xs
xsm
sm
md
lg

ยุทธศาสตร์ฟินแลนด์: แผนเปลี่ยนการปกครองไทย? (2)

เผยแพร่:   โดย: ปราโมทย์ นาครทรรพ

ผมเขียนตอนที่ (1) ของบทความนี้ก่อนที่พลเอกจารุภัทร เรืองสุวรรณ จะลาออกและก่อนที่เลขาธิการประธานศาลฎีการายงานผลการหารือและความเห็นร่วมของสามประธานศาลคือ ศาลฎีกา ศาลปกครอง และศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อบ่ายวันอังคารที่ 16 พฤษภาคม 2549 หลังจากรายงานศาล เลขาธิการ กกต.ออกมาชี้แจงว่า ศาลจะว่าอย่างไรก็เป็นเรื่องของศาล กกต.ที่เหลืออยู่อีก 3 นายจะไม่ลาออก เพราะมีหน้าที่และความรับผิดชอบที่จะต้องทำงานต่อไป

ความประพฤติของ กกต.จนกระทั่งถึงวันนี้ไม่ต่างอะไรกับพ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวคือ สุดที่จะอดทน คิดและอ้างว่าตนเป็นคนที่จะขาดไม่ได้ ขาดตนแล้วบ้านเมืองจะล่มจม ประชาธิปไตยจะล้มสลาย

ผมเคารพสิทธิของทั้ง 4 นายที่จะคิดเช่นนั้น แต่คนอื่นก็มีสิทธิจะคิดต่างอย่างไรก็ได้ ว่าที่ไม่ยอมออกมีเหตุผลดังนี้ (1) กลัวเพราะนั่งทับขี้มีความผิด (2) ติดยึดผลประโยชน์ไม่ยอมลง (3) มั่นคงกตัญญูต่อมูลนายทีให้ทั้งยศทั้งลาภ (4) ซึมทราบในอุดมการณ์ใหม่ ต้องอยู่ช่วยสร้างไทยให้เป็นระบบพรรคเดียว (5)เสียวไทยลักไทยจะถูกยุบ

นักธุรกิจสาวร้อยล้านคนหนึ่งโทร.มาต่อว่าว่าผมเอาเรื่องอะไรมาเขียน คืนเดียวกันนั้น ผมไปงานกินเลี้ยง เมียของเพื่อนที่เป็นอดีตผู้ว่าฯ หลายจังหวัดก็ตั้งคำถาม (หรือกล่าวโทษ) ขบวนการต้านทักษิณคล้ายๆ กัน คือคล้ายกับเหตุผลของกองเชียร์ทักษิณ หลังจากซักถามอธิบายกันอยู่นานจึงถึงบางอ้อ

ผมมหัศจรรย์ใจจริงๆ ที่คนเหล่านี้ ไม่เคยรับรู้หรือได้ยินพระราชดำรัส วันที่ 25 เมษายน ทุกคนเข้าใจว่าพวกที่คัดค้านรวมทั้งศาลเป็นลูกน้องสนธิ เป็นพวกลูกอีอิจฉา พากันรังแกทักษิณซึ่งเป็นนายกฯ คนโปรดของพระเจ้าอยู่หัว ทั้งอ้างว่าในหลวงทรงแสดงทางอ้อมครั้งแล้วครั้งเล่าว่า รักในหลวงห่วงประเทศชาติต้องไม่ขาดทักษิณ ผมว่ากลไกโฆษณาชวนเชื่อของ ทรท.ช่างไร้เทียมทานจริงๆ

ทีแรกตั้งใจจะเขียนสั้นๆให้เรื่องนี้จบ 2 ตอน อธิบาย 5 ลักษณะความเคลื่อนไหวของยุทธศาสตร์ทักษิณ ผมต้องเปลี่ยนใจ พร้อมกับใคร่ขอร้องให้สื่อ โดยเฉพาะสื่อของรัฐที่เป็นโทรทัศน์และวิทยุ ช่วยนำเอาพระราชดำรัสและเรื่องที่เกี่ยวข้องมาเผยแพร่และอธิบายให้ประชาชนฟังมากๆ และบ่อยๆ หน่อย รวมทั้งความเห็นศาลข้างล่างนี้

