาและหน้ากระดาษหมด

นี่ เป็นแต่เพียงส่วนหนึ่งที่ลอยอยู่หน้าฉาก ผมเชื่อว่าสิ่งล้ำลึกที่มองไม่เห็นยังมีอีกมาก แต่แค่นี้ ก็เห็นจะต้องร้องเพลงของหลวงวิจิตรวาทการกันแล้ว

“ตื่นเถิดชาวไทย อย่ามัวหลับใหลลุ่มหลง ชาติจะเรืองดำรง ก็เพราะเราทั้งหลาย”
กำลังโหลดความคิดเห็น