ผมได้ยินถ้อยคำที่ว่า “กรุงศรีอยุธยาไม่สิ้นคนดี” มาตั้งแต่เด็ก จำได้ว่า รู้จักถ้อยคำนี้จากการอ่านการ์ตูนไทยเรื่องหนึ่งที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2
เรื่องของเรื่องคือ หลังจากที่กรุงแตกแล้ว คนไทยเวลานั้นก็แตกกระจัดกระจายในลักษณะที่เรียกได้ว่า “บ้านแตกสาแหรกขาด” และพอเริ่มตั้งหลักได้บ้าง ต่างคนต่างก็พยายามรวบรวมกำลังเพื่อหาทางที่จะขับไล่พม่าข้าศึกออกไป
ตอนที่ต่างคนต่างพยายามรวบรวมกำลังนี่แหละครับที่ตัวละครตัวหนึ่งพูดขึ้นว่า แม้จะหายากหาเย็นก็จริง (เพราะบ้านแตกสาแหรกขาด เลยไม่รู้จะไปคลำหาที่ไหน) แต่ตนก็เชื่อว่า “กรุงศรีอยุธยาไม่สิ้นคนดี”
ฉะนั้น ตอนที่รู้จักถ้อยคำนี้เป็นครั้งแรก ผมจึงเข้าใจไปว่า คนเขียนการ์ตูนเป็นผู้สร้างถ้อยคำนี้ขึ้นมาเอง และทำผมนึกชมอยู่ในใจว่าช่างเป็นถ้อยคำที่ดีเหลือเกิน
เพราะมันสั้นกระชับและเมื่อฟังดูแล้วก็รู้สึกได้ถึงความเชื่อมั่นว่า ยังไงเสียชาติบ้านเมืองและคนไทยไม่มีทางที่จะสิ้นไร้ไม้ตอก หนทางที่ดีกว่าจักต้องเกิดขึ้นแน่ พูดง่ายๆ คือ ถ้อยคำที่ว่านี้ให้ความหวังแก่เราในท่ามกลางความสิ้นหวังได้เป็นอย่างดี
จนกระทั่งผมโตเป็นหนุ่มขึ้นมาเมื่อสักกว่า 20 ปีก่อน ผมได้ยินถ้อยคำนี้อีกครั้งหนึ่งจากนักวิชาการท่านหนึ่ง ท่านเอ่ยถึงถ้อยคำนี้ขึ้นมาในวงเสวนาทางวิชาการในขณะที่สถานการณ์การเมืองไทยเริ่มมีปัญหาในเรื่องผู้นำ และก็เพราะเป็นการเสวนาทางวิชาการ ถ้อยคำนี้จึงไม่ได้ถูกเอ่ยขึ้นในแบบการ์ตูนที่ผมอ่านเมื่อตอนเด็กๆ
นักวิชาการท่านนี้บอกว่า จริงๆ แล้วในประวัติศาสตร์ไทยนั้นมี “คนดีศรีอยุธยา” อยู่มากมาย แต่ที่เราไม่ค่อยรู้ก็เพราะคนดีเหล่านี้ถูกระบบการเมืองในขณะนั้นกลืนหายเข้าไปในราชสำนักหมด
การถูกกลืนหายนี้เป็นไปใน 2 ทางด้วยกัน ทางหนึ่ง ทางราชสำนักเป็นฝ่ายสืบเสาะหาคนดีมีฝีมือเข้ามาสนองตอบหรือรับใช้บ้านเมืองภายใต้การนำของตน อีกทางหนึ่ง คนดีมีฝีมือเองก็ปรารถนาที่จะเข้ามาในราชสำนักด้วย เพราะมันหมายถึงยศถาบรรดาศักดิ์ที่จะมีตามมาพร้อมกับหน้าที่การงาน
แต่ทั้งหมดนี้เมื่อปรากฏเป็นผลงานออกมาแล้ว ผลงานนั้นก็จะออกในนามของรัชสมัย หรือในอีกนัยหนึ่งก็คือ รัชกาลไหนได้สร้างผลงานอะไรเอาไว้บ้าง โดยผู้สร้างตัวจริงจะไม่มีนามปรากฏออกมา
