ตามนัยแห่งสังคมศาสตร์ มนุษย์เป็นสัตว์สังคม (Social Animal) ด้วยเหตุผลที่ว่ามนุษย์มีพฤติกรรมรวมกลุ่มกันอยู่เป็นชุมชน และมีการพึ่งพาอาศัยกันภายในกลุ่มในทำนองเดียวกับสัตว์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สัตว์ประเภทเลี้ยงลูกด้วยนม (Mammal) ที่มีพฤติกรรมในการรวมกลุ่มอยู่อาศัยกันเป็นฝูง และพึ่งพาอาศัยกันในการหาอาหารและป้องกันภัยจากศัตรูภายนอก นี่คือความคล้ายคลึงกันระหว่างมนุษย์กับสัตว์ ในแง่ของการมีพฤติกรรมพื้นฐานอันเกิดจากสัญชาตญาณในยุคที่สังคมมนุษย์ยังไม่มีการพัฒนาเช่นทุกวันนี้
แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไปนานเข้า มนุษย์ได้มีความแตกต่างจากสัตว์เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และที่สุด มนุษย์ก็หลุดพ้นจากความเป็นสัตว์ เมื่อมีการขัดเกลาพฤติกรรมอันเกิดจากสัญชาตญาณเยี่ยงสัตว์ให้อยู่ในกรอบแห่งกติกาสังคมที่ถูกกำหนดขึ้นด้วยเหตุผลและการยอมรับของสังคมส่วนใหญ่
เริ่มด้วยคำสอนทางศาสนาที่สังคมมนุษย์ได้แสวงหา และนำมาถือปฏิบัติในการดำเนินชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คำสอนของศาสนาในส่วนที่เกี่ยวกับศีลธรรม และจริยธรรมที่มนุษย์ประพฤติปฏิบัติตามแล้วทำให้ผู้ปฏิบัติแตกต่างจากสัตว์ในทางบวก และผู้ที่ปฏิบัติเยี่ยงนี้เองที่ได้ชื่อว่าเป็นมนุษย์สมบูรณ์ หรือที่พุทธศาสนาเรียกว่า มนุสโส คือผู้มีใจสูงเพราะมีคุณธรรม และการที่จะเป็นเช่นนี้ได้ก็ด้วยการฝึกจิตเพื่อยกระดับความนึกคิดให้หลุดพ้นจากสันดานดิบขึ้นสู่ภาวะที่สูงขึ้น โดยอาศัยการมีสติและปัญญาเป็นตัวกำกับ
ต่อมาก็คือ จารีตประเพณี จัดเป็นส่วนหนึ่งของกติกาสังคมที่เกิดขึ้นจากการที่คนใดคนหนึ่งในสังคมที่มีสถานภาพทางสังคมเป็นที่ยอมรับนับถือของผู้คนทั้งหลายในสังคมนั้นๆ ได้คิดค้นขึ้นมาและมีคนยอมรับนับถือปฏิบัติตามกันเรื่อยๆ มาจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของสังคมนั้น เช่น ประเพณีการแต่งงานที่กำหนดให้มนุษย์ชายหญิงต้องถือปฏิบัติเมื่อย่างเข้าสู่วัยหนุ่มสาว แทนที่จะจับคู่สู่สมเยี่ยงสัตว์โดยอาศัยเพียงสัญชาตญาณในการสืบพันธุ์อย่างเดียว เป็นต้น
ประการสุดท้ายคือ กฎหมาย ซึ่งได้มีการตราขึ้นเพื่อให้เป็นเครื่องมือในการปกครองให้เกิดความสงบเรียบร้อย และเกิดความเป็นธรรมแก่ผู้คนในสังคมแต่ละสังคมโดยความเสมอภาคกัน โดยไม่มีข้อยกเว้นหรือเลือกปฏิบัติ นี่คือหลักการหรือวัตถุประสงค์ในการบัญญัติกฎหมายขึ้นมา
