วาระแห่งชาติหมายถึงภารกิจหลักที่ชาติจะต้องระดมพลังมาปฏิบัติ เพื่อจะให้ได้มาซึ่งสิ่งที่พึงปรารถนา และเพื่อจะกำจัดสิ่งที่ไม่พึงปรารถนาให้หมดสิ้นไป ทำให้เกิดศานติและความสมบูรณ์พูนสุขอย่างทั่วถึงในสังคม
ทุกรัฐบาลมักจะอวดอ้างและแข่งขันกันประกาศวาระแห่งชาติ เพื่อใช้เป็นธงหรือเข็มทิศในการวางนโยบายบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล
ผมไม่แน่ใจว่าคนไทยสนใจหรือจำได้ว่าวาระแห่งชาติของรัฐบาลทักษิณมีอะไรบ้าง แต่ผมรู้ว่าคนไทยจำนวนมหาศาลโดยเฉพาะชาวชนบทที่ยากไร้และหวังพึ่ง พากันเสพมาตรการประชานิยมอย่างใดอย่างหนึ่งของทักษิณจนติดเหมือนสูบฝิ่น เพราะฉะนั้นการที่ผมจะพูดว่า 5 ปีของรัฐบาลทักษิณ การปกครองระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ในประเทศไทยประสบความถดถอยและล้าหลัง เกิดความแตกแยกเผชิญหน้ากันในหมู่คนไทยขนาดที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน จนหลายคนวิตกว่าเมืองไทยจะแบ่งเป็น 3 ประเทศ ย่อมจะเป็นที่ขัดใจของผู้ฟังจำนวนมาก หลายคนแทบจะคิดว่าทักษิณเป็นเทวดา เหนือกว่าผู้ใดในผืนแผ่นดิน
คนทั่วไปอาจจะไม่ทราบว่า การต่อสู้เพื่อรักษาและขับไล่ทักษิณออกจากเก้าอี้ ได้สร้างสถิติโลก ซึ่งไม่นานก็คงจะต้องถูกบันทึกไว้ในกินเนสส์บุ๊ก ถึง 2 ประการคือ
(1) การชุมนุมประท้วงใหญ่ที่ยืดเยื้อยาวนานและสุภาพเป็นผู้ดีที่สุด และ
(2) การเกาะติดตำแหน่งด้วยข้ออ้างคือรักษาประชาธิปไตยที่มีการเลือกตั้งและ
สารพัดวิธี ทำให้นายกฯ ทักษิณกอดตำแหน่งไว้ได้นานที่สุด เกินความคาดหมายที่ว่าไม่ น่าทน ถึงเพียงนี้
อย่างไรก็ตาม ภายหลังที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำรัส เมื่อวันที่ 25 เมษายน 2549 ขอให้ศาลช่วยกันแก้ไขวิกฤต รักษาระบอบประชาธิปไตย และป้องกันมิให้บ้านเมืองล่มจม โดยได้ทรงย้ำ “ขอร้อง” 6 ครั้ง “ขอฝาก” 5 ครั้ง “ขอให้” ถึง 11 ครั้ง เพราะในหลวงเชื่อดังพระราชดำรัสว่า “เดี๋ยวนี้เป็นเวลาที่วิกฤตที่สุดในโลก” สังคมทั้งในและนอกประเทศเริ่มพากันพูดถึงอวสานและการเมืองไทยหลังยุคทักษิณกันถี่ขึ้น
ผมเองมิได้ลิงโลด แต่ด้วยความเชื่อมั่นในหลักความเป็นอนิจจังแห่งสังคม ก็เลยเชื่อเหมือนกันว่า เร็วหรือช้า วันหนึ่งทักษิณก็ต้องไป แต่จะเป็นการไปแบบไหน คือ ไปเหลี่ยมหรือไปหลบ ไปลิบหรือไปลับ คงจะต้องคอยเฝ้าดูกันต่อไป
