โทนี่แอนด์กายเผยสารพัดปัจจัยลบฟาดหางทำให้คนเครียดและแห่เข้าร้านทำผมเพิ่ม ดันยอดรายได้ต้นปีโต20% ปีนี้เตรียมงบการตลาดกว่า 10 ล้านบาทรุกตลาดหนักขึ้นในรอบ 5 ปี ล่าสุดเตรียมทำโปรเจคนิตยสารอนาเตอร์มี 2006 รวม 50 ทรงผมเด็ดวางขาย 1 หมื่นเล่ม ส่วนร้านแฟรนไชส์เอสเซนเชียลตั้งเป้าภายใน 5 ปีเปิดให้ครบ 10 สาขา ปัจจุบันมี 2 แห่ง ปีนี้เล็งเปิดเพิ่มที่สนามบินสุวรรณภูมิ
นางสาวศิริฉัตร ฉัตรแก้ว ผู้อำนวยการสถาบันโทนี่ แอนด์ กาย (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า ปัจจัยลบต่างๆที่เกิดขึ้น อาทิ ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว,ราคาน้ำมัน และการเมือง เป็นต้น ไม่ได้ส่งกระทบต่อกำลังซื้อของผู้บริโภคแต่อย่างใด และยิ่งคนมีความเครียดก็ยิ่งเข้าร้านทำผมมากขึ้น โดยยอดรายได้ช่วงต้นปีที่ผ่านมาของโทนี่แอนด์กายพบว่าเติบโตขึ้น 20% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ซึ่งปกติช่วงเวลาดังกล่าวจะเติบโตขึ้น 10%
ส่วนแผนการตลาดของโทนี่แอนด์กายในปีนี้ทางสถาบันฯเตรียมที่จะรุกตลาดมากขึ้นในรอบ 5 ปี ภายใต้งบการตลาดมากกว่า 10 ล้านบาท ในการทำตลาดและโฆษณาผ่านสื่อต่างๆ รวมถึงการทำโปรโมชั่น และเป็นสปอนเซอร์ในงานต่างๆ เช่น งานประกวดมิสไทยแลนด์ยูนิเวิร์ส ,งามเอ็มทีวี เอเชีย อวอร์ด 2006 เป็นต้น
ล่าสุดสถาบันฯ เตรียมทำนิตยสารสำหรับผม ภายใต้ชื่อคอนเซ็ปต์ “ANOTHER ME Magazine 2006 พบคุณ...คนใหม่” โดยจะคัดเลือกผู้สมัครกว่าพันคนให้เหลือ 50 คน จากนั้นก็จะนำนางแบบและนายแบบมาแปลงโฉมและถ่ายแบบทรงผมลงนิตยสารดังกล่าว ต่อจากนั้นจะคัดเลือกให้เหลือ 15 คน เพื่อไปแข่งขันกับโทนี่แอนด์กายชาติอื่นๆกว่า 400 สาขาที่อังกฤษ ภายใต้โปรเจค “ANOTHER ME หรืออนาเตอร์ มี”
“โปรเจคแม็กกาซีนเราลงทุนกว่า 10 ล้านบาท ในการรวบรวมทรงผม 50 ทรงจากนางแบบและนายแบบคนไทยที่คัดเลือกมา โดยนิตยสารเล่มนี้จะจำหน่ายในเดือนมิถุนายนนี้ตามแผงหนังสือทั่วไป ราคาขาย 500 บาท ผลิตปีละครั้ง จำนวน 1 หมื่นเล่ม”
ปัจจุบันโทนี่แอนด์กายในไทยมีอยู่ 1 สาขาที่สยาม ดิสคัฟเวอร์รี่ เซ็นเตอร์ โดยกลุ่มลูกค้าหลักจะเป็นกลุ่มไฮเอนด์เป็นหลัก คิดเป็นคนต่างประเทศ 70% และ 30% เป็นคนไทย ส่วนค่าบริการจะอยู่ประมาณ 700-3,000 บาท และรองรับลูกค้าได้วันละ 150 ที่นั่ง
สำหรับยอดรายได้ปีนี้คาดว่าจะโตขึ้น 10% จากยอดรายได้ปีที่แล้วที่ได้ประมาณ 30-40 ล้านบาท
ผุดเอสเซนเชียลสาขา 3 ที่สุวรรณภูมิ
นอกจากนี้ทางสถาบันฯยังมีร้านทำผมอีกแบรนด์ ภายใต้ชื่อ “เอสเซนเชียลหรือ Essensial” ซึ่งเป็นแบรนด์ลูกของโทนี่แอนด์กาย ปัจจุบันมี 2 สาขา ได้แก่ ที่มาบุญครองและภูเก็ต ล่าสุดเตรียมเปิดสาขาที่ 3 ที่สนามบินสุวรรณภูมิ คาดว่าจะเปิดบริการได้ในช่วงเดือนกรกฎาคมนี้ โดยทางสถาบันฯตั้งเป้าจะขยายสาขาเอสเซนเชียลไปทั่วประเทศให้ครบ 10 แห่งภายใน 5 ปีนี้
ส่วนการดำเนินธุรกิจของเอสเซนเชียลจะเป็นรูปแบบแฟรนไชส์ ซึ่งทางสถาบันฯจะร่วมลงทุนด้วยอย่างน้อย 10% ขึ้นไป โดยแฟรนไชส์ที่จะเข้ามาดำเนินธุรกิจจะต้องเคยทำงานในโทนี่ฯกว่า 2 ปี หรือทุกตำแหน่งจะต้องเข้ามาเทรนที่สถาบันฯ เป็นต้น เนื่องจากต้องการควบคุมมาตรฐานให้ได้
