มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับอุปนิสัยแปลกๆ ของคนที่เราเรียกกันว่า “คนใหญ่คนโต”
เรื่องแรกเกี่ยวกับพระเจ้าหลุยส์ที่ 15 ซึ่งมิได้ทรงโทมนัสในการที่มาดามปอมปาดูร์ พระสนมถึงแก่กรรม กลับรับสั่งเล่นเป็นเชิงขบขันกับราชบริพาร
เรื่องต่อมา เรื่องราชาคณะผู้หนึ่ง ซึ่งนโปเลียนนับถือมาก ครั้นราชาคณะผู้นั
้นถึงแก่มรณภาพ นโปเลียนก็มิได้อาลัยรักได้แต่พูดว่า “ร้องไห้ทำไม เมื่อตายแล้วก็ทำประโยชน์อะไรอีกไม่ได้แล้ว”
หลวงวิจิตรวาทการผู้เล่าเรื่องทั้งสองได้สรุปไว้ดังนี้
คนใหญ่คนโตทุกคน ไม่เป็นผู้รู้คุณคน หากจะยกย่องนิยมนับถือรักใคร่ ก็แต่เฉพาะเมื่อยังทำประโยชน์ให้ได้ เมื่อทำประโยชน์อะไรให้ไม่ได้แล้ว ความนับถือรักใคร่ก็หมดลงไปได้ทันที ความผูกพันซาบซึ้งตรึงใจนั้น ไม่มีในคนใหญ่คนโต คนใหญ่คนโตสามารถจะทอดทิ้ง หรือปล่อยให้คนที่ตัวเคยรักเคยนับถือที่สุด เคยทำคุณงามความดีมามากที่สุด ต้องรับภยันอันตรายหรือถึงตายได้ ถ้าไม่มีประโยชน์อะไรกับเขาอีกต่อไป เรื่องความรักความอาลัยอันเกิดจากใจจริงนั้น ไม่สามารถจะหวังได้จากคนใหญ่คนโต คนใหญ่คนโตจะมองดูอย่างเดียว คือว่ามีประโยชน์แก่เขาหรือไม่
จริงอยู่ การสรุปรวมลักษณะนิสัยของบุคคลประเภทใดประเภทหนึ่ง เป็นสิ่งที่จะให้ปักใจเชื่อสนิทเลยทีเดียวเห็นจะยากอยู่ เพราะขึ้นว่ากฎแล้วย่อมมีข้อยกเว้นอยู่เสมอ “คนใหญ่คนโต” ที่ไม่เป็นไปดังคุณหลวงวิจิตรฯ พรรณนาก็คงจะมีอยู่ แต่หากเราลองนึกถึง “คนใหญ่คนโต” ในบ้านเมืองเรายุคปัจจุบันสักคนหนึ่ง ประเภท “เมตตา” พระอาจารย์ที่เคยช่วยเหลือตนเอย ประเภทกล่าวถึงบุคคลที่นำตนสู่วงการการเมืองว่า “พระก็ไม่ใช่คนก็ไม่เชิง” เอย ประเภทพลั้งปากแดกดันราษฎรที่เลือกตัวมาว่า “ผมเสียภาษีมากกว่าพวกมันรวมกันทั้งประเทศ” เอย ก็จะเห็นได้ว่าหลวงวิจิตรฯ สามารถส่องสันดานเนรคุณของคนใหญ่คนโต และสรุปออกมาได้ถูกต้องทุกคำทุกประโยค
ทว่า จะไปกล่าวหา “คนใหญ่คนโต” แต่ถ่ายเดียวนั้นก็ดูจะเป็นเรื่องที่ไม่ยุติธรรมอยู่ เพราะที่จริงแล้ว “คนเล็ก” เองก็มีส่วนไม่น้อยในการที่ยกยอปอปั้น สรรเสริญพินอบพิเทา “คนใหญ่คนโต” เสียเกินเหตุ ยังผลให้ “คนใหญ่คนโต” เกิดนึกอุปโลกน์ว่าตนเป็นผู้ยิ่งใหญ่ เป็นเทวดาจำแลงไปเลยจริงๆ