คำว่าไปลับผมมิได้หมายความว่าทักษิณต้องตาย แต่หมายความว่า ตัวทักษิณ และระบอบทักษิณต้องตามกันไปด้วย โดยไม่ทิ้งโครงสร้าง องค์ประกอบ บุคคลและพฤติกรรมของระบอบทักษิณ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ประเทศไทยเกิด “วิกฤตที่สุดในโลก” อยู่ทุกวันนี้
เมื่อไม่นานมานี้ ผมได้รับความรู้และข้อมูลที่ผมยังไม่ปักใจร้อยเปอร์เซ็นต์ ตอนนี้กำลังศึกษาวิเคราะห์อยู่ ข้อมูลนั้นบอกว่า บัดนี้ระบอบทักษิณได้หยั่งรากลึกและชอนไชไปถึงรากหญ้าจนเกือบทั่วเมืองไทย ยากที่จะรื้อถอนได้เสียแล้ว การที่เป็นเช่นนั้น หาใช่เพราะว่ามาตรการประชานิยม นโยบายหรือแม้แต่วาระแห่งชาติของพรรคไทยรักไทยเป็นที่จับใจของประชาชนอย่างแท้จริงก็หาไม่ นั่นเป็นแต่เพียงการตลาดที่มีสีสันและฉาบฉวย ความสำเร็จของระบอบทักษิณอยู่ที่ยุทธศาสตร์และการจัดตั้งต่างหาก
ในเมื่อยุทธศาสตร์ถูกต้อง และการจัดตั้งมีทรัพยากรเหลือเฟือ คือ ทรัพยากรส่วนตัวของทักษิณ ทรัพยากรของชาติที่นำมา“ฉวยใช้” และทรัพยากรที่ “ขวนขวาย” มาจากหุ้นส่วนทางการเมือง ระบบต่างๆ ที่เป็นองค์ประกอบของระบอบทักษิณจึงได้เกิดขึ้นและเข้มแข็งโตวันโตคืน คนที่นึกว่าทักษิณจะไปง่ายๆ คือคนที่ไร้เดียงสาทางการเมือง
ยุทธศาสตร์ทักษิณ จะมีชื่อว่าอะไรก็ตามแต่ ได้ถูกประดิษฐ์ขึ้นโดยกลุ่มคนที่มีสมองเยี่ยมในแผ่นดิน มีประสบการณ์โชกโชนทั้งในเมือง ในป่า และในมหานครของโลก มีเป้าหมายหลักอยู่ 5 ประการ ดังนี้ (1) สร้างระบบการเมืองเป็นระบบพรรคเดียว (2)ทำลายความเข้มแข็งแบบเก่าของระบบราชการ โดยทำให้ระบบราชการต้องรับใช้ระบบการเมืองโดยไม่มีเงื่อนไข (3) แปลงสินทรัพย์ของรัฐให้เป็นส่วนหนึ่งของระบบเศรษฐกิจทุนนิยมเสรี(4)ทำให้สถาบันกษัตริย์เป็นแต่เพียงสัญลักษณ์ให้มากที่สุด และ(5)สร้างระบบพรรคแบบรวมศูนย์การนำสูงสุด เป็นพรรคของกรรมการ แบบ cadre party แต่แฝงอยู่ในเสื้อคลุมหรือเปลือกนอก(ที่หลอกลวง)ว่า เป็นพรรคมวลชน
ถ้าเราสำรวจตรวจสอบให้ดี การเดินทางไปสู่ยุทธศาสตร์หลัก มีความก้าวหน้าเข้มแข็งขึ้นอย่างต่อเนื่อง จะเห็นได้จากมาตรการประชานิยม การจดทะเบียนคนจนคู่ขนานไปกับสมาชิกพรรค การรวมพรรค การปฏิรูประบบราชการและระบบซีอีโอ การการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ การกำหนดเขตเศรษฐกิจซึ่งเกือบครอบไปถึงธรณีสงฆ์หากไม่มีการต่อต้าน การครอบงำรัฐสภา องค์กรตรวจสอบอิสระ และการเลือกตั้ง ที่เหลืออยู่และคุมมิได้สนิทมีอยู่ไม่กี่สถาบัน เช่น สื่อ นักวิชาการ และ ปัญญาชน ศาล และสถาบันสำคัญอีกหนึ่ง เป็นต้น