กลุ่มเป้าหมายของเอสเซนเชียลจะเป็นตลาดรองลงมาหรือกลุ่มวัยรุ่นและวัยทำงาน โดยค่าบริการจะถูกกว่าโทนี่ฯอยู่ 20% หรือประมาณ 500-1,500 บาท ส่วนยอดรายได้ของเอสเซนเชียลจะคุ้มทุนภายใน 1-2 ปี
นางสาวศิริฉัตร ฉัตรแก้ว ผู้อำนวยการสถาบันโทนี่ แอนด์ กาย (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า ปัจจัยลบต่างๆที่เกิดขึ้น อาทิ ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว,ราคาน้ำมัน และการเมือง เป็นต้น ไม่ได้ส่งกระทบต่อกำลังซื้อของผู้บริโภคแต่อย่างใด และยิ่งคนมีความเครียดก็ยิ่งเข้าร้านทำผมมากขึ้น โดยยอดรายได้ช่วงต้นปีที่ผ่านมาของโทนี่แอนด์กายพบว่าเติบโตขึ้น 20% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ซึ่งปกติช่วงเวลาดังกล่าวจะเติบโตขึ้น 10%
ส่วนแผนการตลาดของโทนี่แอนด์กายในปีนี้ทางสถาบันฯเตรียมที่จะรุกตลาดมากขึ้นในรอบ 5 ปี ภายใต้งบการตลาดมากกว่า 10 ล้านบาท ในการทำตลาดและโฆษณาผ่านสื่อต่างๆ รวมถึงการทำโปรโมชั่น และเป็นสปอนเซอร์ในงานต่างๆ เช่น งานประกวดมิสไทยแลนด์ยูนิเวิร์ส ,งามเอ็มทีวี เอเชีย อวอร์ด 2006 เป็นต้น
ล่าสุดสถาบันฯ เตรียมทำนิตยสารสำหรับผม ภายใต้ชื่อคอนเซ็ปต์ “ANOTHER ME Magazine 2006 พบคุณ...คนใหม่” โดยจะคัดเลือกผู้สมัครกว่าพันคนให้เหลือ 50 คน จากนั้นก็จะนำนางแบบและนายแบบมาแปลงโฉมและถ่ายแบบทรงผมลงนิตยสารดังกล่าว ต่อจากนั้นจะคัดเลือกให้เหลือ 15 คน เพื่อไปแข่งขันกับโทนี่แอนด์กายชาติอื่นๆกว่า 400 สาขาที่อังกฤษ ภายใต้โปรเจค “ANOTHER ME หรืออนาเตอร์ มี”
“โปรเจคแม็กกาซีนเราลงทุนกว่า 10 ล้านบาท ในการรวบรวมทรงผม 50 ทรงจากนางแบบและนายแบบคนไทยที่คัดเลือกมา โดยนิตยสารเล่มนี้จะจำหน่ายในเดือนมิถุนายนนี้ตามแผงหนังสือทั่วไป ราคาขาย 500 บาท ผลิตปีละครั้ง จำนวน 1 หมื่นเล่ม”
ปัจจุบันโทนี่แอนด์กายในไทยมีอยู่ 1 สาขาที่สยาม ดิสคัฟเวอร์รี่ เซ็นเตอร์ โดยกลุ่มลูกค้าหลักจะเป็นกลุ่มไฮเอนด์เป็นหลัก คิดเป็นคนต่างประเทศ 70% และ 30% เป็นคนไทย ส่วนค่าบริการจะอยู่ประมาณ 700-3,000 บาท และรองรับลูกค้าได้วันละ 150 ที่นั่ง
สำหรับยอดรายได้ปีนี้คาดว่าจะโตขึ้น 10% จากยอดรายได้ปีที่แล้วที่ได้ประมาณ 30-40 ล้านบาท
ผุดเอสเซนเชียลสาขา 3 ที่สุวรรณภูมิ
นอกจากนี้ทางสถาบันฯยังมีร้านทำผมอีกแบรนด์ ภายใต้ชื่อ “เอสเซนเชียลหรือ Essensial” ซึ่งเป็นแบรนด์ลูกของโทนี่แอนด์กาย ปัจจุบันมี 2 สาขา ได้แก่ ที่มาบุญครองและภูเก็ต ล่าสุดเตรียมเปิดสาขาที่ 3 ที่สนามบินสุวรรณภูมิ คาดว่าจะเปิดบริการได้ในช่วงเดือนกรกฎาคมนี้ โดยทางสถาบันฯตั้งเป้าจะขยายสาขาเอสเซนเชียลไปทั่วประเทศให้ครบ 10 แห่งภายใน 5 ปีนี้
ส่วนการดำเนินธุรกิจของเอสเซนเชียลจะเป็นรูปแบบแฟรนไชส์ ซึ่งทางสถาบันฯจะร่วมลงทุนด้วยอย่างน้อย 10% ขึ้นไป โดยแฟรนไชส์ที่จะเข้ามาดำเนินธุรกิจจะต้องเคยทำงานในโทนี่ฯกว่า 2 ปี หรือทุกตำแหน่งจะต้องเข้ามาเทรนที่สถาบันฯ เป็นต้น เนื่องจากต้องการควบคุมมาตรฐานให้ได้
กลุ่มเป้าหมายของเอสเซนเชียลจะเป็นตลาดรองลงมาหรือกลุ่มวัยรุ่นและวัยทำงาน โดยค่าบริการจะถูกกว่าโทนี่ฯอยู่ 20% หรือประมาณ 500-1,500 บาท ส่วนยอดรายได้ของเอสเซนเชียลจะคุ้มทุนภายใน 1-2 ปี