แต่ในทางปฏิบัติก็มีช่องว่างให้ผู้คนที่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญในเรื่องของตัวบทกฎหมาย นำกฎหมายมาใช้เพื่อสนองความต้องการของตนเองและพวกพ้องได้
ดังนั้นจึงพูดได้ว่า ความเป็นธรรมที่จากการใช้กฎหมายจะมีมากหรือน้อยมิได้ขึ้นอยู่ที่เนื้อหาสาระตามตัวบทแห่งกฎหมายเพียงอย่างเดียว แต่ขึ้นอยู่กับการนำเจตนารมณ์ในการออกกฎหมายนั้นๆ มาใช้ด้วย
แต่การที่จะนำเจตนารมณ์มาใช้หรือไม่มากน้อยแค่ไหนนั้น ขึ้นอยู่กับสถานการณ์และคุณธรรมของผู้ใช้กฎหมายด้วย
ด้วยเหตุดังกล่าวมาแล้ว กฎหมายจึงต้องนำมาใช้ควบคู่กับกติกาทางสังคม 2 ประการแรก คือศีลธรรม และจารีตประเพณีอย่างกลมกลืน และสมเหตุสมผล น่าจะช่วยให้เกิดความเป็นธรรม และถูกต้องมากกว่าใช้เพียงกฎหมายอย่างเดียว
เมื่อสังคมต้องพึ่งพากติกาดังกล่าวข้างต้น เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อยจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้คนในสังคมจะต้องศึกษาทำความเข้าใจในกติกาที่ว่านี้ให้เข้าใจ และยอมรับอำนาจแห่งกติกา และผู้ใช้กติกาตามหน้าที่และความรับผิดชอบเพื่อให้สังคมโดยรวมดำเนินไปด้วยความเรียบร้อย และเกิดสันติสุข
แต่ถ้าผู้คนในสังคมไม่ศึกษาไม่ทำความเข้าใจ หรือศึกษาทำความเข้าใจแล้วแต่ไม่ยอมรับกติกาที่ว่านี้ จะด้วยเหตุผลว่ายอมรับแล้วทำให้ตนเอง หรือพวกพ้องเสียประโยชน์หรือด้วยเหตุผลที่ว่าตนเองเข้าใจไปคนละทางกับที่คนส่วนใหญ่เข้าใจ ก็จะทำให้สังคมส่วนใหญ่หรือสังคมโดยรวมยุ่งเหยิงวุ่นวายไม่รู้จบ ดังที่กำลังเกิดขึ้นกับศาลปกครองในกรณีที่ต้องรับผิดชอบในการตัดสินเกี่ยวกับการเลือกตั้งทั่วไปของ ส.ส.เมื่อเมษายนที่ผ่านมาดังที่ปรากฏเป็นข่าวอยู่ในขณะนี้
อะไรคือประเด็นแห่งความยุ่งเหยิงและความสับสน
เกี่ยวกับเรื่องนี้ ถ้าท่านผู้อ่านได้ติดตามข่าวเลือกตั้งทั่วไปของ ส.ส.มาตลอด ก็จะพบว่าเหตุแห่งความยุ่งเหยิงน่าจะมาจากสาเหตุดังต่อไปนี้
1. ความวุ่นวายและสับสนเกี่ยวกับการเลือกตั้ง ซึ่งได้ส่อเค้ามาจากกระแสการต่อต้านระบอบทักษิณ โดยที่กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเป็นแกนนำ จนถึงขั้นต้องยุบสภาให้มีการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 2 เมษายน
อีกประการหนึ่ง ในขณะที่เกิดกระแสสังคมต่อต้านระบอบทักษิณแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็วนั้น อีกด้านหนึ่งของสังคมได้เกิดกระแสจัดตั้งเพื่อสนับสนุนระบอบทักษิณขึ้น ทำให้สังคมแบ่งออกเป็น 2 ฝ่าย ก่อให้เกิดความวุ่นวายเพิ่มขึ้น
2. ในการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 2 เมษายนได้มีวิกฤตทางการเมืองเกิดขึ้น เมื่อ 3 พรรคร่วมฝ่ายค้าน อันประกอบด้วยพรรคประชาธิปัตย์ ชาติไทย และมหาชน ประกาศไม่ส่งผู้สมัครลงสมัครรับเลือกตั้ง จึงทำให้การจัดการเลือกตั้งพบกับปัญหาตามมาหลายประการ เป็นต้นว่า ในหลายเขตเลือกตั้งมีผู้ลงสมัครเพียงพรรคเดียวคือพรรคไทยรักไทย และทำให้ต้องแข่งกับตัวเองที่จะต้องได้รับคะแนนอย่างน้อย 20% ของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง และผลปรากฏว่าหลายเขตผู้ลงสมัครได้รับคะแนนไม่ถึง 20% จึงทำให้ต้องมีการจัดการเลือกตั้งใหม่ในวันที่ 23 เมษายน และถึงแม้จะมีการเลือกตั้งใหม่แล้วก็ยังไม่ได้ครบ จึงทำให้เกิดความวุ่นวาย และมีข้อกล่าวหา กกต.ว่ากระทำผิดกฎหมายเลือกตั้งในหลายกรณี
ยิ่งกว่านี้ ในเขตพื้นที่มีผู้ลงสมัครเกินกว่า 2 พรรคก็มีข้อกล่าวหาว่ามีการจ้างพรรคเล็กลงสมัครเพื่อให้ผู้ลงสมัครจากพรรคใหญ่ได้รับชัยชนะโดยไม่ต้องได้คะแนนถึง 20% จากจุดนี้ทำให้ได้มีการป้องกันในหลายๆ ประเด็น จนทำให้เบื่อหน่ายต่อการเลือกตั้ง
3. ในการจัดการเลือกตั้งทั้งในวันที่ 2 และ 23 เมษายน พฤติกรรม กกต.ได้ถูกหลายฝ่ายจับตามองว่าพยายามจัดการเลือกตั้งเพื่อให้ได้ ส.ส.ครบ 500 คน มากกว่าที่จะคำนึงถึงความถูกต้องและเป็นธรรมในกรอบแห่งกฎหมาย จึงได้มีผู้ฟ้อง กกต.ว่าจัดการเลือกตั้งขัดต่อกฎหมาย เช่น การจัดคูหาเลือกตั้งไม่เป็นความลับ เนื่องจากเปิดโอกาสให้คนข้างนอกมองเห็นการกากบาทในช่องเลือกตั้ง เป็นต้น และในขณะนี้เรื่องนี้กำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาล 3 ศาล คือ ศาลรัฐธรรมนูญ ศาลฎีกา และศาลปกครองอยู่ ส่วนจะออกมาอย่างไรนั้นต้องดูต่อไป
แต่ในขณะที่รอกระบวนการของศาล ได้มีนักการเมืองกลุ่มหนึ่งออกมาพูดในทำนองว่า ศาลปกครองไม่มีอำนาจ และถ้ามีการตัดสินการเลือกตั้งเป็นโมฆะจะมีการเคลื่อนไหวถอดถอนศาล เป็นต้น
จากความสับสนวุ่นวายทางการเมืองจนถึงพฤติกรรมต่อต้านกระบวนการยุติธรรมที่เกิดขึ้นนี้ บ่งบอกค่อนข้างชัดเจนว่า ผู้คนในสังคมส่วนหนึ่งไม่อยู่ในกรอบแห่งกติกาทางสังคม ทั้งในส่วนของศีลธรรม จารีตประเพณี และกระทั่งกฎหมาย จึงมีส่วนทำให้สังคมวุ่นวายยิ่งขึ้นไปจากที่วุ่นวายและสับสนอยู่แล้ว