เมื่อวิเคราะห์ถึงคำขอของพระเจ้าอยู่หัว สมาชิกระบอบทักษิณอาจจะพากันปลาบปลื้มจนลืมตน เพราะถ้าหากศาล เพียงแต่มีคำสั่งให้เป็นผลว่า (1) การเลือกตั้ง 2 เมษายน ไม่ชอบ (2) ให้จัดการเลือกตั้งใหม่ภายใน 60 วัน และ(3)พรรคฝ่ายค้านในสภาครั้งที่แล้วเลิกบอยคอต กลับมาลงเลือกตั้งเสียดีๆ ทุกอย่างก็ยิ่งจะเรียบร้อยโรงเรียนไทยรักไทยยิ่งกว่าเดิมเพราะว่า (1) พรรคได้ซ้อมใหญ่มาแล้ว เดี๋ยวนี้คึกคักเข้มแข็งทั้งพลร่ม พลรบ และหัวคะแนน (2)นายกฯ ทักษิณได้รับการฟอกตัวเรียบร้อยแล้ว ถึงแม้การเลือกตั้งจะมิชอบก็เป็นแต่เรื่องเทคนิค(ในทัศนะพรรค) ต่อไปก็ไม่จำเป็นต้องตอบคำถามอะไรของใครอีก (3) นายกฯ ทักษิณได้เว้นวรรคครบแล้ว ตามนัยที่ได้แสดงว่าพระเจ้าอยู่หัวทรงแนะนำ(ซึ่งไม่จริงเลย) และได้อธิบายให้ผู้นำทั้งโลก (นอกจากมาเลย์และปินส์) ฟังหมดแล้วว่า I shall return (4)อำนาจรัฐบาลรักษาการและอำนาจ กกต.ก็ยังเต็มเปี่ยม พร้อมที่จะร่วมมือกันรักษาระบอบประชาธิปไตยทักษิณให้วัฒนาถาวรสืบไป
ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง วาระแห่งชาติของฝ่ายที่จะล้มระบอบทักษิณ เพื่อสร้างระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขที่สมจริง ก็จะเป็นวาระและภารกิจที่ยากยิ่ง ภารกิจเหล่านี้ประกอบด้วย
1. การปฏิเสธทักษิณ การรื้อระบบย่อยต่างๆของระบอบทักษิณ และการยุติระบอบทักษิณ ไม่ว่าจะเป็นโครงสร้างพรรค แบบรวมศูนย์รวบอำนาจเป็นทาสหัวหน้า โครงสร้างรัฐบาลแบบรวมศูนย์รวมอำนาจเป็นทาสนายกฯ และระบบบริหารราชการแผ่นดินแบบรวมศูนย์รวบอำนาจเป็นทาสรัฐบาล และระบบเศรษฐกิจทุนนิยมสุดโต่งแบบรวมศูนย์รวบอำนาจเป็นทาสบรรษัทโลก(ของทักษิณ หุ้นส่วนและตลาดหุ้น)
2. การสร้างระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขที่แท้จริง โดยการมีส่วนร่วมทุกระดับแบบราชประชาสมาสัย
ในขณะที่ผมพอจะมองออกว่าระบอบทักษิณจะ สะดุดขาตนเองให้ผู้ที่ไล่ตามทุบเอาได้อย่างไร ผมกลับเห็นว่าภารกิจในข้อที่ 2 เป็นเรื่องยากจนเกือบจะเป็นไปไม่ได้ ถ้าหากปล่อยให้ศาล หรือแม้แต่ทหารเป็นผู้ช่วยกันแก้วิกฤต จนกระทั่งมีการเลือกตั้งที่สะอาดหมดจดก็ตาม
ผมเห็นคล้อยกับนายแพทย์ประเวศว่าจะต้องมีการล้างบางหรือล้างไพ่ให้หมดและมีการตั้งต้นเล่นกันใหม่ด้วยกติกาใหม่ แต่ไม่ถึงกับจะต้องยุบหรือห้ามพรรคเก่าไม่ให้ลง นอกจากพรรคที่ถูกลงโทษตามกฎหมาย
