ซีพีเอฟ เตรียมรื้อธุรกิจร้านอาหารบัวบาน-ไทยไทยใหม่ ชูแบรนด์เดียวทำตลาดต่อ อีกแบรนด์เตรียมโผล่เป็นธุรกิจข้าวกล่อง พร้อมเร่งเครื่องเต็มพิกัด รุกธุรกิจกาแฟ ส่งเชสเตอร์คาเฟ่ สู่ช่องทางโมเดิร์นเทรด ลักษณะคีออสก์ ภายใต้แบรนด์ เอ็กซ์เพรสโซ ล่าสุดเปิดตัวไปแล้ว 5 สาขา หว่านงบลงทุนแต่ละสาขากว่า 2.5 แสนบาท
นายสุขวัฒน์ ด่านเสริมสุข กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีพีเอฟ ผลิตภัณฑ์อาหาร จำกัด ในฐานะบริษัทลูกของ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ภายใต้การดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับอาหารสำเร็จรูป, กิจการร้านเชสเตอร์ กริลล์, ร้านไทยไทย และ ร้านบัวบาน, ธุรกิจกุ้งแปรรูป และธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง เปิดเผยว่า ในปีนี้บริษัทฯมีแผนที่จะเดินหน้าธุรกิจร้านอาหารไทยไทยและบัวบาน ภายใต้การดูแลของ บริษัท โกลบอล คิทเช่น จำกัด โดยจะมีการพิจารณาร้านอาหารทั้งสองแบรนด์ ให้เหลือเพียงแบรนด์เดียว สำหรับการดำเนินธุรกิจร้านอาหารต่อไป ส่วนอีกหนึ่งแบรนด์ที่เหลือนั้น จะนำแบรนด์ดังกล่าวมาดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับอาหารกล่อง หรือ ข้าวกล่อง จำหน่ายต่อไป
“การที่จะยุบร้านอาหารลงหนึ่งแบรนด์นั้น เนื่องจากที่ผ่านมาทั้งบัวบานและไทยไทยนั้น ดำเนินธุรกิจไปในทิศทางเดียวกัน และมีรูปแบบที่เป็นร้านอาหารไทยเหมือนกัน ทำให้มีระบบการจัดการที่ยุ่งยาก ดังนั้นเพื่อลดความยุ่งยากดังกล่าว บริษัทฯจึงมีแผนที่จะปรับให้เหลือเพียงแบรนด์เดียวในการดำเนินธุรกิจร้านอาหารนั้นเอง ซึ่งโดยส่วนตัวแล้ว มองว่าแบรนด์ไทยไทยน่าจะดำเนินธุรกิจต่อได้ เนื่องจากชื่อของแบรนด์นั้น ง่ายต่อการที่จะมีการจำหน่ายไปยังต่างประเทศได้ แต่อย่างไรก็ตามต้องมีการพิจารณากันอีกครั้งในที่ประชุม ซึ่งถือเป็นขั้นตอนสุดท้ายว่าจะมีการดำเนินไปในทิศทางใด” นายสุขวัฒน์ กล่าว
ทั้งนี้ปัจจุบันร้านอาหารบัวบาน เปิดให้บริการ 11 สาขา ส่วนร้านอาหารไทยไทยนั้น ขณะนี้มีเพียง 2 สาขาเท่านั้น
อย่างไรก็ตามนอกจากการปรับเปลี่ยนในส่วนของร้านอาหารแล้ว บริษัทฯยังจะมีการดำเนินธุรกิจกาแฟอย่างต่อเนื่อง สำหรับเชสเตอร์คาเฟ่ หลังจากที่มีการเปิดตัวมากว่า 3 ปี โดยในขณะนี้ร้านเชสเตอร์คาเฟ่ที่เปิดในร้านเชสเตอร์ กริลล์ มีกว่า 30-40 สาขา และเปิดให้บริการในลักษณะสแตนด์อโลนไปแล้ว 8 สาขา
ล่าสุดบริษัทฯมีแผนการตลาดที่จะเปิดในช่องทางโมเดิร์นเทรด และช่องทางอื่นๆมากขึ้น อาทิ ออฟฟิศ สถาบันต่างๆ ในลักษณะ คีออสก์ ภายใต้แบรนด์ เอ็กซ์เพรสโซ โดยขณะนี้เปิดไปแล้ว 5 สาขา คือ เดอะมอลล์งามวงวาน, ศูนย์การค้าวรรัตน์, อาคารฟอร์จูน ทาวเวอร์, อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ และการกีฬาแห่งประเทศไทย ล่าสุดกำลังจะมีการเปิดบริการที่ มาเก็ตเพลส บาย ท็อปส์ สุขุมวิท24 ทั้งนี้ใช้งบลงทุนแต่ละสาขาไม่ต่ำกว่า 2.5 แสนบาท และมีราคาจำหน่ายเฉลี่ยแก้วละ 35 บาท ตอบสนองความต้องการของลูกค้าตั้งแต่ระดับล่างขึ้นไป