อะไรทำให้เกิดการต่อต้านขัดขืนต่อกติกาสังคม และผู้ที่กระทำเช่นนี้ควรจะได้รับผลอย่างไร
เกี่ยวกับเรื่องนี้ จะต้องแบ่งแยกพฤติกรรมของการต่อต้านออกเป็น 3 ประเภท ตามกติกาทางสังคม คือ ศีลธรรมและจริยธรรม จารีตประเพณี และกฎหมาย
เริ่มด้วยการแสดงพฤติกรรมที่ขัดต่อศีลธรรม และจริยธรรม เช่น การพูดจาในลักษณะข่มขู่ฝ่ายตรงกันข้าม หรือแม้กระทั่งข่มขู่ศาลด้วยผรุสวาจาหรือวาจาที่ขาดสัมมาคารวะ ก็ควรจะได้รับโทษทางสังคม โดยการตำหนิในฐานะเป็นบุคคลสาธารณะที่ควรจะเป็นแบบอย่างของผู้คนในสังคม แต่กลับทำตัวประพฤติตนเหมือนคนที่ขาดวุฒิภาวะที่ควรจะเป็น
ในแง่ของจารีตประเพณี บุคคลที่มีพฤติกรรมทำนองนี้บอกได้คำเดียวว่าเป็นคนไม่สืบทอดประเพณีและวัฒนธรรมไทยที่สอนให้มีสัมมาคารวะแก่กันตามวัย และสถานะทางสังคมที่ควรจะเป็น
ส่วนในแง่ของกฎหมาย ถ้าพิสูจน์ได้ว่ามีการกระทำผิดกฎหมาย ก็ควรอย่างยิ่งที่กระบวนการยุติธรรมจะได้นำบุคคลเหล่านี้มาลงโทษเพื่อมิให้เป็นแบบอย่างในทางไม่ดีอีกต่อไป
อย่างไรก็ตาม ในขณะที่เขียนบทความนี้ ได้มีข่าวว่าศาลปกครองได้หาหลักฐานที่ผู้พูดจาในทำนองดูหมิ่นศาลอยู่ และถ้าปรากฏว่ามีหลักฐานพอเพียงเชื่อได้ว่าจะเห็นผู้มีเกียรติบางท่านถูกจำคุกในข้อหาหมิ่นศาลก็เป็นได้
นอกจากการพูดจาในทำนองหมิ่นศาลแล้ว ในขณะนี้ยังมีพฤติกรรมเลือกปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ผู้รักษากฎหมายเกิดขึ้นให้เห็นอย่างดาษดื่น และกำลังรอให้สังคมหยิบยกขึ้นมากล่าวโทษโดยการฟ้องร้องต่อศาลเพื่อหาความชอบธรรม และความยุติธรรมให้แก่สังคมโดยรวม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เจ้าหน้าที่ตำรวจผู้รักษากฎหมาย และมีหน้าที่จับกุมผู้กระทำผิดเพื่อทำการสอบสวนแล้วส่งฟ้องต่ออัยการ
แต่เท่าที่เป็นอยู่ในขณะนี้ ได้มีเจ้าหน้าที่ตำรวจบางท่านมีพฤติกรรมส่อไปในทางเลือกปฏิบัติ จะเห็นได้จากการที่มีผู้มาแจ้งความข้อหาเดียวกัน แต่ปรากฏว่าได้รีบดำเนินการต่อผู้ต้องหาบางราย และไม่นำพาต่อการแจ้งความในคดีเดียวกันของผู้ต้องหาบางราย เป็นต้น
เกี่ยวกับเรื่องนี้ ก็เป็นหน้าที่ของปวงชนผู้เสียภาษีจะได้หยิบยกขึ้นมาเป็นประเด็น และผลักดันทางสังคมให้ผู้ที่มีพฤติกรรมเยี่ยงนี้ปรับพฤติกรรมเสียใหม่ให้สอดคล้องกับภาระหน้าที่ของผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ และทำงานให้คุ้มค่าต่อเงินเดือนที่มาจากภาษีของประชาชน