ผมไม่ไว้ใจให้พรรคทักษิณเป็นผู้นำปฏิรูปการเมืองไม่ว่าภายใต้เงื่อนไขใดๆ โดยเหตุผลที่ได้แสดงมาแต่ต้นแล้ว ในขณะเดียวกัน ผมก็ไม่เชื่อว่าการสักแต่ว่ามีการเลือกตั้งใหม่โดยพรรคเก่าทั้งหมด เพื่อให้พากันมาปฏิรูปการเมืองและเลือกตั้งใหม่จะดีอย่างไร นอกจากจะเลือกตั้งซ้ำแล้วซ้ำอีกแบบเดิมๆ เพียงแต่มีการ ปลดล็อก 90 วันนั้น เรื่องอื่นๆ จะหนีอิทธิพลองค์ประกอบเก่าๆ และอิทธิคงค้างของระบอบทักษิณได้อย่างไร
ผมเสนอให้การสร้างระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขเป็นยุทธศาสตร์ชาติ มีวาระแห่งชาติที่คนไทยทุกหมู่เหล่าจะต้องช่วยกันผลักดันดังต่อไปนี้
1. การร่างรัฐธรรมนูญและปฏิรูปการเมืองแบบราชประชาสมาสัย
2. การเลือกตั้งเสรีที่ทั้งผู้สมัครและผู้เลือกมีสิทธิสมบูรณ์ และมีเสรีภาพทางข่าวสารอย่างถูกต้องทั่วถึง
3. ต้องเลิกหรือเปลี่ยนพรรคการเมืองหรือพฤติกรรมของพรรคที่เป็น“แก๊งเลือกตั้ง” มีหัวหน้าตั้งพรรค พรรคซื้อผู้แทน ผู้แทนซื้อเสียง อย่างที่เป็นอยู่ ตราบใดที่ยังเป็นเช่นนี้ ไม่มีวันที่จะสร้างประชาธิปไตยได้ ต้องเปิดโอกาสให้พรรคการเมืองที่แท้จริงเกิดขึ้นให้ได้
4. ต้องรีบสร้างระบบเศรษฐกิจพอเพียงของพระเจ้าอยู่หัว และมียุทธวิธีถอยออกจากระบบทุนนิยมเสรีสุดโต่งโดยให้มีความเสียหายน้อยที่สุด
5. ต้องขุดรากถอนโคนคอร์รัปชันอย่างมีระบบและทั่วถึง ด้วยกลไกที่มีประสิทธิภาพมีเขี้ยวเล็บและสนับสนุนด้วยระบบข่าวสารที่ทันสมัยและประชาชนที่ตื่นตัว มีค่านิยมเกลียดทุจริต
6. ต้องเริ่มแปรหรือเปลี่ยนระบบบริหารราชการแผ่นดินแบบรวมศูนย์รวบอำนาจขึ้นอยู่กับส่วนกลางและตัวแทนในการปกครองภูมิภาค แต่ต้องเข้าใจและแก้ไขความอ่อนแอและคดโกงของระบบท้องถิ่นที่สมคบและทำตามคำสั่งของอำนาจการเมืองส่วนกลาง ทั้งสองระบบนี้รักษาไว้ไม่ได้ แต่เปลี่ยนแปลงอย่างไรและเมื่อใดเป็นเรื่องที่จะตอบได้ด้วยการศึกษาและปัญญา
7. ต้องแก้ไขความล่มสลายของระบบการศึกษาปัจจุบัน โดยรีบระดมทรัพยากรให้กับการเรียนรู้และตัวโรงเรียนเสียก่อน แล้วจึงค่อยๆ ปฏิรูปแต่ละระดับ โดยในที่สุดจะต้องลดขนาดกระทรวงศึกษาธิการซึ่งขณะนี้โตกว่ากระทรวงของห้ามหาประเทศรวมกันกว่าหนึ่งเท่า
ทั้งหมดนี้พูดง่ายทำยาก แต่ไม่มีอะไรที่จะแก้โดยสมองหรือความตั้งใจของคนไทยไม่ได้ สำคัญอยู่ที่ว่าคนไทยที่มีความสามารถกลับพากันขาดความเต็มใจ และคนที่เต็มใจส่วนใหญ่ก็ขาดความสามารถ ประกอบกับวัฒนธรรมตามอย่าง หวังพึ่ง เอาตัวรอด และหวังผลประโยชน์ ทำให้คนไทยรักในหลวงและประเทศชาติแต่ปาก สิ่งเหล่านี้กลายเป็นกำลังเสริมและจุดแข็งของพรรคไทยรักไทย