คัดมาบางตอน เปลี่ยนอักษรใหญ่ทึบขึ้นหรือขีดเส้นใต้ ส่วนที่ผมอยากให้ท่านผู้อ่านเน้นและทำความเข้าใจ

รายงานข้อปรึกษาและความเห็น 3 ประธานศาล 16 พฤษภาคม 2549

“ศาลไม่อาจเข้าร่วมดำเนินการกับ กกต.ทั้ง 4 คนที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ในขณะนี้ได้ ไม่ว่าจะเป็นการเข้าไปร่วมมือในรูปแบบใดก็ตาม เหตุผล เนื่องจาก กกต. ชุดนี้ ได้ถูกคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญอย่างชัดเจนแล้วว่า ได้ดำเนินการจัดการเลือกตั้งที่ผ่านมาโดยไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ

การที่ กกต.ทั้ง 4 ได้ดำเนินการจัดการเลือกตั้งที่ผ่านมาได้เกิดความผิดพลาดอย่างใหญ่หลวง ทำความเสียหายให้เกิดแก่ประเทศชาติอย่างมาก หากปล่อยให้ทำหน้าที่หรือจัดการเลือกตั้งครั้งใหม่เกิดขึ้นอีกก็มีความเป็นไปได้มากว่าจะไม่สามารถดำเนินการให้การเลือกตั้งเรียบร้อย สุจริตและเที่ยงธรรม ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ”

ด้วยเหตุผลดังกล่าว ที่ประชุมทั้ง 3 ศาล จึงมีความเห็นว่า ศาลจะเข้าไปมีส่วนร่วม ในการจัดการเลือกตั้งครั้งใหม่ได้ก็ ต่อเมื่อมีการสรรหาและแต่งตั้ง กกต.ชุดใหม่จากบุคคลที่มีความเป็นกลางทางการเมืองอย่างแท้จริง เป็นอิสระ ปราศจากบุญคุณ ความแค้นจากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เข้ามาทำหน้าที่ ซึ่งการดำเนินการใน เรื่องนี้จะสามารถดำเนินการได้ก็ต่อเมื่อ กกต.ทั้ง 4 คน ได้เสียสละลาออกจากตำแหน่งหน้าที่ เพื่อเปิดทางให้มีกระบวนการสรรหา กกต.ชุดใหม่ โดยที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาเพื่อเสนอให้วุฒิสภาคัดเลือกดำเนินการต่อไปได้ ส่วนที่ มีข่าวว่ามี กกต. 1 คน เสียสละลาออกจากตำแหน่งนั้น นายจรัล กล่าวว่า ที่ประชุมประธาน 3 ศาล ก็ได้แสดงความชื่นชมในความเสียสละและความสำนึกรับผิดชอบในภารกิจของบ้านเมืองเป็นอย่างยิ่ง และหวังว่า กกต.ที่เหลืออีก 3 คน จะใช้ช่วงโอกาสนี้เสียสละเพื่อประเทศชาติตามแบบอย่างที่ดีต่อไป”

บุคคลชั้นนำของไทยตั้งแต่นายกรัฐมนตรีลงมาจนถึง กกต.ฟังภาษามนุษย์ธรรมดาไม่เข้าใจ ความจริงไม่ต้องคอยจนถึงขนาดนี้ ฟังพระราชดำรัสหลายต่อหลายครั้ง ฟังคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ กกต.ก็จะต้องละอายใจลาออกแล้ว ไม่ต้องคอยให้มาย้ำแล้วย้ำอีก นายกฯ ก็เหมือนกันทำลับๆ ล่อๆ หนีไปเที่ยว ไปชอปปิ้ง ไปตีกอล์ฟ ลอยหน้าลอยตาบอกว่าว่างงาน เคยได้ยินบ้างไหมไม่กี่เดือนนี้ นายกฯ เกาหลีใต้เขาลาออก เพราะละอายใจที่มัวแต่ไปตีกอล์ฟ กลับมาแก้ปัญหาฉุกเฉินไม่ทัน บ้านเราไม่มีปัญหาเช่นนั้นหรือ ภาคใต้สงบแล้วหรือ หรือจะเอาแต่งานง่ายๆ พอจะได้หน้าก็เริดกลับมา ไม่นึกถึงความกระอักกระอ่วนของคนอื่นบ้าง

