xs
xsm
sm
md
lg

คนไทยกำลังจะเปลี่ยนไปอย่างไม่มีใครคาดคิด

เผยแพร่:   โดย: ยอดรัก ตะวันรอน

ผมเกิดมาค่อนข้างนานได้พบปะผู้คนมามาก ได้รู้ได้เห็นอะไรต่ออะไรมามาก แต่ตลอดเวลาเหล่านั้นไม่มีใครบอกกล่าวกับผมเลยว่า คนเราจะอยู่ยังไงและจะกินอย่างไรหรือจะต้องทำอะไรบ้างในการเกิดมามีชีวิตอยู่ต่อไป

ต่างคนต่างอยู่ ต่างคนก็ต่างทำมาหากินแล้วแต่ว่าใครจะถนัดทางไหน ใครจะทำอะไรก็ตามใจเขา ขอให้เราอยู่ได้และมีกินไปวันๆ เท่านั้นเป็นพอ

จนกระทั่งต่อมาวันหนึ่งในขณะที่เรากำลังมีชีวิตไม่รู้เหนือรู้ใต้อยู่นั้น บ้านเมืองของเราเริ่มเปลี่ยนแปลงไปตามมีตามเกิด หลังจากการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตยมาใช้แทนที่ใน พ.ศ. 2475 ชีวิตคนไทยจะเริ่มขี้เกียจสนองความต้องการใหม่ๆ ของสังคมไทยขึ้นมา คือเมืองไทยจะต้องเป็นประ
เทศประชาธิปไตย ทุกคนต้องอยู่ในระบอบประชาธิปไตย ซึ่งในที่สุดการทำมาหากินในระบอบประชาธิปไตยสมัยนั้นจะกระทำตามสุภาษิตไทยดั้งเดิมที่ว่า “มือใครยาว สาวได้สาวเอา” โดยมีคนกลุ่มหนึ่งที่มีอำนาจที่จะควบคุมระบอบประชาธิปไตยนี้ เป็นคณะบุคคล เป็นรัฐบาล หรือเป็นนักการเมืองในสมัยนี้

กลุ่มบุคคลเหล่านี้จะมีหน้าที่ 3 อย่างในการเข้ามาควบคุมระบอบประชาธิปไตยคือ (1) แย่งกันมีอำนาจ (2) ดำเนินการคอร์รัปชัน (3) ผู้มีอำนาจทั้งน้อยและมากจะแบ่งกันแสวงหาอำนาจและทำลายซึ่งกันและกัน ซึ่งวิญญาณของระบอบประชาธิปไตยดังกล่าวนี้สืบทอดมาถึงทุกวันนี้ จนกระทั่งเพิ่มความรุนแรงยิ่งขึ้น ถึงขนาดที่ว่าใครอยากจะทำอะไรก็ทำ ใครอยากจะร่ำรวยประการใดก็แสวงหาเอา และจบลงด้วยการให้ร้ายป้ายสีกัน

เช่นเดียวกับเมืองไทยของเราที่พากันสะเออะไปลากเอาระบอบประชาธิปไตยเข้ามาในประเทศเกือบจะถึง 100 ปีมาแล้ว มันยังเป็นอะไรไม่ได้แม้แต่เริ่มต้น

ในการจัดการเลือกตั้งขึ้นมาในบ้านเมืองเมื่อไม่กี่วันมานี้ ถ้าใครอยากจะรู้ว่ามันจะเป็นประชาธิปไตยหรือไม่ ก็อาจจะทบทวนศึกษาได้จากพระราชดำรัสในพระบาทสมเด็จพระเจ้าเอยู่หัวที่ตรัสกับเจ้าหน้าที่ศาลปกครอง ประธานศาลฎีกา และคณะตุลาการศาลยุติธรรม เมื่อเร็วๆ นี้ดู

การคอร์รัปชันในสมัยนั้นในระบอบประชาธิปไตยที่โด่งดังที่สุดก็คือวิธีการฉ้อฉลเอาทรัพย์สินของแผ่นดินเข้ามาเป็นของตัวเอง นั่นคือการคอร์รัปชันในกรณีการโอนที่ดินของพระมหากษัตริย์มาซื้อขายแบ่งกันในบรรดาผู้มีอำนาจของระบอบประชาธิปไตย เหมือนกับที่นักการเมืองในยุคนี้คือ การยึดรัฐวิสาหกิจมาเป็นของรัฐบาลแล้วโอนเข้าตลาดหลักทรัพย์ เช่นกรณีปตท.หรือแม้แต่สนามบินของไทยที่เอาไปขายให้แก่สิงคโปร์ มาเลเซียนั่นแหละ