ดังนั้นวาระแห่งชาติข้อสุดท้ายก็คือการทำลายจุดอ่อนของคนไทยที่ทำให้บ้านเมืองตกเป็นเหยื่อของระบอบทักษิณไปโดยไม่รู้ตัวอีกด้วย
ทุกรัฐบาลมักจะอวดอ้างและแข่งขันกันประกาศวาระแห่งชาติ เพื่อใช้เป็นธงหรือเข็มทิศในการวางนโยบายบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล
ผมไม่แน่ใจว่าคนไทยสนใจหรือจำได้ว่าวาระแห่งชาติของรัฐบาลทักษิณมีอะไรบ้าง แต่ผมรู้ว่าคนไทยจำนวนมหาศาลโดยเฉพาะชาวชนบทที่ยากไร้และหวังพึ่ง พากันเสพมาตรการประชานิยมอย่างใดอย่างหนึ่งของทักษิณจนติดเหมือนสูบฝิ่น เพราะฉะนั้นการที่ผมจะพูดว่า 5 ปีของรัฐบาลทักษิณ การปกครองระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ในประเทศไทยประสบความถดถอยและล้าหลัง เกิดความแตกแยกเผชิญหน้ากันในหมู่คนไทยขนาดที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน จนหลายคนวิตกว่าเมืองไทยจะแบ่งเป็น 3 ประเทศ ย่อมจะเป็นที่ขัดใจของผู้ฟังจำนวนมาก หลายคนแทบจะคิดว่าทักษิณเป็นเทวดา เหนือกว่าผู้ใดในผืนแผ่นดิน
คนทั่วไปอาจจะไม่ทราบว่า การต่อสู้เพื่อรักษาและขับไล่ทักษิณออกจากเก้าอี้ ได้สร้างสถิติโลก ซึ่งไม่นานก็คงจะต้องถูกบันทึกไว้ในกินเนสส์บุ๊ก ถึง 2 ประการคือ
(1) การชุมนุมประท้วงใหญ่ที่ยืดเยื้อยาวนานและสุภาพเป็นผู้ดีที่สุด และ
(2) การเกาะติดตำแหน่งด้วยข้ออ้างคือรักษาประชาธิปไตยที่มีการเลือกตั้งและ
สารพัดวิธี ทำให้นายกฯ ทักษิณกอดตำแหน่งไว้ได้นานที่สุด เกินความคาดหมายที่ว่าไม่ น่าทน ถึงเพียงนี้
อย่างไรก็ตาม ภายหลังที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำรัส เมื่อวันที่ 25 เมษายน 2549 ขอให้ศาลช่วยกันแก้ไขวิกฤต รักษาระบอบประชาธิปไตย และป้องกันมิให้บ้านเมืองล่มจม โดยได้ทรงย้ำ “ขอร้อง” 6 ครั้ง “ขอฝาก” 5 ครั้ง “ขอให้” ถึง 11 ครั้ง เพราะในหลวงเชื่อดังพระราชดำรัสว่า “เดี๋ยวนี้เป็นเวลาที่วิกฤตที่สุดในโลก” สังคมทั้งในและนอกประเทศเริ่มพากันพูดถึงอวสานและการเมืองไทยหลังยุคทักษิณกันถี่ขึ้น
ผมเองมิได้ลิงโลด แต่ด้วยความเชื่อมั่นในหลักความเป็นอนิจจังแห่งสังคม ก็เลยเชื่อเหมือนกันว่า เร็วหรือช้า วันหนึ่งทักษิณก็ต้องไป แต่จะเป็นการไปแบบไหน คือ ไปเหลี่ยมหรือไปหลบ ไปลิบหรือไปลับ คงจะต้องคอยเฝ้าดูกันต่อไป
คำว่าไปลับผมมิได้หมายความว่าทักษิณต้องตาย แต่หมายความว่า ตัวทักษิณ และระบอบทักษิณต้องตามกันไปด้วย โดยไม่ทิ้งโครงสร้าง องค์ประกอบ บุคคลและพฤติกรรมของระบอบทักษิณ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ประเทศไทยเกิด “วิกฤตที่สุดในโลก” อยู่ทุกวันนี้
