xs
xsm
sm
md
lg

วุฒิสภาในเจตนารมณ์ของ ส.ส.ร.

เผยแพร่:   โดย: ศ.ดร.ลิขิต ธีรเวคิน

วุฒิสภาเป็นสภาสูงในเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ มีภารกิจหลัก 4 ประการ ซึ่งได้แก่ การกลั่นกรองกฎหมาย การตรวจสอบการทำงานของฝ่ายบริหาร เช่น การอภิปรายผลงานของรัฐบาลโดยไม่มีการลงมติ ที่สำคัญก็คือภารกิจที่ 3 และ 4 อันได้แก่ การแต่งตั้งผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรตามรัฐธรรมนูญ และการถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งบริหารระดับสูง กล่าวอีกนัยหนึ่ง ภารกิจหลักก็คือ กลั่นกรอง ตรวจสอบ แต่งตั้ง ถอดถอน

จากภารกิจดังกล่าวเบื้องต้น วุฒิสมาชิกจะต้องเป็นผู้ซึ่งมีความเป็นอาวุโสทางวัยวุฒิ เช่น กำหนดให้มีอายุ 40 ปีบริบูรณ์ ในกรณีของ ส.ส.นั้นกำหนดให้มีอายุ 25 ปีบริบูรณ์ นอกเหนือจากนั้นวุฒิสมาชิกต้องเป็นบุคคลที่มีความเป็นกลางทางการเมือง อันหมายถึงไม่เป็นฝักเป็นฝ่ายกับพรรคใดพรรคหนึ่ง และจะต้องมีประวัติการทำงานที่แสดงถึงความสามารถในด้านต่างๆ ตามวิชาชีพ และที่สำคัญที่สุดจะต้องเป็นบุคคลที่ซื่อสัตย์สุจริตเพราะจะต้องทำหน้าที่อันสำคัญในการแต่งตั้งและถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งต่างๆ นอกเหนือจากนั้นการกลั่นกรองกฎหมายเพื่อให้เกิดความรอบคอบ และขจัดข้อบกพร่องทั้งหลายอันอาจจะตามมา ทั้งหลายทั้งปวงดังกล่าวนี้สมาชิกวุฒิสภาต้องสามารถกระทำหน้าที่เป็นสภาสูงอย่างแท้จริง เทียบกับสภา Senate ของสหรัฐอเมริกา หรือ House of Lords ของอังกฤษ

แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นก็คือมีช่องว่างระหว่างอุดมคติกับความเป็นจริง ภาพในอุดมคติของ ส.ส.ร. ที่วางไว้ขัดกับการปฏิบัติ ผู้เขียนซึ่งเป็นหนึ่งใน ส.ส.ร. คาดการณ์ล่วงหน้าถึงปัญหาต่างๆ และได้เคยตั้งข้อสังเกตไว้ 4 ข้อเกี่ยวกับวุฒิสภาที่มาจากการเลือกตั้งล้วนๆ ตามที่เสนอโดยสมาชิก ส.ส.ร. อื่นในที่ประชุมว่า

ก) มีอะไรประกันหรือไม่ว่าสมาชิกวุฒิสภาจำนวนหนึ่งจะไม่มีพฤติกรรมเสมือนหนึ่งกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในแง่การปฏิบัติหน้าที่

ข) มีอะไรประกันหรือไม่ว่าการเลือกตั้งวุฒิสมาชิกจะไม่มีการใช้เงินซื้อเสียง

ค) มีอะไรประกันหรือไม่ว่าผู้สมัครเป็นสมาชิกวุฒิสภาจะไม่สังกัดพรรคการเมืองอย่างไม่เป็นทางการ

ง) มีการเลือกตั้งที่ไหนในโลกบ้างที่ไม่ให้มีการหาเสียง เพราะผลที่ตามมาก็คือจะทำให้ไม่สามารถแสดงแนวคิดหรือจุดยืนทางการเมืองได้ ผู้ลงคะแนนเสียงต้องใช้ความรู้สึกส่วนตัวโดยดูจากชื่อเสียงและผลงานในอดีตเป็นหลัก ซึ่งขัดต่อความเป็นจริงทางการเมือง