ก็ “คนเล็ก” อย่างเราๆ เองมิใช่หรอกหรือที่ตั้งคำถามว่า “ไม่เอาเขาแล้วจะเอาใคร” ประหนึ่งเป็นพระเจ้าองค์เดียว จะมีสิ่งใดแทนที่ไม่ได้ ซ้ำมอบสถานะเทพด้วยเห็นว่าใครเป็นปฏิปักษ์ต่อเขาแล้วต้องเป็น “มารผจญ” ไปเสียหมด ก็ไม่ใช่เราหรือที่ไป หมอบกรานรอเขา โบก “ธง” ต้อนรับให้อุจาดตาและแสลงใจไปทั้งประเทศ และก็ไม่ใช่เราอีกหรือที่เป็นถึงอาจารย์อาวุโส หรือเป็นถึงผู้แทนราษฎร แล้วยังไปไหว้เขาประหงกๆ เหมือนบุตรไหว้บุพการี
ในเมื่อเราเองไม่มองเขาเป็นคน แล้วจะให้เขามองเราเป็นคนได้อย่างไรเล่า จะไปวิจารณ์เขารึ เขาก็ว่าเรา “เห่าหอน” สรรพนามก็เรียก “มัน” อย่างโน้น “มัน” อย่างนี้ วันดีคืนดี “ท่าน” เห็นเราเป็นสรรพพัสดุ จัดแยกประเภทได้ไปเสียฉิบ ก็ “ท่าน” บอกเองนี่ว่า “เลือกก่อนดูแลก่อน”
เมื่อเป็นเช่นนี้มีหรือ “คนใหญ่คนโต” จะร้องไห้หากต้องเสียบุคคลที่รักใคร่ผูกพัน
ทว่า ความสัมพันธ์ระหว่างคนใหญ่กับคนเล็กก็ใช่จะมืดมนไปเสียเลยทีเดียว ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เคยให้แง่คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้อย่างน่าฟังว่า
ในโลกนี้ไม่มีใครโตกว่าใคร ถ้าเราอยากจะให้คนร้องไห้เวลาเราตายก็ต้องใช้วิธีคบคนให้ถูกวิธีนั้นคือ อย่าเห็นใครเป็นเทวดาและอย่าเห็นใครเป็นสัตว์ จงคบคนในฐานที่เขาเป็นคนมีชั่วดีผิดพลาดเช่นเดียวกับเราทุกคนไป เมื่อเป็นเช่นนั้นเราจึงคบทุกคนได้สนิทและรักคนได้มากกว่าสิ่งอื่น และคนอื่นที่คบเราในฐานเป็นคน เขาก็จะเห็นว่าเราเป็นคน และรักเราได้มากเช่นเดียวกัน เวลาเราตายเขาก็จะร้องไห้
หาก “คนเล็ก” อย่างเราเชื่อข้อคิดของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ก็คงถึงเวลาแล้วที่จะคิดได้ว่า “คนใหญ่คนโต” นั้นถึงไม่มีเขา ก็ยังมีผู้ที่มาแทนที่ได้ และ “คนใหญ่คนโต” นั้นคือปุถุชนที่ทำชั่วได้ ไม่จำเป็นเลยที่ผู้ต่อต้าน “คนใหญ่คนโต” จะเป็น “ผู้ก่อความไม่สงบ” “ผู้ไม่เคารพกติกา”
“คนใหญ่คนโต” เองก็เถอะ หากยังทนงว่าตนนั้นวิเศษวิโส มอง “คนเล็ก” เป็นสัตว์ที่จะพูดจาดูถูกเหยียดหยาม ทั้งยังเห็น “คนเล็ก” เป็นสิ่งของซึ่งซื้อหาได้อยู่ร่ำไป เมื่อวันที่ท่านตาย อย่าว่าแต่จะหาผู้เสียน้ำตาให้ท่านเลย บางที “คนเล็ก” อาจจะพากันหัวเราะร่วนเป็นบ้าไปทั้งเมืองก็ไม่รู้ได้