เมื่อไม่นานมานี้ ผมได้รับความรู้และข้อมูลที่ผมยังไม่ปักใจร้อยเปอร์เซ็นต์ ตอนนี้กำลังศึกษาวิเคราะห์อยู่ ข้อมูลนั้นบอกว่า บัดนี้ระบอบทักษิณได้หยั่งรากลึกและชอนไชไปถึงรากหญ้าจนเกือบทั่วเมืองไทย ยากที่จะรื้อถอนได้เสียแล้ว การที่เป็นเช่นนั้น หาใช่เพราะว่ามาตรการประชานิยม นโยบายหรือแม้แต่วาระแห่งชาติของพรรคไทยรักไทยเป็นที่จับใจของประชาชนอย่างแท้จริงก็หาไม่ นั่นเป็นแต่เพียงการตลาดที่มีสีสันและฉาบฉวย ความสำเร็จของระบอบทักษิณอยู่ที่ยุทธศาสตร์และการจัดตั้งต่างหาก
ในเมื่อยุทธศาสตร์ถูกต้อง และการจัดตั้งมีทรัพยากรเหลือเฟือ คือ ทรัพยากรส่วนตัวของทักษิณ ทรัพยากรของชาติที่นำมา“ฉวยใช้” และทรัพยากรที่ “ขวนขวาย” มาจากหุ้นส่วนทางการเมือง ระบบต่างๆ ที่เป็นองค์ประกอบของระบอบทักษิณจึงได้เกิดขึ้นและเข้มแข็งโตวันโตคืน คนที่นึกว่าทักษิณจะไปง่ายๆ คือคนที่ไร้เดียงสาทางการเมือง
ยุทธศาสตร์ทักษิณ จะมีชื่อว่าอะไรก็ตามแต่ ได้ถูกประดิษฐ์ขึ้นโดยกลุ่มคนที่มีสมองเยี่ยมในแผ่นดิน มีประสบการณ์โชกโชนทั้งในเมือง ในป่า และในมหานครของโลก มีเป้าหมายหลักอยู่ 5 ประการ ดังนี้ (1) สร้างระบบการเมืองเป็นระบบพรรคเดียว (2)ทำลายความเข้มแข็งแบบเก่าของระบบราชการ โดยทำให้ระบบราชการต้องรับใช้ระบบการเมืองโดยไม่มีเงื่อนไข (3) แปลงสินทรัพย์ของรัฐให้เป็นส่วนหนึ่งของระบบเศรษฐกิจทุนนิยมเสรี(4)ทำให้สถาบันกษัตริย์เป็นแต่เพียงสัญลักษณ์ให้มากที่สุด และ(5)สร้างระบบพรรคแบบรวมศูนย์การนำสูงสุด เป็นพรรคของกรรมการ แบบ cadre party แต่แฝงอยู่ในเสื้อคลุมหรือเปลือกนอก(ที่หลอกลวง)ว่า เป็นพรรคมวลชน
ถ้าเราสำรวจตรวจสอบให้ดี การเดินทางไปสู่ยุทธศาสตร์หลัก มีความก้าวหน้าเข้มแข็งขึ้นอย่างต่อเนื่อง จะเห็นได้จากมาตรการประชานิยม การจดทะเบียนคนจนคู่ขนานไปกับสมาชิกพรรค การรวมพรรค การปฏิรูประบบราชการและระบบซีอีโอ การการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ การกำหนดเขตเศรษฐกิจซึ่งเกือบครอบไปถึงธรณีสงฆ์หากไม่มีการต่อต้าน การครอบงำรัฐสภา องค์กรตรวจสอบอิสระ และการเลือกตั้ง ที่เหลืออยู่และคุมมิได้สนิทมีอยู่ไม่กี่สถาบัน เช่น สื่อ นักวิชาการ และ ปัญญาชน ศาล และสถาบันสำคัญอีกหนึ่ง เป็นต้น