ถ้ากระบวนการผลักดันทางสังคมยังไม่ได้ผล ก็ควรอย่างยิ่งที่จะนำเรื่องทำนองนี้ขึ้นสู่ศาลปกครอง แจ้งข้อหาเจ้าหน้าที่รัฐปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ก็จะเป็นทางหนึ่งที่แก้ปัญหาการไม่เคารพกติกาสังคมของคนบางคนบางกลุ่มได้
ถ้าทุกคนในสังคมช่วยกันแก้ปัญหาทำนองนี้ ก็เชื่อได้ว่าอีกไม่นานสังคมไทยจะดีขึ้น
แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไปนานเข้า มนุษย์ได้มีความแตกต่างจากสัตว์เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และที่สุด มนุษย์ก็หลุดพ้นจากความเป็นสัตว์ เมื่อมีการขัดเกลาพฤติกรรมอันเกิดจากสัญชาตญาณเยี่ยงสัตว์ให้อยู่ในกรอบแห่งกติกาสังคมที่ถูกกำหนดขึ้นด้วยเหตุผลและการยอมรับของสังคมส่วนใหญ่
เริ่มด้วยคำสอนทางศาสนาที่สังคมมนุษย์ได้แสวงหา และนำมาถือปฏิบัติในการดำเนินชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คำสอนของศาสนาในส่วนที่เกี่ยวกับศีลธรรม และจริยธรรมที่มนุษย์ประพฤติปฏิบัติตามแล้วทำให้ผู้ปฏิบัติแตกต่างจากสัตว์ในทางบวก และผู้ที่ปฏิบัติเยี่ยงนี้เองที่ได้ชื่อว่าเป็นมนุษย์สมบูรณ์ หรือที่พุทธศาสนาเรียกว่า มนุสโส คือผู้มีใจสูงเพราะมีคุณธรรม และการที่จะเป็นเช่นนี้ได้ก็ด้วยการฝึกจิตเพื่อยกระดับความนึกคิดให้หลุดพ้นจากสันดานดิบขึ้นสู่ภาวะที่สูงขึ้น โดยอาศัยการมีสติและปัญญาเป็นตัวกำกับ
ต่อมาก็คือ จารีตประเพณี จัดเป็นส่วนหนึ่งของกติกาสังคมที่เกิดขึ้นจากการที่คนใดคนหนึ่งในสังคมที่มีสถานภาพทางสังคมเป็นที่ยอมรับนับถือของผู้คนทั้งหลายในสังคมนั้นๆ ได้คิดค้นขึ้นมาและมีคนยอมรับนับถือปฏิบัติตามกันเรื่อยๆ มาจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของสังคมนั้น เช่น ประเพณีการแต่งงานที่กำหนดให้มนุษย์ชายหญิงต้องถือปฏิบัติเมื่อย่างเข้าสู่วัยหนุ่มสาว แทนที่จะจับคู่สู่สมเยี่ยงสัตว์โดยอาศัยเพียงสัญชาตญาณในการสืบพันธุ์อย่างเดียว เป็นต้น
ประการสุดท้ายคือ กฎหมาย ซึ่งได้มีการตราขึ้นเพื่อให้เป็นเครื่องมือในการปกครองให้เกิดความสงบเรียบร้อย และเกิดความเป็นธรรมแก่ผู้คนในสังคมแต่ละสังคมโดยความเสมอภาคกัน โดยไม่มีข้อยกเว้นหรือเลือกปฏิบัติ นี่คือหลักการหรือวัตถุประสงค์ในการบัญญัติกฎหมายขึ้นมา
แต่ในทางปฏิบัติก็มีช่องว่างให้ผู้คนที่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญในเรื่องของตัวบทกฎหมาย นำกฎหมายมาใช้เพื่อสนองความต้องการของตนเองและพวกพ้องได้