สำหรับการแย่งอำนาจนั้นถือว่า ใครก็ตามที่มีการเคลื่อนไหวและมีความคิดเห็นไม่เหมือนพวกตัวเองก็จับกุมส่งเข้าตารางไป หรือไม่ก็ติดตามฆ่าทิ้งเช่นเดียวกับที่ขบวนการพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่กำลังจัดรายการปราศรัยอยู่ที่สนามหลวงและสวนลุมพินี ปรากฏว่าทรราชที่ถือว่าตนเองคือเจ้าของประชาธิปไตย ไม่รู้ว่าจะจัดการได้อย่างไรนอกจากตั้งข้อหาโง่ๆว่าเป็นการร่วมชุมนุมกันที่ทำให้การจราจรติดขัด

ตลอดเวลานานกว่า 60 ปี ของระบอบประชาธิปไตยที่เราลอกเลียนระบบการเมืองต่างประเทศ เพื่อหาทางทำมาหากินเองนี้ เจ้าหน้าที่บ้านเมืองของระบอบไม่เคยคำนึงถึงประชาชนเจ้าของแผ่นดินที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นในแต่ละปี เฉพาะอย่างยิ่งการบอกกล่าวและสนับสนุนในการเรียนรู้ของประชาชนว่า เมื่อเกิดมาแล้วจะอยู่อย่างไร ทำมาหากินอย่างไร หรือจะต้องมีความรู้ความสามารถอะไรบ้าง พวกนักประชาธิปไตยพวกนี้จะไม่นึกถึง

ทำได้แต่เพียงการบังคับให้เรียนหนังสืออย่างน้อยก็ต้องจบประถม 4 เป็นสำคัญ และเมื่อจบประถม 4 ซึ่งพออ่านออกเขียนได้แล้ว ก็กลับไปทำไร่ทำนาซึ่งขึ้นอยู่กับดินฟ้าอากาศโดยไม่ต้องสนใจว่าคนไทยที่เกิดติดตามกันมาเป็นล้านๆ คนต่อปีนั้น จะต้องอยู่อย่างไรและจะทำอะไรต่อไปหลังจากจบการเล่าเรียน และมีความรู้แต่เพียงอ่านออกเขียนไว้ว่า “ตาดีมือแปแกไปนาตาขำ” ตามหนังสือแบบเรียนเร็วเล่มหนึ่งเท่านั้นซึ่งเป็นเรื่องเฮงซวยที่สุด

ระบอบประชาธิปไตยของเรา ไม่ได้ให้อะไรแม้แต่นิด เกี่ยวกับจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้นเป็นสิบๆ ล้านคน ตลอดเวลา 60 กว่าปีที่ผ่านมา

โลกทั้งโลกเจริญก้าวหน้าและทำมาหากินได้อย่างทั่วถึงกันเกือบหมดแล้ว คนไทยและเมืองไทยต้องหันหน้ามาพึ่งหวยใต้ดิน การทำมาหากินหรือเงินทองที่ได้มาจากการขายแรงงาน หรือจากการเก็บหอมรอมริบทุกบาททุกสตางค์ต้องเอาไปซื้อหวยเพื่อขอความช่วยเหลือจากความฝันของตัวเอง เป็นการแก้เซ็งแก้เหงาไปวันๆ

สำหรับทางด้านวัฒนธรรมและศิลปะนั้น นับตั้งแต่วันแรกที่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นต้นมา เราทำได้แต่เพียงสอนให้คนไทยพัฒนาการร่วมกันให้ทั่วประทศ และเลิกนุ่งผ้าโจงกระเบน และให้สวมหมวกแบบฝรั่ง เมื่อเวลาออกจากบ้านต้องจูบเมียสักครั้งหนึ่งเป็นอย่างน้อยและต้องเปลี่ยนคำเรียกผัวและเมียว่า “ฉันและท่าน”