“สำหรับธุรกิจกาแฟนั้น ที่ผ่านมาจะเห็นว่า บริษัทฯ จะมีการทำการตลาดที่ไม่หวือหวามากนัก เนื่องจากบริษัทฯมีแนวคิดในการดำเนินธุรกิจว่า จะต้องมีการทดลองทำธุรกิจก่อนในลักษณะที่เจ็บตัวน้อยที่สุด ซึ่งหากธุรกิจนั้นไม่ได้รับการตอบรับที่ดี ก็จะเกิดการเสียหายไม่มากนัก แต่เมื่อธุรกิจนั้นมีการตอบรับที่ดีแล้ว จึงจะรุกทำตลาดอย่างจริงจัง อีกทั้งมองว่า ปัจจุบันไลฟ์สไตล์ของผู้ที่ชื่นชอบกาแฟนั้น เฉลี่ยมีอายุน้อยลงโดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่นที่หันมาดื่มกาแฟมากขึ้น”
นอกจากนี้ในส่วนของธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง แบรนด์ “เจอร์ไฮ” ภายใต้การดำเนินงานของบริษัท อินเตอร์เนชั่นเนล เพ็ท ฟู้ด จำกัดนั้น ถือได้ว่าได้รับการตอบรับที่ดี โดยในขณะนี้สามารถก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำในกลุ่ม สแนกสำหรับสัตว์เลี้ยง ล่าสุดกำลังมีแผนที่จะจำหน่ายยังต่างประเทศ อาทิ ประเทศออสเตรเลีย เนื่องจากขณะนี้มีนักธุรกิจชาวออสเตรเลียสนใจที่จะนำ เจอร์ไฮ ไปจำหน่ายแล้ว
อย่างไรก็ตามในส่วนของประเทศไทยเองนั้น ขณะนี้มีแผนการตลาดที่จะมีการโฆษณาประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่างๆมากขึ้น ล่าสุดกำลังจะมีการเจรจากับทางบริษัท แมทชิ่ง สตูดิโอ จำกัด ให้มาดำเนินการสร้างภาพยนตร์โฆษณาให้ คาดว่าภายในระยะเวลา 3 เดือน จะได้ชมภาพยนตร์โฆษณาเรื่องดังกล่าว
นายสุขวัฒน์ ด่านเสริมสุข กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีพีเอฟ ผลิตภัณฑ์อาหาร จำกัด ในฐานะบริษัทลูกของ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ภายใต้การดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับอาหารสำเร็จรูป, กิจการร้านเชสเตอร์ กริลล์, ร้านไทยไทย และ ร้านบัวบาน, ธุรกิจกุ้งแปรรูป และธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง เปิดเผยว่า ในปีนี้บริษัทฯมีแผนที่จะเดินหน้าธุรกิจร้านอาหารไทยไทยและบัวบาน ภายใต้การดูแลของ บริษัท โกลบอล คิทเช่น จำกัด โดยจะมีการพิจารณาร้านอาหารทั้งสองแบรนด์ ให้เหลือเพียงแบรนด์เดียว สำหรับการดำเนินธุรกิจร้านอาหารต่อไป ส่วนอีกหนึ่งแบรนด์ที่เหลือนั้น จะนำแบรนด์ดังกล่าวมาดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับอาหารกล่อง หรือ ข้าวกล่อง จำหน่ายต่อไป
“การที่จะยุบร้านอาหารลงหนึ่งแบรนด์นั้น เนื่องจากที่ผ่านมาทั้งบัวบานและไทยไทยนั้น ดำเนินธุรกิจไปในทิศทางเดียวกัน และมีรูปแบบที่เป็นร้านอาหารไทยเหมือนกัน ทำให้มีระบบการจัดการที่ยุ่งยาก ดังนั้นเพื่อลดความยุ่งยากดังกล่าว บริษัทฯจึงมีแผนที่จะปรับให้เหลือเพียงแบรนด์เดียวในการดำเนินธุรกิจร้านอาหารนั้นเอง ซึ่งโดยส่วนตัวแล้ว มองว่าแบรนด์ไทยไทยน่าจะดำเนินธุรกิจต่อได้ เนื่องจากชื่อของแบรนด์นั้น ง่ายต่อการที่จะมีการจำหน่ายไปยังต่างประเทศได้ แต่อย่างไรก็ตามต้องมีการพิจารณากันอีกครั้งในที่ประชุม ซึ่งถือเป็นขั้นตอนสุดท้ายว่าจะมีการดำเนินไปในทิศทางใด” นายสุขวัฒน์ กล่าว