นี่คือข้อสังเกตข้อที่หนึ่งที่อยากจะกล่าวย้ำไว้ในที่นี้อีกครั้งหนึ่ง ส่วนในแง่ความเป็นจริงที่ผ่านมาจะเป็นอย่างไรนั้นผู้อ่านคงมีข้อมูลและคงตัดสินได้เอง

นอกจากข้อสังเกตตามที่กล่าวมาแล้วนี้ยังมีข้อสังเกตต่างๆ อีก 4 ประการซึ่งจะขอกล่าวโดยสังเขป คือ

ประการที่หนึ่ง สิ่งที่เห็นได้ชัดก็คือ บางครั้งวุฒิสภาเป็นฝักเป็นฝ่ายทางการเมืองขึ้นอยู่กับใครเป็นประธานและขึ้นอยู่กับเป็นสมาชิกวุฒิสภากลุ่มใด พฤติกรรมจึงออกมาเป็นเสมือนหนึ่งสภาผู้แทนราษฎรโดยเป็นฝักเป็นฝ่ายทางการเมืองเอนเอียงไปทางพรรคการเมืองอย่างเห็นได้ชัด ดังนั้น วุฒิสภาในบางครั้งจึงทำหน้าที่เสมือนหนึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้านอีกพรรคหนึ่ง

ประการที่สอง หน้าที่หลักของวุฒิสภาคือกลั่นกรองกฎหมาย แต่งตั้งผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรตามรัฐธรรมนูญ และถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งบริหารระดับสูง รวมทั้งการตรวจสอบการทำงานของฝ่ายบริหาร ตามที่ได้กล่าวมาแล้ว แต่ก็มีข้อสังเกตที่ควรพินิจพิจารณาตามที่จะกล่าวต่อไปนี้

ในส่วนของการกลั่นกรองกฎหมายนั้น เนื่องจากสมาชิกวุฒิสภาบางท่านคิดว่ามาจากการเลือกตั้ง จึงทำหน้าที่เกินเลยการกลั่นกรอง มีการแก้ หลักการ ของร่างกฎหมายที่ผ่านจากสภาผู้แทนราษฎร จนเป็นเหตุนำไปสู่การตั้งกรรมาธิการร่วมบ่อยๆ หน้าที่กลั่นกรองกฎหมายไม่น่าขยายไปถึงการแก้หลักการ ควรจะดูในความสอดคล้องของมาตราต่างๆ ความถูกต้องของเนื้อหา เพราะวุฒิสภาไม่มีอำนาจในการเสนอร่างกฎหมาย การแก้หลักการก็เท่ากับเป็นการเสนอร่างกฎหมายใหม่โดยปริยาย

ในส่วนของการแต่งตั้งผู้ดำรงตำแหน่งระดับสูงตามองค์กรรัฐธรรมนูญนั้น การลงมติของวุฒิสภากลายเป็นข้อครหาและมีการตั้งข้อสงสัยว่าได้ทำตามอาณัติของพรรคการเมืองมากกว่าการปฏิบัติตนอย่างเป็นกลาง ทั้งนี้ก็เนื่องจากว่าสมาชิกวุฒิสภาจำนวนไม่น้อยมีความสัมพันธ์กับพรรคหรือกลุ่มการเมืองก่อนได้รับการเลือกตั้ง