ผมอยากสรุปเหลือเกินว่าความหนาแน่นระหว่างทักษิณกับวาสนา เป็นเพราะต่างก็มีสัมพันธ์ลับ ต่างก็มุ่งมั่นเป็นส่วนสำคัญของยุทธศาสตร์ทักษิณที่จะสร้างการเมืองระบบพรรคเดียวให้กับประเทศไทย แต่ผมยังไม่สรุป ผมยังไม่รู้แน่ว่าเป็นความมั่ว หรือเป็นเรื่องของระบบ แต่ทั้งสองอย่างล้วนแก้ตัวไม่ขึ้นทั้งสิ้น

ระบบนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตรัสเมื่อวันที่ 25 เมษายน 2549 ว่าดังนี้

“แต่ว่าเท่าที่ฟัง ดูมันเป็นไปไม่ได้ ในการเลือกตั้งแบบประชาธิปไตย เลือกตั้งขึ้นพรรคเดียว เบอร์เดียว ไม่ใช่ทั่วไป อย่างมีคนที่สมัครเลือกตั้งคนเดียว มันเป็นไปไม่ได้ มันไม่ใช่เรื่องของประชาธิปไตย”

พอวันที่ 4 พฤษภาคม พล.ต.อ. วาสนา เพิ่มลาภ ก็สวนกลับมาทันที

“ประการที่ 2 กกต.คำนึงตลอดเวลา และวิเคราะห์สถานการณ์ตลอด บอกว่าการเลือกตั้งลงคนเดียวไม่ใช่ประชาธิปไตย แล้วไปเขียนกฎหมายไว้ทำไมละครับในมาตรา 74 ให้สมัครคนเดียวได้ คนเดียวลงเลือกตั้งได้ถ้าไม่ถึง 20% ต้องเลือกตั้งใหม่ เขียนไว้ทำไม ผมเขียนหรือใครเขียน ผมเขียนเหรอ และบอกว่าลงคนเดียวไม่ประชาธิปไตย นึกอยากจะพูดอะไรก็พูด น่าเสียดาย น่าเสียใจ นะครับท่าน”

วาสนาย่อมมีสิทธิแก้ตัวว่าไม่ได้หมายความถึงพระองค์ท่าน แต่วาสนาก็ควรจะสำนึกและกราบทูลขอพระราชอภัยบอกว่าไม่ได้ตั้งใจ และพร้อมที่จะแสดงความรับผิดชอบ แต่ก็มิได้กระทำ จนกระทั่งสมาคมนายทหารนอกราชการทนไม่ได้รวมตัวกันมาฟ้องวาสนา เรื่องการฟ้องหมิ่นพระบรมเดชาฯ นี้ในหลวงทรงเดือดร้อนไม่อยากให้ฝ่ายใดกระทำ น่าจะมีวิธีแก้อย่างอื่นที่ไม่ระคายพระยุคลบาท