ทั้งนี้ปัจจุบันร้านอาหารบัวบาน เปิดให้บริการ 11 สาขา ส่วนร้านอาหารไทยไทยนั้น ขณะนี้มีเพียง 2 สาขาเท่านั้น
อย่างไรก็ตามนอกจากการปรับเปลี่ยนในส่วนของร้านอาหารแล้ว บริษัทฯยังจะมีการดำเนินธุรกิจกาแฟอย่างต่อเนื่อง สำหรับเชสเตอร์คาเฟ่ หลังจากที่มีการเปิดตัวมากว่า 3 ปี โดยในขณะนี้ร้านเชสเตอร์คาเฟ่ที่เปิดในร้านเชสเตอร์ กริลล์ มีกว่า 30-40 สาขา และเปิดให้บริการในลักษณะสแตนด์อโลนไปแล้ว 8 สาขา
ล่าสุดบริษัทฯมีแผนการตลาดที่จะเปิดในช่องทางโมเดิร์นเทรด และช่องทางอื่นๆมากขึ้น อาทิ ออฟฟิศ สถาบันต่างๆ ในลักษณะ คีออสก์ ภายใต้แบรนด์ เอ็กซ์เพรสโซ โดยขณะนี้เปิดไปแล้ว 5 สาขา คือ เดอะมอลล์งามวงวาน, ศูนย์การค้าวรรัตน์, อาคารฟอร์จูน ทาวเวอร์, อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ และการกีฬาแห่งประเทศไทย ล่าสุดกำลังจะมีการเปิดบริการที่ มาเก็ตเพลส บาย ท็อปส์ สุขุมวิท24 ทั้งนี้ใช้งบลงทุนแต่ละสาขาไม่ต่ำกว่า 2.5 แสนบาท และมีราคาจำหน่ายเฉลี่ยแก้วละ 35 บาท ตอบสนองความต้องการของลูกค้าตั้งแต่ระดับล่างขึ้นไป
“สำหรับธุรกิจกาแฟนั้น ที่ผ่านมาจะเห็นว่า บริษัทฯ จะมีการทำการตลาดที่ไม่หวือหวามากนัก เนื่องจากบริษัทฯมีแนวคิดในการดำเนินธุรกิจว่า จะต้องมีการทดลองทำธุรกิจก่อนในลักษณะที่เจ็บตัวน้อยที่สุด ซึ่งหากธุรกิจนั้นไม่ได้รับการตอบรับที่ดี ก็จะเกิดการเสียหายไม่มากนัก แต่เมื่อธุรกิจนั้นมีการตอบรับที่ดีแล้ว จึงจะรุกทำตลาดอย่างจริงจัง อีกทั้งมองว่า ปัจจุบันไลฟ์สไตล์ของผู้ที่ชื่นชอบกาแฟนั้น เฉลี่ยมีอายุน้อยลงโดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่นที่หันมาดื่มกาแฟมากขึ้น”
นอกจากนี้ในส่วนของธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง แบรนด์ “เจอร์ไฮ” ภายใต้การดำเนินงานของบริษัท อินเตอร์เนชั่นเนล เพ็ท ฟู้ด จำกัดนั้น ถือได้ว่าได้รับการตอบรับที่ดี โดยในขณะนี้สามารถก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำในกลุ่ม สแนกสำหรับสัตว์เลี้ยง ล่าสุดกำลังมีแผนที่จะจำหน่ายยังต่างประเทศ อาทิ ประเทศออสเตรเลีย เนื่องจากขณะนี้มีนักธุรกิจชาวออสเตรเลียสนใจที่จะนำ เจอร์ไฮ ไปจำหน่ายแล้ว
อย่างไรก็ตามในส่วนของประเทศไทยเองนั้น ขณะนี้มีแผนการตลาดที่จะมีการโฆษณาประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่างๆมากขึ้น ล่าสุดกำลังจะมีการเจรจากับทางบริษัท แมทชิ่ง สตูดิโอ จำกัด ให้มาดำเนินการสร้างภาพยนตร์โฆษณาให้ คาดว่าภายในระยะเวลา 3 เดือน จะได้ชมภาพยนตร์โฆษณาเรื่องดังกล่าว