ควรกล่าวด้วยว่า ผลงานดังกล่าวเราไม่ควรไปคิดเพียงผลงานทางด้านการทหารหรือการศึกสงครามเท่านั้น ไม่ว่าจะรบกับศัตรูจากภายนอกหรือการเข้าไปมีส่วนในการแย่งชิงอำนาจทางการเมือง แต่หมายถึงผลงานในด้านพลเรือนอื่นๆ อีกมากมายก่ายกอง และเป็นผลงานที่ได้ก่อรูปราชธานีศรีอยุธยาให้มั่งคั่งงดงามและรุ่งเรืองมาเป็นเวลาหลายร้อยปีดังที่เรารู้กัน
แม้ผมจะไม่ใช่นักประวัติศาสตร์ แต่ผมก็คล้อยตามที่นักวิชาการท่านนั้นพูด และทำให้ผมเข้าใจการ์ตูนที่ผมอ่านในตอนเด็กได้มากขึ้น นั่นคือ เข้าใจว่าทำไมพอกรุงแตกแล้วคนไทยที่ปรารถนาดีต่อบ้านเมืองจึงมีความเชื่อมั่นว่า “กรุงศรีอยุธยาไม่สิ้นคนดี” และต่างก็แสวงหาคนดีมารวมกันเข้าเพื่อขับไล่พม่าข้าศึก
ที่ผมว่าทั้งหมดนั้นก็เพื่อจะยืนยันว่า “กรุงศรีอยุธยาไม่สิ้นคนดี” จริงๆ และที่ต้องยืนยันก็เพราะหลายปีมานี้ผมเห็นว่าคนไทยจำนวนไม่น้อยได้สูญเสียความเชื่อมั่นในเรื่องดังกล่าวไปแล้ว
ปรากฏการณ์ที่ว่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นบนพื้นฐานความคิดหรือความเชื่อของคนไทยแต่เริ่มต้น แต่ผมเห็นว่าคนไทยถูกทำให้เชื่อเช่นนั้นมากกว่าอะไรอื่น พูดง่ายๆ ก็คือว่า ที่คนไทยสูญเสียความเชื่อมั่นเรื่อง “คนดีศรีอยุธยา” ไปอย่างเราเห็นนั้นเป็นเรื่องปลายเหตุ
และก็เพราะมันเป็นปลายเหตุ “คนดีศรีอยุธยา” ในสายตาของคนไทยจึงมีภาพที่บิดเบี้ยว นั่นคือ ไม่มีใครที่สามารถหาเกณฑ์ที่แน่นอนได้ว่า “คนดี” ในสายตาของตนเองมีความหมดจดจริงๆ
ที่สำคัญคือ เมื่อคิดและเชื่อว่าตนหาได้แล้ว ผมไม่เห็นไม่มีใครที่อาจหาญจะลุกขึ้นมาบอกอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า คนนี้แหละคือ “คนดีศรีอยุธยา” จริงๆ แต่จะเลี่ยงไปใช้ถ้อยคำอื่นแทน
ถ้อยคำอะไรน่ะหรือ? เคยได้ยินใช่ไหมครับ ว่าถ้าเป็นเมื่อหลายปีก่อนประโยคที่ว่าก็คือ “ไม่เอา ชวน แล้วจะเอาใคร“ และเมื่อไม่นานมานี้ก็คือ “ไม่เอา ทักษิณ แล้วจะเอาใคร”
เห็นได้ชัดว่า ถ้อยคำดังกล่าวไม่ได้ถูกสร้างขึ้นโดยชาวบ้าน หากแต่ถูกสร้างขึ้นด้วยวิถีทางการตลาดของนักการเมืองโดยแท้ ผมจึงบอกว่า การที่คนไทยสูญเสียความเชื่อมั่นในเรื่อง “คนดีศรีอยุธยา” จึงเป็นเรื่องปลายเหตุ และต้นเหตุที่ทำให้การสูญเสียที่ว่าเกิดขึ้นก็คือ นักการเมือง