โดยพื้นฐานทางประชาธิปไตยที่เรายืมฝรั่งมาโดยที่คนไทยไม่ยอมเป็นฝรั่ง เราก็รู้ว่าความฉิบหายนานาประการได้เดินทางเข้าสิงสู่อยู่กินกับชีวิตของคนส่วนใหญ่ขึ้นมาทุกวัน

ระบอบประชาธิปไตยของเราที่ดำเนินมาอย่างนี้ติดต่อกันมานานกว่า 60 ปี สังคมไทยและคนไทยมีสภาพไม่มากไปกว่าคนเดินหลับ อย่าไปคิดว่าเขาเหล่านั้นจะไม่ทำประโยชน์ให้แก่ประทศอย่างเดียวเท่านั้น แม้แต่ตัวเขาเองส่วนมากก็ไม่สามารถจะพึ่งตัวเองอย่างหนึ่งอย่างใดได้

แต่ท่ามกลางระบอบประชาธิปไตยที่เรานำมาใช้ในประเทศในลักษณะที่เป็นสวนสัตว์ทางการเมืองที่ลากถูลู่ถูกังกันมาในสภาพที่เป็นแหล่งทำมาหากินของสัตว์ใหญ่และมีอำนาจแต่กลุ่มของตัวเอง บรรดาประชาชนพลเมืองที่มีสภาพเป็นเหยื่อของสารพัดสัตว์ ก็พยายามตื่นและพยายามต่อสู้และรวมตัวกันเข้ามาเป็นจำนวนมากเพื่อใช้จำนวนคนและการผนึกกำลังที่เหนียวแน่นไม่เคยหยุดขึ้นมาอีกเหมือนกัน แต่เพียงเริ่มต้นว่าจะมีน้ำยาในการสร้างชาติและสังคมไทยให้มีความหมายกว่าการเป็นสวนสัตว์ที่ต้องการระเบียบแบบแผนและผู้นำที่ดี แต่ครั้งแล้วครั้งเล่าที่การรวมตัวกันไม่ว่าจะเป็น 14 ตุลาคมหรือพฤษภาทมิฬ แต่ปรากฏว่าไม่ประสบความสำเร็จ ที่สำคัญที่สุดก็คือจากแนวทางและผู้นำที่ดีก็แตกตัวออกไปกลายเป็นสัตว์เล็กที่ต้องเป็นเหยื่อสัตว์ใหญ่ตามบุญตามกรรมต่อไป

แต่วันนี้ การรวมตัวหรือการตื่นจากหลับของคนไทยแบบเก่าที่ผ่านมาแล้วนั้น ก็เริ่มต้นขึ้นมาอีกอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยและเป็นการรวมตัวกันชนิดเป็นตายยังไงก็ยอม ซึ่งตอนนี้เหมือนจะทั่วประเทศแล้ว นั่นคือการชุมนุมกีดขวางการจราจรตามความเห็นของบรรดาสัตว์ใหญ่หรือสัตว์กินบ้านกินเมือง ซึ่งคนเหล่านี้เรียกตัวเองว่า “พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” โดยการนำของ คุณสนธิ ลิ้มทองกุล กับพันธมิตรฯ ซึ่งน่าจะถือว่าเป็นปรากฏการณ์ที่น่าสังเกตอย่างยิ่ง

เป็นการรวมตัวของประชาชนทั่วประเทศโดยไม่มีการเรียกร้องจากผู้หนึ่งผู้ใด แต่เป็นความเห็นร่วมกันของคนทุกคนที่มารวมตัวกันเพราะความห่วงบ้านเมือง

เป็นการรวมตัวโดยไม่มีการเรียกร้องต่อรองอะไรทั้งสิ้น

นอกจากความต้องการอย่างเดียวเท่านั้นคือไม่ต้องการนักการเมืองในระบอบประชาธิปไตยที่ปลิ้นปล้อนฉ้อฉล และโกงกินบ้านกินเมืองกันอยู่ในขณะนี้

และต้องการแต่เพียงว่าใครที่เกี่ยวข้องกับความชั่วร้ายเหล่านี้จะต้องออกจากตำแหน่งหน้าที่ และความรับผิดชอบในบ้านเมืองอย่างเด็ดขาด

