ผู้จัดการรายวัน-อียูเปิดไต่สวนไทยทุ่มตลาด (เอดี) ข้าวโพดกระป๋องแล้ว หลังพบไทยยังขายต่ำกว่าต้นทุน แฉผู้ส่งออกบางรายดื้อแพ่ง ทั้งๆ ที่ลงสัตยาบรรณร่วมกันแล้วจะไม่ขายต่ำกว่าทุน จนทำให้เจ้าอื่นซวยไปด้วย “พาณิชย์”โดดช่วยผู้ส่งออกตอบแบบสอบถาม
นางนันทวัลย์ ศกุนตนาค รองอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆ นี้ ทางการอียูได้เปิดไต่สวนการทุ่มตลาด (เอดี) ผู้ผลิตข้าวโพดกระป๋องของไทย ตามที่อุตสาหกรรมผลิตข้าวโพดกระป๋องภายในอียูร้องเรียน เพราะได้รับความเสียหายจากการที่ผู้ส่งออกไทยขายสินค้าดังกล่าวในอียูในราคาต่ำกว่าต้นทุน และขณะนี้ทางการอียูได้ส่งแบบสอบถามเกี่ยวกับต้นทุนการผลิต ราคาขาย รายงานทางบัญชี เป็นต้น มาให้ผู้ส่งออกไทย 4 บริษัทได้ตอบ เพื่อนำไปเป็นข้อมูลในการพิจารณาว่า ผู้ส่งออกไทยทุ่มตลาดจริงหรือไม่
“ขณะนี้ กรมฯ ได้ช่วยเหลือผู้ส่งออกในการกรอกแบบสอบถามว่าต้องตอบอย่างไร เพื่อให้เป็นประโยชน์กับผู้ส่งออกมากที่สุด หากอียูพิจารณาแล้วพบว่าไทยทุ่มตลาดจริงก็จะเรียกเก็บอากรเอดีจากผู้ส่งออก แต่เชื่อว่าคงเป็นอัตราที่ไม่มากนัก เพราะ 4 รายที่ตอบแบบสอบถามล้วนแต่เป็นรายใหญ่ และมีความพร้อมในการตอบแบบสอบถามเป็นอย่างดี” นางนันทวัยล์กล่าว
สำหรับการที่ไทยถูกฟ้องทุ่มตลาดครั้งนี้ ผู้ส่งออกแจ้งให้ทราบว่า ไม่ได้เป็นการขายสินค้าต่ำกว่าต้นทุน แต่มีผู้ส่งออกรายเล็กๆ บางรายที่มีต้นทุนการผลิตต่ำ จึงขายราคาต่ำได้ อย่างไรก็ตาม กรมฯ ทราบข่าวมานานแล้วว่า อุตสาหกรรมภายในของอียูจะฟ้องร้องให้ทางการเปิดไต่สวนเอดีผู้ส่งออกไทย จึงได้เรียกทั้งอุตสาหกรรมมาลงสัตยาบรรณร่วมกันว่าจะไม่ขายราคาต่ำกว่าต้นทุน แต่ก็ยังมีบางรายขายต่ำกว่าทุน และถูกฟ้องทุ่มตลาดในที่สุด
นางนันทวัลย์กล่าวว่า หากอียูพิจารณาแล้วพบว่า ผู้ส่งออกไทยทุ่มตลาดจริง ก็จะประกาศเรียกเก็บอากรเอดี แต่ในการตัดสินเบื้องต้น ผู้ส่งออกไทยสามารถอุทธรณ์ได้หากไม่ได้ทุ่มตลาดอียูจริง แต่หลังจากอุทธรณ์แล้ว และอียูได้พิจารณาใหม่ หากผู้ส่งออกไทยไม่มีหลักฐานที่จะหักล้างคำตัดสินในเบื้องต้น อียูก็จะประกาศการตัดสินครั้งสุดท้ายยืนตามการตัดสินเบื้องต้น เท่ากับว่าผู้ส่งออกต้องเสียอากรเอดี ซึ่งจะส่งผลให้ราคาสินค้าดังกล่าวของไทยในอียูเพิ่มขึ้นตามไปด้วย จากปัจจุบันที่ไทยส่งออกสินค้าดังกล่าวไปอียูได้โดยไม่ต้องเสียภาษีนำเข้า
“อยากจะเตือนผู้ส่งออกไทยว่า ให้ส่งออกสินค้าตามราคาปกติ อย่าได้ทุ่มตลาด เพราะจะทำให้ผู้ส่งออกสินค้าเดียวกันทุกรายของไทยได้รับความเดือดร้อนด้วย ไม่เฉพาะแต่ผู้ที่ทุ่มตลาดเพียงรายเดียวที่จะเดือดร้อน เพราะจะถูกเรียกเก็บอากรเอดีเช่นเดียวกัน”นางนันทวัลย์กล่าว