เรื่องแรกเกี่ยวกับพระเจ้าหลุยส์ที่ 15 ซึ่งมิได้ทรงโทมนัสในการที่มาดามปอมปาดูร์ พระสนมถึงแก่กรรม กลับรับสั่งเล่นเป็นเชิงขบขันกับราชบริพาร
เรื่องต่อมา เรื่องราชาคณะผู้หนึ่ง ซึ่งนโปเลียนนับถือมาก ครั้นราชาคณะผู้นั
้นถึงแก่มรณภาพ นโปเลียนก็มิได้อาลัยรักได้แต่พูดว่า “ร้องไห้ทำไม เมื่อตายแล้วก็ทำประโยชน์อะไรอีกไม่ได้แล้ว”
หลวงวิจิตรวาทการผู้เล่าเรื่องทั้งสองได้สรุปไว้ดังนี้
คนใหญ่คนโตทุกคน ไม่เป็นผู้รู้คุณคน หากจะยกย่องนิยมนับถือรักใคร่ ก็แต่เฉพาะเมื่อยังทำประโยชน์ให้ได้ เมื่อทำประโยชน์อะไรให้ไม่ได้แล้ว ความนับถือรักใคร่ก็หมดลงไปได้ทันที ความผูกพันซาบซึ้งตรึงใจนั้น ไม่มีในคนใหญ่คนโต คนใหญ่คนโตสามารถจะทอดทิ้ง หรือปล่อยให้คนที่ตัวเคยรักเคยนับถือที่สุด เคยทำคุณงามความดีมามากที่สุด ต้องรับภยันอันตรายหรือถึงตายได้ ถ้าไม่มีประโยชน์อะไรกับเขาอีกต่อไป เรื่องความรักความอาลัยอันเกิดจากใจจริงนั้น ไม่สามารถจะหวังได้จากคนใหญ่คนโต คนใหญ่คนโตจะมองดูอย่างเดียว คือว่ามีประโยชน์แก่เขาหรือไม่
จริงอยู่ การสรุปรวมลักษณะนิสัยของบุคคลประเภทใดประเภทหนึ่ง เป็นสิ่งที่จะให้ปักใจเชื่อสนิทเลยทีเดียวเห็นจะยากอยู่ เพราะขึ้นว่ากฎแล้วย่อมมีข้อยกเว้นอยู่เสมอ “คนใหญ่คนโต” ที่ไม่เป็นไปดังคุณหลวงวิจิตรฯ พรรณนาก็คงจะมีอยู่ แต่หากเราลองนึกถึง “คนใหญ่คนโต” ในบ้านเมืองเรายุคปัจจุบันสักคนหนึ่ง ประเภท “เมตตา” พระอาจารย์ที่เคยช่วยเหลือตนเอย ประเภทกล่าวถึงบุคคลที่นำตนสู่วงการการเมืองว่า “พระก็ไม่ใช่คนก็ไม่เชิง” เอย ประเภทพลั้งปากแดกดันราษฎรที่เลือกตัวมาว่า “ผมเสียภาษีมากกว่าพวกมันรวมกันทั้งประเทศ” เอย ก็จะเห็นได้ว่าหลวงวิจิตรฯ สามารถส่องสันดานเนรคุณของคนใหญ่คนโต และสรุปออกมาได้ถูกต้องทุกคำทุกประโยค
ทว่า จะไปกล่าวหา “คนใหญ่คนโต” แต่ถ่ายเดียวนั้นก็ดูจะเป็นเรื่องที่ไม่ยุติธรรมอยู่ เพราะที่จริงแล้ว “คนเล็ก” เองก็มีส่วนไม่น้อยในการที่ยกยอปอปั้น สรรเสริญพินอบพิเทา “คนใหญ่คนโต” เสียเกินเหตุ ยังผลให้ “คนใหญ่คนโต” เกิดนึกอุปโลกน์ว่าตนเป็นผู้ยิ่งใหญ่ เป็นเทวดาจำแลงไปเลยจริงๆ
