xs
xsm
sm
md
lg

อายิฯแก้เกมไตรมาสแรกต่ำเป้าหั่นงบโฆษณาชูแผนอัมเบรลล่ารับตลาดรวมหด

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

  ยักษ์ใหญ่ธุรกิจอาหาร “อายิโนะโมะโต๊ะ” ชี้สภาพตลาดอาหาร-เครื่องดื่มปีนี้หดตัว โตเท่าจีดีพีต่ำกว่า 4-4.5%  ราคาน้ำมันพ่นพิษ-กำลังซื้อหด กระทบผลประกอบการไตรมาสแรกต่ำกว่าเป้า ปรับกลยุทธ์หั่นงบอะโบฟเดอะไลน์  อัดบีโลว์เดอะไลน์แทนที่ หวังสิ้นปีโตตามเป้า 10% ล่าสุดทุ่ม 500 ล้านบาท ลุยสร้างแบรนด์เบอร์ดี้แข็งแกร่ง หวังใช้อัมเบรลล่าแบรนด์ 3 แคธิกอรี่ กาแฟกระป๋อง ทรีอินวัน ลูกอม สู้ศึกกาแฟ  

นายพิเชียร คูสมิทธิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อายิโนะโมะโต๊ะเซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายเครื่องดื่มและอาหารจากประเทศญี่ปุ่น เปิดเผยว่า ภาวะตลาดอาหารและเครื่องดื่มในปีนี้คาดว่าการเติบโตจะหดตัวลงเท่ากับจีดีพีหรือผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ ที่ประมาณการว่าจะโตไม่ต่ำกว่า 4 -4.5% เมื่อเทียบกับปีที่ 2548 ตลาดอาหารและเครื่องดื่มมีอัตราการเติบโตเท่ากับจีดีพีของประเทศ คือ 5.5% ทั้งนี้ปัจจัยที่ทำให้ตลาดอาหารและเครื่องดื่มมีอัตราการเติบโตน้อย สืบเนื่องจากราคาน้ำมันที่ปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ส่งผลให้กระทบทั้งตัวผู้ประกอบการ ต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้น ส่วนในแง่ของผู้บริโภคค่าครองชีพสูงขึ้น กำลังการซื้อลดลง

แนวโน้มดังกล่าวส่งผลให้ในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ ยอดขายโดยรวมของบริษัทฯต่ำกว่าเป้าหมายที่วางไว้คือ 10% เล็กน้อยโดยมีอัตราการเติบโตต่ำกว่า 10% ดังนั้นบริษัทฯจึงได้ปรับกลยุทธ์ในการทำตลาด โดยหันเน้นการทำบีโลว์เดอะไลน์มากกว่าการทำอะโบฟเดอะไลน์ เนื่องจากมีประสิทธิภาพและสามารถเข้าตรงถึงกลุ่มเป้าหมายได้เฉพาะเจาะจง  อีกทั้งยังไม่เสียงบสูงเมื่อเทียบกับการทำอะโบฟเดอะไลน์ เป็นสื่อที่ใช้งบสูง และเป็นการโฆษณาในลักษณะเหวี่ยงแห และยังปรับระบบการขนส่งให้มีประสิทธิภาพ เพื่อลดต้นทุน ผลักดันให้ผลประกอบการโดยรวมทั้งปีจะมีอัตราการเติบโตตามเป้าหมายที่วางไว้คือ 10%

งัดกลยุทธ์อัมเบรลล่าแบรนด์สู้ศึกกาแฟ
นายพิเชียร  กล่าวต่อถึงกลุ่มธุรกิจกาแฟซึ่งถือว่าเป็นธุรกิจหลักของอายิโนะโมะโต๊ะอีกกลุ่มหนึ่งว่า ปีนี้จะใช้แผนอัมเบรลล่าแบรนด์มาเป็นกลยุทธ์หลัก เพราะการแข่งขันตลาดกาแฟรุนแรง จึงต้องสร้างแบรนด์เบอร์ดี้ให้แข็งแกร่งเพื่อรุกในทุกแคธิกอรี่ โดยปีนี้บริษัทฯทุ่มงบการตลาด 500 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาที่ใช้ราว 300-400 ล้านบาท

สำหรับภายใต้แบรนด์เบอร์ดี้ประกอบด้วย 3 แคธิกอรี่ ได้แก่ กลุ่มกาแฟกระป๋อง มีกลุ่มเป้าหมายเป็นผู้ใช้แรงงานเป็นหลัก กาแฟทรีอินวันมีกลุ่มเป้าหมายอยู่ในวัยทำงานเป็นหลัก และลูกอมมีกลุ่มเป้าหมายอายุมากกว่า 14-15 ปีขึ้นไป  

ล่าสุดในช่วงฟุตบอลโลกหลังจากที่ได้เป็นผู้สนับสนุนการถ่ายทอดสดการแข่งขันฟุตบอลโลกปี 2006  ได้เตรียมจัดแคมเปญภายใต้สโลแกน “มันส์ทุกแมทกับเบอร์ดี้” ภายใต้การตอกย้ำ 3 แคธิกอรี่
รุกกาแฟทรีอินวันหนัก