ผมขอตั้งข้อสังเกตเพิ่มเติม เรื่องกลอุบายจัดม็อบมาชนม็อบ หรือการระดมคนมาให้กำลังใจ วิธีการของวาสนากับทักษิณไม่ต่างอะไรกันเลย ไม่ต่างแม้แต่กุหลาบชมพูที่พากันถือมา เมื่อวานนี้ ที่ 17 พฤษภาคม กลุ่มผู้สนับสนุนของวาสนาพากันมาที่ กกต. หลังจากบีบน้ำตากันแล้วก็แสดงอำนาจบาตรใหญ่ไปปลดป้ายของฝ่ายที่สนับสนุนศาลมากดดัน กกต.มิหนำซ้ำยังใช้ร่มตีและด่าทอนักข่าว และลามปามด้วยวาจาและติดป้ายว่าพวกที่ต่อต้าน กกต.เป็นพวก “ขายชาติ” เหตุการณ์คล้ายกันนี้เกิดขึ้นที่เชียงใหม่ ที่คม-ชัด-ลึก และที่อุดรธานี อีกหน่อยระบาดไปทั่วประเทศไทย เพราะตำรวจถ้าไม่ทำตาปริบๆ ยืนดูเฉยๆ บางครั้งกลับอำนวยความสะดวกให้กลุ่มอันธพาลด้วย

มีคนบอกผมว่า กกต.เดี๋ยวนี้ถูกคุมด้วยตำรวจ มีการโอนตำรวจแบบยกโขยงมา นักข่าวหญิงบางกอกโพสต์บอกผมว่ามีถึง 1,500 คน กินเงินเดือน สามหมื่นขึ้นไปถึงแปดหมื่น คนในบางคนบอกผมว่าไม่ถึง ประมาณ 6-700 เท่านั้น ผมว่าเราควรจะขอหลักฐานมาดู ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงศาลอาจจะต้องทำอะไรมากกว่าขอให้ กกต.ลาออก

สำหรับท่านที่ไม่เคยทราบ ผมมหัศจรรย์จริงๆว่าไม่ทราบได้อย่างไรว่า เมื่อวันที่ 25 เมษายน ศกนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้มีพระบรมราชโองการ ให้ศาลฎีกา และศาลปกครองไปทำการปรึกษาหารือและร่วมมือกันกับศาลรัฐธรรมนูญเพื่อจะช่วยกันแก้ไขวิกฤต รักษาระบอบประชาธิปไตย และป้องกันมิให้บ้านเมืองล่มจม

พวกเราควรจะตามรอยพระยุคลบาท พากันสนับสนุนศาลและฝากความหวังไว้ที่ศาล องค์พระประมุขทรงใช้คำว่า “ขอร้อง” 6 ครั้ง “ขอฝาก” 5 ครั้ง “ขอให้” 11 ครั้ง รวมทั้งคำที่เป็นการขอทางอ้อมอีกเพื่อให้ศาลช่วยแก้วิกฤตของบ้านเมือง ซึ่งเดี๋ยวนี้เป็น “วิกฤตที่สุดในโลก”

ก็คนที่สร้างวิกฤตและจะช่วยแก้วิกฤตได้ทันที คือพ.ต.ท.ทักษิณ และ กกต.ทั้งสาม วาสนา-ปริญญา-วีระชัย เขายังไม่สำนึกและไม่ยอมแก้ แค่พากันลาออกไปไวๆ ดีๆ ฟ้าก็จะใส แผ่นดินก็จะสว่าง ประเทศไทยก็จะเดินหน้าปฏิรูปแบบราชประชาสมาสัยได้เมื่อเขาไม่ยอมแก้ พวกเราก็ต้องโหมกำลังเข้าช่วยกันแก้ คนที่รักทักษิณมากกว่าในหลวง เราก็ไม่ว่า ขอให้หลบไปเสียดีๆ อย่าทำวุ่นวาย

นึกถึงคำของพล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ ว่า “ภายใต้ดวงอาทิตย์ ไม่มีอะไรที่ตำรวจทำไม่ได้”

ผมอยากจะเติมว่า ทำอะไรก็ทำเถิดแต่อย่าทำชั่ว ที่แล้วมาทำมั่วๆ ก็จะผ่อนหนักเป็นเบาให้ ขอให้สองนายตำรวจการเมืองเลิกคิดเรื่องระบบพวกเดียว และช่วยพวกเราสร้างระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขให้เป็นจริง ด้วยการหลบไปเสียสักพักจะดีกว่า ไม่ต้องไปลับเหมือนท่านผู้ให้กำเนิด ร.ร.นายร้อยตำรวจก็ได้
กำลังโหลดความคิดเห็น