ดังนั้นจึงพูดได้ว่า ความเป็นธรรมที่จากการใช้กฎหมายจะมีมากหรือน้อยมิได้ขึ้นอยู่ที่เนื้อหาสาระตามตัวบทแห่งกฎหมายเพียงอย่างเดียว แต่ขึ้นอยู่กับการนำเจตนารมณ์ในการออกกฎหมายนั้นๆ มาใช้ด้วย
แต่การที่จะนำเจตนารมณ์มาใช้หรือไม่มากน้อยแค่ไหนนั้น ขึ้นอยู่กับสถานการณ์และคุณธรรมของผู้ใช้กฎหมายด้วย
ด้วยเหตุดังกล่าวมาแล้ว กฎหมายจึงต้องนำมาใช้ควบคู่กับกติกาทางสังคม 2 ประการแรก คือศีลธรรม และจารีตประเพณีอย่างกลมกลืน และสมเหตุสมผล น่าจะช่วยให้เกิดความเป็นธรรม และถูกต้องมากกว่าใช้เพียงกฎหมายอย่างเดียว
เมื่อสังคมต้องพึ่งพากติกาดังกล่าวข้างต้น เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อยจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้คนในสังคมจะต้องศึกษาทำความเข้าใจในกติกาที่ว่านี้ให้เข้าใจ และยอมรับอำนาจแห่งกติกา และผู้ใช้กติกาตามหน้าที่และความรับผิดชอบเพื่อให้สังคมโดยรวมดำเนินไปด้วยความเรียบร้อย และเกิดสันติสุข
แต่ถ้าผู้คนในสังคมไม่ศึกษาไม่ทำความเข้าใจ หรือศึกษาทำความเข้าใจแล้วแต่ไม่ยอมรับกติกาที่ว่านี้ จะด้วยเหตุผลว่ายอมรับแล้วทำให้ตนเอง หรือพวกพ้องเสียประโยชน์หรือด้วยเหตุผลที่ว่าตนเองเข้าใจไปคนละทางกับที่คนส่วนใหญ่เข้าใจ ก็จะทำให้สังคมส่วนใหญ่หรือสังคมโดยรวมยุ่งเหยิงวุ่นวายไม่รู้จบ ดังที่กำลังเกิดขึ้นกับศาลปกครองในกรณีที่ต้องรับผิดชอบในการตัดสินเกี่ยวกับการเลือกตั้งทั่วไปของ ส.ส.เมื่อเมษายนที่ผ่านมาดังที่ปรากฏเป็นข่าวอยู่ในขณะนี้
อะไรคือประเด็นแห่งความยุ่งเหยิงและความสับสน
เกี่ยวกับเรื่องนี้ ถ้าท่านผู้อ่านได้ติดตามข่าวเลือกตั้งทั่วไปของ ส.ส.มาตลอด ก็จะพบว่าเหตุแห่งความยุ่งเหยิงน่าจะมาจากสาเหตุดังต่อไปนี้
1. ความวุ่นวายและสับสนเกี่ยวกับการเลือกตั้ง ซึ่งได้ส่อเค้ามาจากกระแสการต่อต้านระบอบทักษิณ โดยที่กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเป็นแกนนำ จนถึงขั้นต้องยุบสภาให้มีการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 2 เมษายน
อีกประการหนึ่ง ในขณะที่เกิดกระแสสังคมต่อต้านระบอบทักษิณแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็วนั้น อีกด้านหนึ่งของสังคมได้เกิดกระแสจัดตั้งเพื่อสนับสนุนระบอบทักษิณขึ้น ทำให้สังคมแบ่งออกเป็น 2 ฝ่าย ก่อให้เกิดความวุ่นวายเพิ่มขึ้น
2. ในการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 2 เมษายนได้มีวิกฤตทางการเมืองเกิดขึ้น เมื่อ 3 พรรคร่วมฝ่ายค้าน อันประกอบด้วยพรรคประชาธิปัตย์ ชาติไทย และมหาชน ประกาศไม่ส่งผู้สมัครลงสมัครรับเลือกตั้ง จึงทำให้การจัดการเลือกตั้งพบกับปัญหาตามมาหลายประการ เป็นต้นว่า ในหลายเขตเลือกตั้งมีผู้ลงสมัครเพียงพรรคเดียวคือพรรคไทยรักไทย และทำให้ต้องแข่งกับตัวเองที่จะต้องได้รับคะแนนอย่างน้อย 20% ของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง และผลปรากฏว่าหลายเขตผู้ลงสมัครได้รับคะแนนไม่ถึง 20% จึงทำให้ต้องมีการจัดการเลือกตั้งใหม่ในวันที่ 23 เมษายน และถึงแม้จะมีการเลือกตั้งใหม่แล้วก็ยังไม่ได้ครบ จึงทำให้เกิดความวุ่นวาย และมีข้อกล่าวหา กกต.ว่ากระทำผิดกฎหมายเลือกตั้งในหลายกรณี
ยิ่งกว่านี้ ในเขตพื้นที่มีผู้ลงสมัครเกินกว่า 2 พรรคก็มีข้อกล่าวหาว่ามีการจ้างพรรคเล็กลงสมัครเพื่อให้ผู้ลงสมัครจากพรรคใหญ่ได้รับชัยชนะโดยไม่ต้องได้คะแนนถึง 20% จากจุดนี้ทำให้ได้มีการป้องกันในหลายๆ ประเด็น จนทำให้เบื่อหน่ายต่อการเลือกตั้ง
3. ในการจัดการเลือกตั้งทั้งในวันที่ 2 และ 23 เมษายน พฤติกรรม กกต.ได้ถูกหลายฝ่ายจับตามองว่าพยายามจัดการเลือกตั้งเพื่อให้ได้ ส.ส.ครบ 500 คน มากกว่าที่จะคำนึงถึงความถูกต้องและเป็นธรรมในกรอบแห่งกฎหมาย จึงได้มีผู้ฟ้อง กกต.ว่าจัดการเลือกตั้งขัดต่อกฎหมาย เช่น การจัดคูหาเลือกตั้งไม่เป็นความลับ เนื่องจากเปิดโอกาสให้คนข้างนอกมองเห็นการกากบาทในช่องเลือกตั้ง เป็นต้น และในขณะนี้เรื่องนี้กำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาล 3 ศาล คือ ศาลรัฐธรรมนูญ ศาลฎีกา และศาลปกครองอยู่ ส่วนจะออกมาอย่างไรนั้นต้องดูต่อไป
แต่ในขณะที่รอกระบวนการของศาล ได้มีนักการเมืองกลุ่มหนึ่งออกมาพูดในทำนองว่า ศาลปกครองไม่มีอำนาจ และถ้ามีการตัดสินการเลือกตั้งเป็นโมฆะจะมีการเคลื่อนไหวถอดถอนศาล เป็นต้น
จากความสับสนวุ่นวายทางการเมืองจนถึงพฤติกรรมต่อต้านกระบวนการยุติธรรมที่เกิดขึ้นนี้ บ่งบอกค่อนข้างชัดเจนว่า ผู้คนในสังคมส่วนหนึ่งไม่อยู่ในกรอบแห่งกติกาทางสังคม ทั้งในส่วนของศีลธรรม จารีตประเพณี และกระทั่งกฎหมาย จึงมีส่วนทำให้สังคมวุ่นวายยิ่งขึ้นไปจากที่วุ่นวายและสับสนอยู่แล้ว
อะไรทำให้เกิดการต่อต้านขัดขืนต่อกติกาสังคม และผู้ที่กระทำเช่นนี้ควรจะได้รับผลอย่างไร
เกี่ยวกับเรื่องนี้ จะต้องแบ่งแยกพฤติกรรมของการต่อต้านออกเป็น 3 ประเภท ตามกติกาทางสังคม คือ ศีลธรรมและจริยธรรม จารีตประเพณี และกฎหมาย
