นายพิพัฒ พะเนียงเวทย์ ประธาน บริษัท ไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปตรามาม่า เปิดเผยว่า สภาพเศรษฐกิจไทยในขณะนี้ซบเซา โดยมีปัจจัยหลัก 2 ประการ คือ ราคาน้ำมันที่ปรับเพิ่มขึ้น
และจากกำลังการซื้อที่ลดลงซึ่งเห็นได้อย่างชัดเจนในช่วงปลายไตรมาสแรกของปีนี้
ส่วนด้านการเมืองมองว่าสามารถแก้ปัญหาได้ในระดับหนึ่งแล้ว ซึ่งการปรับตัวของกลุ่มผู้ประกอบการเอง พบว่าเริ่มตัดงบการทำอะโบฟเดอะไลน์ลง และหันนำงบดังกล่าวไปทำบีโลว์เดอะไลน์ อีกทั้งยังแข่งขันกันดั๊มราคา
เพื่อกระตุ้นยอดขาย ซึ่งล่าสุด”ยำยำ”คู่แข่งในตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปลดลงราคาซองละ 3.75 บาท
สำหรับภาพรวมตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปปีนี้ คาดว่าจะมีอัตราการเติบโตใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา คือ 10% จากมูลค่าตลาด 10,000 ล้านบาท ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเศรษฐกิจเอื้อให้กับตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป
แต่เชื่อว่าจะมีผลในระยะยาวมากกว่า เพราะเศรษฐกิจไม่ดีคนไม่ได้เปลี่ยนพฤติกรรมจากกินข้าวมากินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป แต่คนส่วนใหญ่จะงดการกินข้าวนอกบ้านมากกว่า
ล่าสุดบริษัทได้แก้ปัญหาคู่แข่งหั่นราคา และปัญหาดอกเบี้ยขึ้น ส่งผลให้ร้านค้าเปลี่ยนพฤติกรรมการสั่งสินค้าจากซื้อในปริมาณมาก มาเป็นซื้อในปริมาณน้อย แต่เป็นการเพิ่มความถี่ในการซื้อ ดังนั้นหลังจากที่บริษัทบริหารต้นทุนค่าขนส่ง โดยนำเครื่องจักรผลิตบรรจุภัณฑ์ถ้วยไปติดตั้งที่โรงงาน จ.ลำพูน จากเดิมโรงงานผลิตถ้วยจะมีเฉพาะที่กรุงเทพฯเท่านั้น โดยนำในส่วนที่ประหยัดได้มาจัดรายการส่งเสริมการขายมาม่ารสหมูสับผ่านทางเอเยนต์ โดยเมื่อซื้อ 1 ลัง หรือ 30 ซอง แถมฟรี 3 ซอง โดยเริ่มทำตั้งแต่วันที่ 1 -31 พฤษภาคม
ส่วนด้านค่าเงินบาทที่แข็งค่ามากขึ้นนั้น มองว่าเป็นเรื่องที่ดี ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตลดลง เนื่องจากบริษัทนำเข้าแป้งสาลีวัตถุดิบหลักในการผลิต 40% จากต่างประเทศได้ในราคาที่ถูกลง ในขณะที่การส่งออกบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมีเพียง 20% เท่านั้น อาทิ ประเทศเขมร พม่า ลาว ฯลฯ นายพิพัฒ กล่าวเพิ่มว่า ในปีนี้บริษัทยังตัดกลุ่มธุรกิจที่ไม่สร้างรายได้ออกไป เช่น ขนมขบเคี้ยว สแน็กนู้ดโดะ เนื่องจากไม่ได้รับการตอบรับมากนัก อีกทั้งไลฟ์
ไซเซิลของสินค้ายังสั้น
และจากกำลังการซื้อที่ลดลงซึ่งเห็นได้อย่างชัดเจนในช่วงปลายไตรมาสแรกของปีนี้
ส่วนด้านการเมืองมองว่าสามารถแก้ปัญหาได้ในระดับหนึ่งแล้ว ซึ่งการปรับตัวของกลุ่มผู้ประกอบการเอง พบว่าเริ่มตัดงบการทำอะโบฟเดอะไลน์ลง และหันนำงบดังกล่าวไปทำบีโลว์เดอะไลน์ อีกทั้งยังแข่งขันกันดั๊มราคา
เพื่อกระตุ้นยอดขาย ซึ่งล่าสุด”ยำยำ”คู่แข่งในตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปลดลงราคาซองละ 3.75 บาท
สำหรับภาพรวมตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปปีนี้ คาดว่าจะมีอัตราการเติบโตใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา คือ 10% จากมูลค่าตลาด 10,000 ล้านบาท ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเศรษฐกิจเอื้อให้กับตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป
แต่เชื่อว่าจะมีผลในระยะยาวมากกว่า เพราะเศรษฐกิจไม่ดีคนไม่ได้เปลี่ยนพฤติกรรมจากกินข้าวมากินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป แต่คนส่วนใหญ่จะงดการกินข้าวนอกบ้านมากกว่า
ล่าสุดบริษัทได้แก้ปัญหาคู่แข่งหั่นราคา และปัญหาดอกเบี้ยขึ้น ส่งผลให้ร้านค้าเปลี่ยนพฤติกรรมการสั่งสินค้าจากซื้อในปริมาณมาก มาเป็นซื้อในปริมาณน้อย แต่เป็นการเพิ่มความถี่ในการซื้อ ดังนั้นหลังจากที่บริษัทบริหารต้นทุนค่าขนส่ง โดยนำเครื่องจักรผลิตบรรจุภัณฑ์ถ้วยไปติดตั้งที่โรงงาน จ.ลำพูน จากเดิมโรงงานผลิตถ้วยจะมีเฉพาะที่กรุงเทพฯเท่านั้น โดยนำในส่วนที่ประหยัดได้มาจัดรายการส่งเสริมการขายมาม่ารสหมูสับผ่านทางเอเยนต์ โดยเมื่อซื้อ 1 ลัง หรือ 30 ซอง แถมฟรี 3 ซอง โดยเริ่มทำตั้งแต่วันที่ 1 -31 พฤษภาคม
ส่วนด้านค่าเงินบาทที่แข็งค่ามากขึ้นนั้น มองว่าเป็นเรื่องที่ดี ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตลดลง เนื่องจากบริษัทนำเข้าแป้งสาลีวัตถุดิบหลักในการผลิต 40% จากต่างประเทศได้ในราคาที่ถูกลง ในขณะที่การส่งออกบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมีเพียง 20% เท่านั้น อาทิ ประเทศเขมร พม่า ลาว ฯลฯ นายพิพัฒ กล่าวเพิ่มว่า ในปีนี้บริษัทยังตัดกลุ่มธุรกิจที่ไม่สร้างรายได้ออกไป เช่น ขนมขบเคี้ยว สแน็กนู้ดโดะ เนื่องจากไม่ได้รับการตอบรับมากนัก อีกทั้งไลฟ์
ไซเซิลของสินค้ายังสั้น