ผมจึงรู้สึกว่า การที่สังคมไทยมี “คนดี” ให้เลือกเพียงแค่หนอสองหนอ และแถมที่เลือกมาได้ก็ไม่มีใครกล้าฟันธงว่าดีจริงๆ (จนไม่กล้าเรียกว่า “คนดีศรีอยุธยา“ แต่เลือกใช้ถ้อยคำดังที่ผมยกตัวอย่างมา) อีกด้วยต่างหากนั้น นับเป็นเรื่องที่ชวนหดหู่เอามากๆ
ที่ต้องรู้สึกเช่นนั้นก็เพราะว่า จริงๆ แล้วนั้น “คนดีศรีอยุธยา” ยังมีอยู่จริงๆ เป็นอยู่แต่ว่าคนดีเหล่านี้หากไม่ถูกกีดกันให้ออกไปจากระบบการเมืองในปัจจุบัน ก็จะเป็นเพราะคนดีเหล่านี้ไม่อาจลงมาเกลือกกลั้วกับระบบที่ว่าได้อย่างเต็มที่มากนัก
ระบบการเมืองทุกวันนี้ไม่เหมือนกับเมื่อครั้งอยุธยา ที่แม้คนดีจะถูกกลืนหายไปในราชสำนัก แต่เราก็รู้ว่า “คนดีศรีอยุธยา” เหล่านี้มีอยู่ในนามของรัชสมัย ผิดกับทุกวันนี้ที่คนดีมาจากการถูกอุปโลกน์ขึ้นมาโดยนักการเมือง แล้วพยายามยัดเยียดให้ชาวบ้านยอมรับด้วยวิธีการต่างๆ สุดแท้แต่จะยกเอาอะไรขึ้นมาอวดอ้างความดีนั้น เช่น เป็นคนมือสะอาด เป็นคนบริหารงานเก่ง ฯลฯ และสุดท้ายที่ขาดไม่ได้ก็คือ การให้อามิสแก่ชาวบ้านในนามของนโยบายต่างๆ ที่ออกมาในรูปของการลด-แลก-แจก-แถม อันเป็นเรื่องของวัตถุนิยมและบริโภคนิยมล้วนๆ
ประเด็นคำถามก็คือว่า ที่นักการเมืองสร้าง “คนดี” ขึ้นมาให้ชาวบ้านเชื่อนั้น แล้วนักการเมืองเขาเชื่อใน “คนดี” ที่เขาสร้างจริงหรือ?
ไม่หรอกครับ....ทั้งนี้เพราะเอาเข้าจริงแล้ว นักการเมืองเหล่านี้ต่างรู้ซึ้งดีว่า นายที่ตนยกให้เป็น “คนดี” นั้นดีจริงหรือไม่ หรือแค่ไหนเพียงใด และก็รู้อีกด้วยว่า นายของตนไม่ดีตรงไหนบ้าง (บางกรณีอาจจะเห็นถึงความเลวด้วยซ้ำไป)
แต่ที่ต้องยกให้เป็น “คนดี” ก็เพราะนายของตนสามารถแอ่นอกออกมาปกป้องพฤติกรรมที่ไม่ดีของตนเอาไว้ ที่สำคัญคือ นายของตนยังสามารถ “จ่าย” อามิสต่างๆ ให้ตนได้ดีอยู่และสม่ำเสมอ ถึงแม้ตลอดชีวิตที่เป็นนักการเมืองของตนจะไม่เคยสร้างผลงานอะไรดีๆ ทิ้งเอาไว้เลยก็ตาม ขอเพียงยกมือลงคะแนนเสียงให้นายในสภาเท่านั้นเป็นพอ
ในทางตรงข้าม หากวันใดที่นายของตนไม่อาจสนองตอบต่อสิ่งที่ว่าได้แล้ว ถึงตอนนั้นนายที่ตนเคยยกให้เป็น “คนดี” ก็อาจจะไม่ดีอีกต่อไป เกี่ยวกับเรื่องนี้สำคัญมากนะครับ เพราะเรามักจะเห็นนักการเมืองพูดเปิดโปงนายเก่าของตนอยู่บ่อยไป