เมื่อวิเคราะห์ถึงคำขอของพระเจ้าอยู่หัว สมาชิกระบอบทักษิณอาจจะพากันปลาบปลื้มจนลืมตน เพราะถ้าหากศาล เพียงแต่มีคำสั่งให้เป็นผลว่า (1) การเลือกตั้ง 2 เมษายน ไม่ชอบ (2) ให้จัดการเลือกตั้งใหม่ภายใน 60 วัน และ(3)พรรคฝ่ายค้านในสภาครั้งที่แล้วเลิกบอยคอต กลับมาลงเลือกตั้งเสียดีๆ ทุกอย่างก็ยิ่งจะเรียบร้อยโรงเรียนไทยรักไทยยิ่งกว่าเดิมเพราะว่า (1) พรรคได้ซ้อมใหญ่มาแล้ว เดี๋ยวนี้คึกคักเข้มแข็งทั้งพลร่ม พลรบ และหัวคะแนน (2)นายกฯ ทักษิณได้รับการฟอกตัวเรียบร้อยแล้ว ถึงแม้การเลือกตั้งจะมิชอบก็เป็นแต่เรื่องเทคนิค(ในทัศนะพรรค) ต่อไปก็ไม่จำเป็นต้องตอบคำถามอะไรของใครอีก (3) นายกฯ ทักษิณได้เว้นวรรคครบแล้ว ตามนัยที่ได้แสดงว่าพระเจ้าอยู่หัวทรงแนะนำ(ซึ่งไม่จริงเลย) และได้อธิบายให้ผู้นำทั้งโลก (นอกจากมาเลย์และปินส์) ฟังหมดแล้วว่า I shall return (4)อำนาจรัฐบาลรักษาการและอำนาจ กกต.ก็ยังเต็มเปี่ยม พร้อมที่จะร่วมมือกันรักษาระบอบประชาธิปไตยทักษิณให้วัฒนาถาวรสืบไป
ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง วาระแห่งชาติของฝ่ายที่จะล้มระบอบทักษิณ เพื่อสร้างระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขที่สมจริง ก็จะเป็นวาระและภารกิจที่ยากยิ่ง ภารกิจเหล่านี้ประกอบด้วย
1. การปฏิเสธทักษิณ การรื้อระบบย่อยต่างๆของระบอบทักษิณ และการยุติระบอบทักษิณ ไม่ว่าจะเป็นโครงสร้างพรรค แบบรวมศูนย์รวบอำนาจเป็นทาสหัวหน้า โครงสร้างรัฐบาลแบบรวมศูนย์รวมอำนาจเป็นทาสนายกฯ และระบบบริหารราชการแผ่นดินแบบรวมศูนย์รวบอำนาจเป็นทาสรัฐบาล และระบบเศรษฐกิจทุนนิยมสุดโต่งแบบรวมศูนย์รวบอำนาจเป็นทาสบรรษัทโลก(ของทักษิณ หุ้นส่วนและตลาดหุ้น)
2. การสร้างระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขที่แท้จริง โดยการมีส่วนร่วมทุกระดับแบบราชประชาสมาสัย
ในขณะที่ผมพอจะมองออกว่าระบอบทักษิณจะ สะดุดขาตนเองให้ผู้ที่ไล่ตามทุบเอาได้อย่างไร ผมกลับเห็นว่าภารกิจในข้อที่ 2 เป็นเรื่องยากจนเกือบจะเป็นไปไม่ได้ ถ้าหากปล่อยให้ศาล หรือแม้แต่ทหารเป็นผู้ช่วยกันแก้วิกฤต จนกระทั่งมีการเลือกตั้งที่สะอาดหมดจดก็ตาม
ผมเห็นคล้อยกับนายแพทย์ประเวศว่าจะต้องมีการล้างบางหรือล้างไพ่ให้หมดและมีการตั้งต้นเล่นกันใหม่ด้วยกติกาใหม่ แต่ไม่ถึงกับจะต้องยุบหรือห้ามพรรคเก่าไม่ให้ลง นอกจากพรรคที่ถูกลงโทษตามกฎหมาย
ผมไม่ไว้ใจให้พรรคทักษิณเป็นผู้นำปฏิรูปการเมืองไม่ว่าภายใต้เงื่อนไขใดๆ โดยเหตุผลที่ได้แสดงมาแต่ต้นแล้ว ในขณะเดียวกัน ผมก็ไม่เชื่อว่าการสักแต่ว่ามีการเลือกตั้งใหม่โดยพรรคเก่าทั้งหมด เพื่อให้พากันมาปฏิรูปการเมืองและเลือกตั้งใหม่จะดีอย่างไร นอกจากจะเลือกตั้งซ้ำแล้วซ้ำอีกแบบเดิมๆ เพียงแต่มีการ ปลดล็อก 90 วันนั้น เรื่องอื่นๆ จะหนีอิทธิพลองค์ประกอบเก่าๆ และอิทธิคงค้างของระบอบทักษิณได้อย่างไร