นายพิเชียร กล่าวว่า ตลาดกาแฟมูลค่า 20,000 ล้านบาท แบ่งเป็นกาแฟกระป๋องพร้อมดื่มมีสัดส่วน 40% หรือคิดเป็นมูลค่า 8,000 ล้านบาทในปีนี้คาดว่าตลาดจะมีอัตราการเติบโต 5-6% เนื่องจากตลาดเริ่มมีฐานใหญ่ ส่วนตลาดกาแฟทรีอินวันคิดเป็นสัดส่วน 30% หรือคิดเป็นมูลค่า 6,000 ล้านบาท เป็นตลาดที่มีอัตราการเติบโตสูงที่สุดในปีที่ผ่านมาโต 30% และปีนี้คาดว่าตลาดจะโต 25% ส่วนที่เหลืออีก 30% เป็นอื่นๆ

ดังนั้นปีนี้บริษัทฯจึงหันมารุกตลาดกาแฟทรีอินวันหนัก ใช้งบการตลาดเพิ่มจาก 150 ล้านบาท เป็น 180 ล้านบาท โดยเตรียมออก 1-2 รสชาติใหม่ และลงทุน 50 ล้านบาทขยายกำลังการผลิต
ปัจจุบันเบอร์ดี้ทรีอินวันสร้างรายได้ให้กับกลุ่มกาแฟคิดเป็นสัดส่วน 20% โดยวางเป้าหมายไว้ว่าในอนาคตเบอร์ดี้จะมีส่วนแบ่งกาแฟทรีอินวันเป็น 20% ขึ้นเป็นอันดับสองหรือสามของตลาด จากปัจจุบันเบอร์ดี้มีส่วนแบ่ง 10% สิ้นปีนี้ตั้งเป้าส่วนแบ่งเพิ่มเป็น 12-15% ขณะที่ผู้นำตลาดกาแฟทรีอินวันเนสกาแฟครองส่วนแบ่ง 60% ส่วนด้านยอดขายปีนี้ตั้งเป้าโต 40% จากในปีที่ผ่านมามีรายได้ 450 ล้านบาท เติบโต 70%

อัดฉีด300ล.ต้อนรับน้องใหม่
นายพิเชียร กล่าวว่า ปีนี้บริษัททุ่มงบการตลาดกาแฟกระป๋องเบอร์ดี้เพิ่มเป็น 300 ล้านบาท จากในปีที่ผ่านมา 250 ล้านบาท เนื่องจากการแข่งขันในตลาดมีความรุนแรง มีผู้เล่นหน้าใหม่ลงสู่ตลาด อาทิ แบล็ก อัพ เป็นต้น นอกจากนี้ผู้เล่นรายใหญ่อัดโปรโมชัน โดยกลยุทธ์หลักปีนี้จะเน้นขยายฐานกลุ่มคนรุ่นใหม่ต่อเนื่องแคมเปญในปีที่ผ่านมา“พาใจสู่ใจฝัน”

ล่าสุดบริษัทฯได้ปรับการสื่อสารตลาดใหม่ นำแบงค์ วงแคลช ขึ้นแท่นพรีเซ็นเตอร์ หลังจากก่อนหน้านี้เบอร์ดี้ใช้พรีเซ็นเตอร์ อาทิ พลพล ,อำพล ลำพูน และไท ธนาวุฒิ โดยภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่มีแนวคิด”Go For Goal” หรือ “ไม่มีฝันไหนเกินใจเรา” นอกจากนี้ยังได้เตรียมเปิดตัว 1-2รสชาติใหม่เพื่อขยายฐานกลุ่มวัยรุ่น   
ปัจจุบันกาแฟกระป๋องเบอร์ดี้สร้างรายได้เป็นอันดับหนึ่งในกลุ่มกาแฟมีมูลค่าถึง 5,000 ล้านบาท หรือคิดเป็น 60-70%  โดยปีนี้ตั้งเป้ามีอัตราการเติบโต 6% นอกจากนี้ยังเป็นผู้นำตลาดมีส่วนแบ่ง  70%  เนสกาแฟเป็นอันดับสองมีส่วนแบ่ง 30%  

ด้านภาวะตลาดลูกอมกาแฟมูลค่า 500 ล้านบาทไม่มีอัตราการเติบโต ดังนั้นปีนี้บริษัทฯใช้งบการตลาดไม่ถึง 20 ล้านบาท อย่างไรก็ตามกลุ่มลูกอมถือว่าเป็นธุรกิจที่สำคัญ เพราะเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างฐานลูกค้ากาแฟในระยะยาว ซึ่งปัจจุบันในตลาดนี้มีคู่แข่งรายหลัก คือ คาปิโก เป็นผู้นำตลาดครองส่วนแบ่ง 70% ส่วนเบอร์ดี้ 15% ที่เหลือ 15% เป็นอื่นๆ ปัจจุบันสัดส่วนรายได้ลูกอมมีราว 50 ล้านบาท หรือคิดเป็น 10% สิ้นปีนี้ตั้งเป้ายอดขายเติบโต 10%  
กำลังโหลดความคิดเห็น