เริ่มด้วยการแสดงพฤติกรรมที่ขัดต่อศีลธรรม และจริยธรรม เช่น การพูดจาในลักษณะข่มขู่ฝ่ายตรงกันข้าม หรือแม้กระทั่งข่มขู่ศาลด้วยผรุสวาจาหรือวาจาที่ขาดสัมมาคารวะ ก็ควรจะได้รับโทษทางสังคม โดยการตำหนิในฐานะเป็นบุคคลสาธารณะที่ควรจะเป็นแบบอย่างของผู้คนในสังคม แต่กลับทำตัวประพฤติตนเหมือนคนที่ขาดวุฒิภาวะที่ควรจะเป็น
ในแง่ของจารีตประเพณี บุคคลที่มีพฤติกรรมทำนองนี้บอกได้คำเดียวว่าเป็นคนไม่สืบทอดประเพณีและวัฒนธรรมไทยที่สอนให้มีสัมมาคารวะแก่กันตามวัย และสถานะทางสังคมที่ควรจะเป็น
ส่วนในแง่ของกฎหมาย ถ้าพิสูจน์ได้ว่ามีการกระทำผิดกฎหมาย ก็ควรอย่างยิ่งที่กระบวนการยุติธรรมจะได้นำบุคคลเหล่านี้มาลงโทษเพื่อมิให้เป็นแบบอย่างในทางไม่ดีอีกต่อไป
อย่างไรก็ตาม ในขณะที่เขียนบทความนี้ ได้มีข่าวว่าศาลปกครองได้หาหลักฐานที่ผู้พูดจาในทำนองดูหมิ่นศาลอยู่ และถ้าปรากฏว่ามีหลักฐานพอเพียงเชื่อได้ว่าจะเห็นผู้มีเกียรติบางท่านถูกจำคุกในข้อหาหมิ่นศาลก็เป็นได้
นอกจากการพูดจาในทำนองหมิ่นศาลแล้ว ในขณะนี้ยังมีพฤติกรรมเลือกปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ผู้รักษากฎหมายเกิดขึ้นให้เห็นอย่างดาษดื่น และกำลังรอให้สังคมหยิบยกขึ้นมากล่าวโทษโดยการฟ้องร้องต่อศาลเพื่อหาความชอบธรรม และความยุติธรรมให้แก่สังคมโดยรวม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เจ้าหน้าที่ตำรวจผู้รักษากฎหมาย และมีหน้าที่จับกุมผู้กระทำผิดเพื่อทำการสอบสวนแล้วส่งฟ้องต่ออัยการ
แต่เท่าที่เป็นอยู่ในขณะนี้ ได้มีเจ้าหน้าที่ตำรวจบางท่านมีพฤติกรรมส่อไปในทางเลือกปฏิบัติ จะเห็นได้จากการที่มีผู้มาแจ้งความข้อหาเดียวกัน แต่ปรากฏว่าได้รีบดำเนินการต่อผู้ต้องหาบางราย และไม่นำพาต่อการแจ้งความในคดีเดียวกันของผู้ต้องหาบางราย เป็นต้น
เกี่ยวกับเรื่องนี้ ก็เป็นหน้าที่ของปวงชนผู้เสียภาษีจะได้หยิบยกขึ้นมาเป็นประเด็น และผลักดันทางสังคมให้ผู้ที่มีพฤติกรรมเยี่ยงนี้ปรับพฤติกรรมเสียใหม่ให้สอดคล้องกับภาระหน้าที่ของผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ และทำงานให้คุ้มค่าต่อเงินเดือนที่มาจากภาษีของประชาชน
ถ้ากระบวนการผลักดันทางสังคมยังไม่ได้ผล ก็ควรอย่างยิ่งที่จะนำเรื่องทำนองนี้ขึ้นสู่ศาลปกครอง แจ้งข้อหาเจ้าหน้าที่รัฐปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ก็จะเป็นทางหนึ่งที่แก้ปัญหาการไม่เคารพกติกาสังคมของคนบางคนบางกลุ่มได้
ถ้าทุกคนในสังคมช่วยกันแก้ปัญหาทำนองนี้ ก็เชื่อได้ว่าอีกไม่นานสังคมไทยจะดีขึ้น