และก็ด้วยเหตุนี้ ผมจึงอดขำไม่ได้ที่ คุณทักษิณ ชินวัตร ส่งสัญญาณแก่ลูกพรรคของตนหลังจากที่รู้ว่าจะมีการเลือกตั้งในวันที่ 22 ตุลาคมนี้ว่า ถ้าใครจะลาออกจากพรรคไทยรักไทยก็ลาออกไป ขออย่างเดียวคือให้จากกันด้วยดี ซึ่งผมอยากจะเติมวงเล็บประโยคดังกล่าวให้ คุณทักษิณ ด้วยว่า “เอ็งอย่าทำอย่างที่ ป๋าเหนาะ ทำกับข้าก็แล้วกัน” (คือเล่นมาเปิดโปง คุณทักษิณ เอาตอนหลัง)
ถึงตรงนี้ท่านผู้อ่านอาจจะสงสัยว่า ผมเริ่มต้นด้วยความเชื่อที่ว่า “กรุงศรีอยุธยาไม่สิ้นคนดี” แต่ไฉนจึงมาจบลงเหมือนกับว่าไม่มี “คนดีศรีอยุธยา” อีกให้เห็นอีกแล้วฉะนั้น ไม่ใช่นะครับ ผมยังเชื่อของผมอยู่จริงๆ เพียงแต่ว่า คนดีที่ว่าจะไม่มีทางได้เห็นหรอกตราบใดที่ระบบการเมืองยังเป็นอย่างที่เป็นอยู่ ไม่มีทางจริงๆ
ยิ่งตอนนี้ดูเหมือนว่าทุกคนต่างให้ความสำคัญกับการเลือกตั้งครั้งใหม่ด้วยแล้วก็ยิ่งยาก แทบไม่มีใครเลยที่พูดถึงเรื่องการปฏิรูปการเมืองอันเนื่องมาจากการเติบโตขึ้นมาของระบอบทักษิณ ไม่มีทางหรอกครับ
เรื่องของเรื่องคือ หลังจากที่กรุงแตกแล้ว คนไทยเวลานั้นก็แตกกระจัดกระจายในลักษณะที่เรียกได้ว่า “บ้านแตกสาแหรกขาด” และพอเริ่มตั้งหลักได้บ้าง ต่างคนต่างก็พยายามรวบรวมกำลังเพื่อหาทางที่จะขับไล่พม่าข้าศึกออกไป
ตอนที่ต่างคนต่างพยายามรวบรวมกำลังนี่แหละครับที่ตัวละครตัวหนึ่งพูดขึ้นว่า แม้จะหายากหาเย็นก็จริง (เพราะบ้านแตกสาแหรกขาด เลยไม่รู้จะไปคลำหาที่ไหน) แต่ตนก็เชื่อว่า “กรุงศรีอยุธยาไม่สิ้นคนดี”
ฉะนั้น ตอนที่รู้จักถ้อยคำนี้เป็นครั้งแรก ผมจึงเข้าใจไปว่า คนเขียนการ์ตูนเป็นผู้สร้างถ้อยคำนี้ขึ้นมาเอง และทำผมนึกชมอยู่ในใจว่าช่างเป็นถ้อยคำที่ดีเหลือเกิน
เพราะมันสั้นกระชับและเมื่อฟังดูแล้วก็รู้สึกได้ถึงความเชื่อมั่นว่า ยังไงเสียชาติบ้านเมืองและคนไทยไม่มีทางที่จะสิ้นไร้ไม้ตอก หนทางที่ดีกว่าจักต้องเกิดขึ้นแน่ พูดง่ายๆ คือ ถ้อยคำที่ว่านี้ให้ความหวังแก่เราในท่ามกลางความสิ้นหวังได้เป็นอย่างดี
จนกระทั่งผมโตเป็นหนุ่มขึ้นมาเมื่อสักกว่า 20 ปีก่อน ผมได้ยินถ้อยคำนี้อีกครั้งหนึ่งจากนักวิชาการท่านหนึ่ง ท่านเอ่ยถึงถ้อยคำนี้ขึ้นมาในวงเสวนาทางวิชาการในขณะที่สถานการณ์การเมืองไทยเริ่มมีปัญหาในเรื่องผู้นำ และก็เพราะเป็นการเสวนาทางวิชาการ ถ้อยคำนี้จึงไม่ได้ถูกเอ่ยขึ้นในแบบการ์ตูนที่ผมอ่านเมื่อตอนเด็กๆ