คนไทยประเทศไทยทั้งตะวันตกตะวันออกเหนือใต้มีความเห็นร่วมกัน โดยไม่มีการใส่ร้ายป้ายสีหรือชักนำโน้มน้าวผู้ใดให้เชื่อถือ ทุกคนตัดสินด้วยตัวเองและพอใจที่จะกระทำด้วยตัวเอง เพราะการกระทำของนักการเมืองที่กำลังทำลายชาติไทยอยู่นั้น เขาไม่สามารถจะปิดบังความชั่วใดๆ ต่อไปได้ การทำลายประเทศชาติประชาชนของนักการเมืองเหล่านั้น ได้ถูกเปิดเผยทั้งทางตรงและทางอ้อม ทั้งปิดลับและเปิดเผยเรียบร้อยแล้วทุกเรื่องทุกด้าน

การรวมตัวของประชาชนทั่วประเทศในขณะนี้ ได้มีการจัดตั้งแนวร่วมกันได้หมดแล้วทั้งชาติ ไม่ว่าประชาชนเหล่านี้จะถูกนักปล้นชาติและบรรดาสุนัขรับใช้สมุนบริวารทั้งหมดจะขัดขวางข่มขู่ประการใด หรือว่าการมารวมตัวกันนั้นจะเป็นวันเป็นเดือน และต้องมานอนกลางดินกินกลางทรายริมถนนหลวงที่ถึงกับถูกรถทับตาย ทุกคนก็ไม่เคยสะดุ้งหวาดกลัวใดๆ ทั้งสิ้น

ที่ประหลาดที่สุดก็คือในการจัดชุมนุมกันด้วยความสมัครใจที่ว่านี้ ในแต่ละครั้ง ค่าใช้จ่ายของขบวนการทั้งหมดมาจากการบริจาคของประชาชนทั่วประเทศในแต่ละครั้งเป็นล้านๆและหลายล้านบาทโฆษกพันธมิตรฯ ประกาศว่าเงินบริจาคตั้งแต่ 20 บาทไปจนกระทั่งเป็นหมื่นเป็นแสน เป็นเงินบริจาคของประชาชนทั้งสิ้นและมาถึงวันนี้ก็มากกว่า 20 ล้านบาทแล้ว

แม้แต่จากคนไทยในอเมริกาหรือประเทศอื่นๆ ในต่างประเทศก็ให้มาเป็นหมื่นๆ ทีเดียว

การชุมนุมแบบสันนิบาตคนไทยที่รักชาติเป็นห่วงชาติดังกล่าวนี้ น่าจะเชื่อว่าเป็นการเกิดขึ้นของวิญญาณใหม่ของคนไทยที่ไม่มีวันจะดับหรือมอดลงไปได้ นอกจากจะเป็นตัวอย่าง เป็นแนวทางสำหรับคนไทยทั้งชาติต่อไปในอนาคตอีกนานเท่านาน

ถึงแม้ว่านักการเมืองในระบอบประชาธิปไตยปล้นชาติสกปรกของเราที่ขายชาติขายประเทศอยู่ทุกวันนี้ จะได้รับการคุ้มครองจากพระผู้เป็นเจ้าหรือผีสางเทวดาที่ไหนก็ตามโอกาสที่จะรอดและจะนำระบอบประชาธิปไตยนี้ไปใช้ต่อไปคงไม่มีทางทำได้อีกแล้ว

แม้ว่าคนไทยและกลุ่มพันธมิตรฯ เหล่านี้มีแต่เพียงมือเปล่าก็ตาม จะไม่มีใครทำอะไรได้ นอกจากจะได้รับการถ่ายทอดและจดจำกันไปชั่วลูกชั่วหลาน

การตื่นตัวของประชาชนทั้งชาติวันนี้จะเป็นแนวทางอมตะ และผู้ที่ควรจะได้รับความขอบใจของคนทั้งชาติในครั้งนี้ก็คือรัฐบาลหรือนักการเมืองมหาวิบัติชุดนี้ ที่ทำให้การปล้นชาติปล้นแผ่นดินอย่างอุบาทว์นานาประการให้คนไทยทั้งชาติตื่นตัวกันโดยไม่มีการนัดหมาย
กำลังโหลดความคิดเห็น