นางนันทวัลย์ ศกุนตนาค รองอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆ นี้ ทางการอียูได้เปิดไต่สวนการทุ่มตลาด (เอดี) ผู้ผลิตข้าวโพดกระป๋องของไทย ตามที่อุตสาหกรรมผลิตข้าวโพดกระป๋องภายในอียูร้องเรียน เพราะได้รับความเสียหายจากการที่ผู้ส่งออกไทยขายสินค้าดังกล่าวในอียูในราคาต่ำกว่าต้นทุน และขณะนี้ทางการอียูได้ส่งแบบสอบถามเกี่ยวกับต้นทุนการผลิต ราคาขาย รายงานทางบัญชี เป็นต้น มาให้ผู้ส่งออกไทย 4 บริษัทได้ตอบ เพื่อนำไปเป็นข้อมูลในการพิจารณาว่า ผู้ส่งออกไทยทุ่มตลาดจริงหรือไม่
“ขณะนี้ กรมฯ ได้ช่วยเหลือผู้ส่งออกในการกรอกแบบสอบถามว่าต้องตอบอย่างไร เพื่อให้เป็นประโยชน์กับผู้ส่งออกมากที่สุด หากอียูพิจารณาแล้วพบว่าไทยทุ่มตลาดจริงก็จะเรียกเก็บอากรเอดีจากผู้ส่งออก แต่เชื่อว่าคงเป็นอัตราที่ไม่มากนัก เพราะ 4 รายที่ตอบแบบสอบถามล้วนแต่เป็นรายใหญ่ และมีความพร้อมในการตอบแบบสอบถามเป็นอย่างดี” นางนันทวัยล์กล่าว
สำหรับการที่ไทยถูกฟ้องทุ่มตลาดครั้งนี้ ผู้ส่งออกแจ้งให้ทราบว่า ไม่ได้เป็นการขายสินค้าต่ำกว่าต้นทุน แต่มีผู้ส่งออกรายเล็กๆ บางรายที่มีต้นทุนการผลิตต่ำ จึงขายราคาต่ำได้ อย่างไรก็ตาม กรมฯ ทราบข่าวมานานแล้วว่า อุตสาหกรรมภายในของอียูจะฟ้องร้องให้ทางการเปิดไต่สวนเอดีผู้ส่งออกไทย จึงได้เรียกทั้งอุตสาหกรรมมาลงสัตยาบรรณร่วมกันว่าจะไม่ขายราคาต่ำกว่าต้นทุน แต่ก็ยังมีบางรายขายต่ำกว่าทุน และถูกฟ้องทุ่มตลาดในที่สุด
นางนันทวัลย์กล่าวว่า หากอียูพิจารณาแล้วพบว่า ผู้ส่งออกไทยทุ่มตลาดจริง ก็จะประกาศเรียกเก็บอากรเอดี แต่ในการตัดสินเบื้องต้น ผู้ส่งออกไทยสามารถอุทธรณ์ได้หากไม่ได้ทุ่มตลาดอียูจริง แต่หลังจากอุทธรณ์แล้ว และอียูได้พิจารณาใหม่ หากผู้ส่งออกไทยไม่มีหลักฐานที่จะหักล้างคำตัดสินในเบื้องต้น อียูก็จะประกาศการตัดสินครั้งสุดท้ายยืนตามการตัดสินเบื้องต้น เท่ากับว่าผู้ส่งออกต้องเสียอากรเอดี ซึ่งจะส่งผลให้ราคาสินค้าดังกล่าวของไทยในอียูเพิ่มขึ้นตามไปด้วย จากปัจจุบันที่ไทยส่งออกสินค้าดังกล่าวไปอียูได้โดยไม่ต้องเสียภาษีนำเข้า
“อยากจะเตือนผู้ส่งออกไทยว่า ให้ส่งออกสินค้าตามราคาปกติ อย่าได้ทุ่มตลาด เพราะจะทำให้ผู้ส่งออกสินค้าเดียวกันทุกรายของไทยได้รับความเดือดร้อนด้วย ไม่เฉพาะแต่ผู้ที่ทุ่มตลาดเพียงรายเดียวที่จะเดือดร้อน เพราะจะถูกเรียกเก็บอากรเอดีเช่นเดียวกัน”นางนันทวัลย์กล่าว