นักวิชาการท่านนี้บอกว่า จริงๆ แล้วในประวัติศาสตร์ไทยนั้นมี “คนดีศรีอยุธยา” อยู่มากมาย แต่ที่เราไม่ค่อยรู้ก็เพราะคนดีเหล่านี้ถูกระบบการเมืองในขณะนั้นกลืนหายเข้าไปในราชสำนักหมด
การถูกกลืนหายนี้เป็นไปใน 2 ทางด้วยกัน ทางหนึ่ง ทางราชสำนักเป็นฝ่ายสืบเสาะหาคนดีมีฝีมือเข้ามาสนองตอบหรือรับใช้บ้านเมืองภายใต้การนำของตน อีกทางหนึ่ง คนดีมีฝีมือเองก็ปรารถนาที่จะเข้ามาในราชสำนักด้วย เพราะมันหมายถึงยศถาบรรดาศักดิ์ที่จะมีตามมาพร้อมกับหน้าที่การงาน
แต่ทั้งหมดนี้เมื่อปรากฏเป็นผลงานออกมาแล้ว ผลงานนั้นก็จะออกในนามของรัชสมัย หรือในอีกนัยหนึ่งก็คือ รัชกาลไหนได้สร้างผลงานอะไรเอาไว้บ้าง โดยผู้สร้างตัวจริงจะไม่มีนามปรากฏออกมา
ควรกล่าวด้วยว่า ผลงานดังกล่าวเราไม่ควรไปคิดเพียงผลงานทางด้านการทหารหรือการศึกสงครามเท่านั้น ไม่ว่าจะรบกับศัตรูจากภายนอกหรือการเข้าไปมีส่วนในการแย่งชิงอำนาจทางการเมือง แต่หมายถึงผลงานในด้านพลเรือนอื่นๆ อีกมากมายก่ายกอง และเป็นผลงานที่ได้ก่อรูปราชธานีศรีอยุธยาให้มั่งคั่งงดงามและรุ่งเรืองมาเป็นเวลาหลายร้อยปีดังที่เรารู้กัน
แม้ผมจะไม่ใช่นักประวัติศาสตร์ แต่ผมก็คล้อยตามที่นักวิชาการท่านนั้นพูด และทำให้ผมเข้าใจการ์ตูนที่ผมอ่านในตอนเด็กได้มากขึ้น นั่นคือ เข้าใจว่าทำไมพอกรุงแตกแล้วคนไทยที่ปรารถนาดีต่อบ้านเมืองจึงมีความเชื่อมั่นว่า “กรุงศรีอยุธยาไม่สิ้นคนดี” และต่างก็แสวงหาคนดีมารวมกันเข้าเพื่อขับไล่พม่าข้าศึก
ที่ผมว่าทั้งหมดนั้นก็เพื่อจะยืนยันว่า “กรุงศรีอยุธยาไม่สิ้นคนดี” จริงๆ และที่ต้องยืนยันก็เพราะหลายปีมานี้ผมเห็นว่าคนไทยจำนวนไม่น้อยได้สูญเสียความเชื่อมั่นในเรื่องดังกล่าวไปแล้ว
ปรากฏการณ์ที่ว่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นบนพื้นฐานความคิดหรือความเชื่อของคนไทยแต่เริ่มต้น แต่ผมเห็นว่าคนไทยถูกทำให้เชื่อเช่นนั้นมากกว่าอะไรอื่น พูดง่ายๆ ก็คือว่า ที่คนไทยสูญเสียความเชื่อมั่นเรื่อง “คนดีศรีอยุธยา” ไปอย่างเราเห็นนั้นเป็นเรื่องปลายเหตุ