ประการที่สาม วุฒิสภาคือสภาสูงซึ่งจะต้องเป็นบุคคลที่มีความรอบรู้ มีประสบการณ์ ซื่อสัตย์สุจริต มีความน่าเชื่อถือ แต่ในสภาวการณ์ที่เป็นอยู่นั้นข้อกำหนดมีเพียงจบปริญญาตรี และมีอายุไม่ต่ำกว่า 40 ปีบริบูรณ์ จนเป็นเหตุให้มีบุคคลที่ขาดความรู้และประสบการณ์ รวมทั้งวุฒิภาวะที่พอเพียงต่อการกลั่นกรองกฎหมาย และการปฏิบัติภาระหน้าที่อื่น ความสง่างามจึงไม่เกิดขึ้น ยิ่งผสมผสานกับความเป็นฝักเป็นฝ่ายทางการเมือง รวมทั้งข้อครหาเกี่ยวกับการรับอามิสสินจ้างประจำเดือนจากพรรคการเมือง ทำให้เกียรติภูมิของวุฒิสภาตกต่ำลง ซึ่งเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันอยู่ทั่วไป

ประการที่สี่ ที่เห็นเด่นชัดเป็นรูปธรรมมากที่สุดคือ การออกข้อบังคับที่เกินเลยจากที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญในเรื่องการตั้งกระทู้ถาม โดยรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยตามมาตรา 183 ระบุไว้ว่า สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือ สมาชิกวุฒิสภา ทุกคนมีสิทธิตั้งกระทู้ถามรัฐมนตรีในเรื่องใดเกี่ยวกับงานในหน้าที่ได้ แต่รัฐมนตรีย่อมมีสิทธิที่จะไม่ตอบเมื่อคณะรัฐมนตรีเห็นว่าเรื่องนั้นยังไม่ควรเปิดเผยเพราะเกี่ยวกับความปลอดภัยหรือประโยชน์สำคัญของแผ่นดิน

จะเห็นได้ว่าในมาตรานี้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภาทุกคนมีสิทธิตั้งกระทู้ถามถ้าเป็นกระทู้ถามทั่วไป แต่ในมาตรา 184 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเท่านั้นจึงมีสิทธิตั้งกระทู้ถามได้ ที่เรียกว่ากระทู้สด ส่วนสมาชิกวุฒิสภามิได้มีสิทธิดังกล่าว ซึ่งในวรรคแรกระบุไว้ว่า การบริหารราชการแผ่นดินเรื่องใดที่เป็นปัญหาสำคัญที่อยู่ในความสนใจของประชาชน เป็นเรื่องที่กระทบถึงประโยชน์ของประเทศชาติหรือประชาชน หรือที่เป็นเรื่องเร่งด่วน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอาจแจ้งเป็นลายลักษณ์อักษรต่อประธานสภาผู้แทนราษฎรก่อนเริ่มประชุมในวันนั้นว่าจะถามนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีผู้รับผิดชอบในการบริหารราชการแผ่นดินเรื่องนั้นโดยไม่ต้องระบุคำถาม และให้ประธานสภาผู้แทนราษฎรบรรจุเรื่องดังกล่าวไว้ในวาระการประชุมวันนั้น

แต่ในข้อบังคับการประชุมวุฒิสภาปี 2544 ข้อ 134 ได้ระบุไว้ว่า กรณีที่เกี่ยวกับประโยชน์สำคัญของแผ่นดินหรือมีเหตุฉุกเฉินที่มีความจำเป็นรีบด่วนในอันที่จะรักษาความปลอดภัยสาธารณะ หรือป้องปัดภัยพิบัติสาธารณะ หรือกระทบกระเทือนต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมหรือเสรีภาพของประชาชนอย่างร้ายแรง หรือกระทบกระเทือนต่อสัมพันธไมตรีระหว่างประเทศ ซึ่งเป็นเรื่องที่รัฐมนตรีควรจะต้องชี้แจงหรือดำเนินการโดยทันทีนั้น จะตั้งกระทู้ถามด่วนก็ได้