ผมเสนอให้การสร้างระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขเป็นยุทธศาสตร์ชาติ มีวาระแห่งชาติที่คนไทยทุกหมู่เหล่าจะต้องช่วยกันผลักดันดังต่อไปนี้
1. การร่างรัฐธรรมนูญและปฏิรูปการเมืองแบบราชประชาสมาสัย
2. การเลือกตั้งเสรีที่ทั้งผู้สมัครและผู้เลือกมีสิทธิสมบูรณ์ และมีเสรีภาพทางข่าวสารอย่างถูกต้องทั่วถึง
3. ต้องเลิกหรือเปลี่ยนพรรคการเมืองหรือพฤติกรรมของพรรคที่เป็น“แก๊งเลือกตั้ง” มีหัวหน้าตั้งพรรค พรรคซื้อผู้แทน ผู้แทนซื้อเสียง อย่างที่เป็นอยู่ ตราบใดที่ยังเป็นเช่นนี้ ไม่มีวันที่จะสร้างประชาธิปไตยได้ ต้องเปิดโอกาสให้พรรคการเมืองที่แท้จริงเกิดขึ้นให้ได้
4. ต้องรีบสร้างระบบเศรษฐกิจพอเพียงของพระเจ้าอยู่หัว และมียุทธวิธีถอยออกจากระบบทุนนิยมเสรีสุดโต่งโดยให้มีความเสียหายน้อยที่สุด
5. ต้องขุดรากถอนโคนคอร์รัปชันอย่างมีระบบและทั่วถึง ด้วยกลไกที่มีประสิทธิภาพมีเขี้ยวเล็บและสนับสนุนด้วยระบบข่าวสารที่ทันสมัยและประชาชนที่ตื่นตัว มีค่านิยมเกลียดทุจริต
6. ต้องเริ่มแปรหรือเปลี่ยนระบบบริหารราชการแผ่นดินแบบรวมศูนย์รวบอำนาจขึ้นอยู่กับส่วนกลางและตัวแทนในการปกครองภูมิภาค แต่ต้องเข้าใจและแก้ไขความอ่อนแอและคดโกงของระบบท้องถิ่นที่สมคบและทำตามคำสั่งของอำนาจการเมืองส่วนกลาง ทั้งสองระบบนี้รักษาไว้ไม่ได้ แต่เปลี่ยนแปลงอย่างไรและเมื่อใดเป็นเรื่องที่จะตอบได้ด้วยการศึกษาและปัญญา
7. ต้องแก้ไขความล่มสลายของระบบการศึกษาปัจจุบัน โดยรีบระดมทรัพยากรให้กับการเรียนรู้และตัวโรงเรียนเสียก่อน แล้วจึงค่อยๆ ปฏิรูปแต่ละระดับ โดยในที่สุดจะต้องลดขนาดกระทรวงศึกษาธิการซึ่งขณะนี้โตกว่ากระทรวงของห้ามหาประเทศรวมกันกว่าหนึ่งเท่า
ทั้งหมดนี้พูดง่ายทำยาก แต่ไม่มีอะไรที่จะแก้โดยสมองหรือความตั้งใจของคนไทยไม่ได้ สำคัญอยู่ที่ว่าคนไทยที่มีความสามารถกลับพากันขาดความเต็มใจ และคนที่เต็มใจส่วนใหญ่ก็ขาดความสามารถ ประกอบกับวัฒนธรรมตามอย่าง หวังพึ่ง เอาตัวรอด และหวังผลประโยชน์ ทำให้คนไทยรักในหลวงและประเทศชาติแต่ปาก สิ่งเหล่านี้กลายเป็นกำลังเสริมและจุดแข็งของพรรคไทยรักไทย
ดังนั้นวาระแห่งชาติข้อสุดท้ายก็คือการทำลายจุดอ่อนของคนไทยที่ทำให้บ้านเมืองตกเป็นเหยื่อของระบอบทักษิณไปโดยไม่รู้ตัวอีกด้วย