และก็เพราะมันเป็นปลายเหตุ “คนดีศรีอยุธยา” ในสายตาของคนไทยจึงมีภาพที่บิดเบี้ยว นั่นคือ ไม่มีใครที่สามารถหาเกณฑ์ที่แน่นอนได้ว่า “คนดี” ในสายตาของตนเองมีความหมดจดจริงๆ
ที่สำคัญคือ เมื่อคิดและเชื่อว่าตนหาได้แล้ว ผมไม่เห็นไม่มีใครที่อาจหาญจะลุกขึ้นมาบอกอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า คนนี้แหละคือ “คนดีศรีอยุธยา” จริงๆ แต่จะเลี่ยงไปใช้ถ้อยคำอื่นแทน
ถ้อยคำอะไรน่ะหรือ? เคยได้ยินใช่ไหมครับ ว่าถ้าเป็นเมื่อหลายปีก่อนประโยคที่ว่าก็คือ “ไม่เอา ชวน แล้วจะเอาใคร“ และเมื่อไม่นานมานี้ก็คือ “ไม่เอา ทักษิณ แล้วจะเอาใคร”
เห็นได้ชัดว่า ถ้อยคำดังกล่าวไม่ได้ถูกสร้างขึ้นโดยชาวบ้าน หากแต่ถูกสร้างขึ้นด้วยวิถีทางการตลาดของนักการเมืองโดยแท้ ผมจึงบอกว่า การที่คนไทยสูญเสียความเชื่อมั่นในเรื่อง “คนดีศรีอยุธยา” จึงเป็นเรื่องปลายเหตุ และต้นเหตุที่ทำให้การสูญเสียที่ว่าเกิดขึ้นก็คือ นักการเมือง
ผมจึงรู้สึกว่า การที่สังคมไทยมี “คนดี” ให้เลือกเพียงแค่หนอสองหนอ และแถมที่เลือกมาได้ก็ไม่มีใครกล้าฟันธงว่าดีจริงๆ (จนไม่กล้าเรียกว่า “คนดีศรีอยุธยา“ แต่เลือกใช้ถ้อยคำดังที่ผมยกตัวอย่างมา) อีกด้วยต่างหากนั้น นับเป็นเรื่องที่ชวนหดหู่เอามากๆ
ที่ต้องรู้สึกเช่นนั้นก็เพราะว่า จริงๆ แล้วนั้น “คนดีศรีอยุธยา” ยังมีอยู่จริงๆ เป็นอยู่แต่ว่าคนดีเหล่านี้หากไม่ถูกกีดกันให้ออกไปจากระบบการเมืองในปัจจุบัน ก็จะเป็นเพราะคนดีเหล่านี้ไม่อาจลงมาเกลือกกลั้วกับระบบที่ว่าได้อย่างเต็มที่มากนัก
ระบบการเมืองทุกวันนี้ไม่เหมือนกับเมื่อครั้งอยุธยา ที่แม้คนดีจะถูกกลืนหายไปในราชสำนัก แต่เราก็รู้ว่า “คนดีศรีอยุธยา” เหล่านี้มีอยู่ในนามของรัชสมัย ผิดกับทุกวันนี้ที่คนดีมาจากการถูกอุปโลกน์ขึ้นมาโดยนักการเมือง แล้วพยายามยัดเยียดให้ชาวบ้านยอมรับด้วยวิธีการต่างๆ สุดแท้แต่จะยกเอาอะไรขึ้นมาอวดอ้างความดีนั้น เช่น เป็นคนมือสะอาด เป็นคนบริหารงานเก่ง ฯลฯ และสุดท้ายที่ขาดไม่ได้ก็คือ การให้อามิสแก่ชาวบ้านในนามของนโยบายต่างๆ ที่ออกมาในรูปของการลด-แลก-แจก-แถม อันเป็นเรื่องของวัตถุนิยมและบริโภคนิยมล้วนๆ
ประเด็นคำถามก็คือว่า ที่นักการเมืองสร้าง “คนดี” ขึ้นมาให้ชาวบ้านเชื่อนั้น แล้วนักการเมืองเขาเชื่อใน “คนดี” ที่เขาสร้างจริงหรือ?