ก็ “คนเล็ก” อย่างเราๆ เองมิใช่หรอกหรือที่ตั้งคำถามว่า “ไม่เอาเขาแล้วจะเอาใคร” ประหนึ่งเป็นพระเจ้าองค์เดียว จะมีสิ่งใดแทนที่ไม่ได้ ซ้ำมอบสถานะเทพด้วยเห็นว่าใครเป็นปฏิปักษ์ต่อเขาแล้วต้องเป็น “มารผจญ” ไปเสียหมด ก็ไม่ใช่เราหรือที่ไป หมอบกรานรอเขา โบก “ธง” ต้อนรับให้อุจาดตาและแสลงใจไปทั้งประเทศ และก็ไม่ใช่เราอีกหรือที่เป็นถึงอาจารย์อาวุโส หรือเป็นถึงผู้แทนราษฎร แล้วยังไปไหว้เขาประหงกๆ เหมือนบุตรไหว้บุพการี
ในเมื่อเราเองไม่มองเขาเป็นคน แล้วจะให้เขามองเราเป็นคนได้อย่างไรเล่า จะไปวิจารณ์เขารึ เขาก็ว่าเรา “เห่าหอน” สรรพนามก็เรียก “มัน” อย่างโน้น “มัน” อย่างนี้ วันดีคืนดี “ท่าน” เห็นเราเป็นสรรพพัสดุ จัดแยกประเภทได้ไปเสียฉิบ ก็ “ท่าน” บอกเองนี่ว่า “เลือกก่อนดูแลก่อน”
เมื่อเป็นเช่นนี้มีหรือ “คนใหญ่คนโต” จะร้องไห้หากต้องเสียบุคคลที่รักใคร่ผูกพัน
ทว่า ความสัมพันธ์ระหว่างคนใหญ่กับคนเล็กก็ใช่จะมืดมนไปเสียเลยทีเดียว ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เคยให้แง่คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้อย่างน่าฟังว่า
ในโลกนี้ไม่มีใครโตกว่าใคร ถ้าเราอยากจะให้คนร้องไห้เวลาเราตายก็ต้องใช้วิธีคบคนให้ถูกวิธีนั้นคือ อย่าเห็นใครเป็นเทวดาและอย่าเห็นใครเป็นสัตว์ จงคบคนในฐานที่เขาเป็นคนมีชั่วดีผิดพลาดเช่นเดียวกับเราทุกคนไป เมื่อเป็นเช่นนั้นเราจึงคบทุกคนได้สนิทและรักคนได้มากกว่าสิ่งอื่น และคนอื่นที่คบเราในฐานเป็นคน เขาก็จะเห็นว่าเราเป็นคน และรักเราได้มากเช่นเดียวกัน เวลาเราตายเขาก็จะร้องไห้
หาก “คนเล็ก” อย่างเราเชื่อข้อคิดของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ก็คงถึงเวลาแล้วที่จะคิดได้ว่า “คนใหญ่คนโต” นั้นถึงไม่มีเขา ก็ยังมีผู้ที่มาแทนที่ได้ และ “คนใหญ่คนโต” นั้นคือปุถุชนที่ทำชั่วได้ ไม่จำเป็นเลยที่ผู้ต่อต้าน “คนใหญ่คนโต” จะเป็น “ผู้ก่อความไม่สงบ” “ผู้ไม่เคารพกติกา”
“คนใหญ่คนโต” เองก็เถอะ หากยังทนงว่าตนนั้นวิเศษวิโส มอง “คนเล็ก” เป็นสัตว์ที่จะพูดจาดูถูกเหยียดหยาม ทั้งยังเห็น “คนเล็ก” เป็นสิ่งของซึ่งซื้อหาได้อยู่ร่ำไป เมื่อวันที่ท่านตาย อย่าว่าแต่จะหาผู้เสียน้ำตาให้ท่านเลย บางที “คนเล็ก” อาจจะพากันหัวเราะร่วนเป็นบ้าไปทั้งเมืองก็ไม่รู้ได้