จะเห็นได้ว่าข้อบังคับดังกล่าวเป็นการเขียนล้อตามมาตรา 184 ซึ่งให้อำนาจเฉพาะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเท่านั้นที่จะตั้งกระทู้สดเพียงแต่วุฒิสภาเปลี่ยนเป็นกระทู้ถามด่วน ซึ่งเป็นการออกข้อบังคับเกินอำนาจที่ให้ไว้ในรัฐธรรมนูญ และเมื่อมีการถามสมาชิกวุฒิสภาบางท่านในเรื่องนี้ก็ปรากฏว่าสมาชิกวุฒิสภาที่ถูกถามนั้นไม่สามารถจะตอบได้ เพียงแต่บอกว่าที่ต้องทำหน้าที่อย่างเข้มข้นนั้นก็เนื่องมาจากการเลือกตั้ง

ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาในวันที่ 19 เมษายน 2549 นี้ จะเห็นได้ว่ามีผู้สมัครที่มีความสัมพันธ์เป็นญาติหรือเป็นผู้ที่สนิทชิดเชื้อกับนักการเมืองที่เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือวุฒิสมาชิก โดยเป็นพี่ชายหรือน้องชาย เป็นสามีหรือภรรยา เป็นลูกชายหรือลูกสาว จนมีการตั้งข้อสังเกตว่าเป็นการเลือกตั้งสภาเครือญาติ (ดูรายละเอียดได้จากหนังสือพิมพ์มติชน วันที่ 17 เมษายน 2549) ทั้งนี้ก็เนื่องจากการอาศัยคะแนนจัดตั้งของพรรคการเมืองซึ่งไม่ผิดรัฐธรรมนูญแต่อย่างใด แต่เป็นการส่งเสริมให้เกิดตระกูลการเมืองขึ้นจากวงศาคณาญาติและการสืบเชื้อสาย คำถามก็คือวุฒิสภาที่มีสภาพดังกล่าวนี้จะสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของการปฏิรูปการเมืองหรือไม่อย่างไร

สิ่งที่น่าจะพิจารณาก็คือ ควรจะมีการผสมผสานหรือไม่ระหว่างการเลือกตั้งและการแต่งตั้ง โดยให้มีการเลือกตั้งมาจังหวัดละ 1 คน ที่เหลือก็ให้มีการแต่งตั้งโดยเลือกจากสายอาชีพต่างๆ โดยแต่ละอาชีพจะส่งมาให้คณะกรรมการแต่งตั้งอาชีพละ 5 คน และเลือกไว้ให้เหลือ 134 คน โดยจะต้องมีการประกาศอาชีพในสังคมว่ามีจำนวนทั้งหมดเท่าไหร่ ส่วนคณะกรรมการที่จะเป็นผู้เลือกตั้งบุคคลที่เหมาะสมจากกลุ่มอาชีพนั้นจะต้องวางกฎเกณฑ์ให้รัดกุมเพื่อให้ได้บุคคลที่มีความเหมาะสมที่สุดที่จะเป็นคณะกรรมการคัดเลือก ถ้าดำเนินตามรูปนี้ก็จะเป็นการคละกันระหว่างเลือกตั้งและแต่งตั้งเพื่อโปรดเกล้าฯ โดยองค์พระประมุขต่อไป ซึ่งก็ไม่ขัดกับความเป็นประชาธิปไตยแต่อย่างใดเพราะ House of Lords ของอังกฤษก็มาจากการแต่งตั้ง เช่น ตั้งอดีตนายกรัฐมนตรี บางส่วนก็สืบเชื้อสาย แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น ประเด็นคือการปฏิรูปให้วุฒิสภาเป็นสภาผู้ทรงคุณวุฒิ มีวุฒิภาวะ มีคุณธรรม จริยธรรม เพื่อเป็นองค์กรในการกลั่นกรองกฎหมาย ตรวจสอบการทำงานของฝ่ายบริหาร แต่งตั้งและถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งบริหารระดับสูง สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของการปฏิรูปการเมือง และการพัฒนาระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยที่ต่อเนื่องและยั่งยืน
กำลังโหลดความคิดเห็น