ไม่หรอกครับ....ทั้งนี้เพราะเอาเข้าจริงแล้ว นักการเมืองเหล่านี้ต่างรู้ซึ้งดีว่า นายที่ตนยกให้เป็น “คนดี” นั้นดีจริงหรือไม่ หรือแค่ไหนเพียงใด และก็รู้อีกด้วยว่า นายของตนไม่ดีตรงไหนบ้าง (บางกรณีอาจจะเห็นถึงความเลวด้วยซ้ำไป)
แต่ที่ต้องยกให้เป็น “คนดี” ก็เพราะนายของตนสามารถแอ่นอกออกมาปกป้องพฤติกรรมที่ไม่ดีของตนเอาไว้ ที่สำคัญคือ นายของตนยังสามารถ “จ่าย” อามิสต่างๆ ให้ตนได้ดีอยู่และสม่ำเสมอ ถึงแม้ตลอดชีวิตที่เป็นนักการเมืองของตนจะไม่เคยสร้างผลงานอะไรดีๆ ทิ้งเอาไว้เลยก็ตาม ขอเพียงยกมือลงคะแนนเสียงให้นายในสภาเท่านั้นเป็นพอ
ในทางตรงข้าม หากวันใดที่นายของตนไม่อาจสนองตอบต่อสิ่งที่ว่าได้แล้ว ถึงตอนนั้นนายที่ตนเคยยกให้เป็น “คนดี” ก็อาจจะไม่ดีอีกต่อไป เกี่ยวกับเรื่องนี้สำคัญมากนะครับ เพราะเรามักจะเห็นนักการเมืองพูดเปิดโปงนายเก่าของตนอยู่บ่อยไป
และก็ด้วยเหตุนี้ ผมจึงอดขำไม่ได้ที่ คุณทักษิณ ชินวัตร ส่งสัญญาณแก่ลูกพรรคของตนหลังจากที่รู้ว่าจะมีการเลือกตั้งในวันที่ 22 ตุลาคมนี้ว่า ถ้าใครจะลาออกจากพรรคไทยรักไทยก็ลาออกไป ขออย่างเดียวคือให้จากกันด้วยดี ซึ่งผมอยากจะเติมวงเล็บประโยคดังกล่าวให้ คุณทักษิณ ด้วยว่า “เอ็งอย่าทำอย่างที่ ป๋าเหนาะ ทำกับข้าก็แล้วกัน” (คือเล่นมาเปิดโปง คุณทักษิณ เอาตอนหลัง)
ถึงตรงนี้ท่านผู้อ่านอาจจะสงสัยว่า ผมเริ่มต้นด้วยความเชื่อที่ว่า “กรุงศรีอยุธยาไม่สิ้นคนดี” แต่ไฉนจึงมาจบลงเหมือนกับว่าไม่มี “คนดีศรีอยุธยา” อีกให้เห็นอีกแล้วฉะนั้น ไม่ใช่นะครับ ผมยังเชื่อของผมอยู่จริงๆ เพียงแต่ว่า คนดีที่ว่าจะไม่มีทางได้เห็นหรอกตราบใดที่ระบบการเมืองยังเป็นอย่างที่เป็นอยู่ ไม่มีทางจริงๆ
ยิ่งตอนนี้ดูเหมือนว่าทุกคนต่างให้ความสำคัญกับการเลือกตั้งครั้งใหม่ด้วยแล้วก็ยิ่งยาก แทบไม่มีใครเลยที่พูดถึงเรื่องการปฏิรูปการเมืองอันเนื่องมาจากการเติบโตขึ้นมาของระบอบทักษิณ ไม่มีทางหรอกครับ