xs
xsm
sm
md
lg

ใครทำให้ในหลวงเดือดร้อน

เผยแพร่:   โดย: ปราโมทย์ นาครทรรพ

เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับพระมหากษัตริย์เนปาล แต่เกี่ยวกับพรรคไทยรักไทยและผู้สนับสนุนพรรคบางกลุ่ม ที่บั่นทอนระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข

เรื่องนี้ก็ไม่เกี่ยวกับการที่พรรคไทยรักไทยเลือกเอาวันที่ 14 กรกฎาคม เป็นวันสถาปนาพรรค ทั้งนี้สันนิษฐานว่าหัวหน้าพรรคและผู้นำพรรคบางคนที่เรียนจบมาจากฝรั่งเศสอาจจะไม่รู้หรือลืมไปว่าวันที่ 14 กรกฎาคมนี้เป็นวันที่ระลึกการล้มล้างสถาบันกษัตริย์ของฝรั่งเศส เพื่อสถาปนาให้ฝรั่งเศสเป็นมหาชนรัฐ

ขอปฏิเสธเหมือนกันว่าไม่เกี่ยวกับผู้บริหารชั้นอาวุโสของพรรคที่เคยถูกคำพิพากษาให้จำคุกเพราะคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ

เรื่องนี้เกี่ยวกับ“ความเดือดร้อน” ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งทรงใช้คำว่า “เดือดร้อน” หลายครั้ง ในพระราชดำรัสต่างๆ ที่ผ่านมา โดยเฉพาะในวันที่ 4 ธันวาคม 2548

ก่อนอื่นผมก็ขอส่งสารผ่านคอลัมน์นี้ถึงสนธิ ลิ้มทองกุลและพันธมิตร เพราะเรามิได้พบกันมากว่า 14 เดือนแล้ว สนธิอย่าฟ้องทักษิณว่าหมิ่นพระบรมเดชานุภาพเลย จงอ่านพระราชดำรัสให้ดีเสียก่อน

1. พระราชดำรัสกรณีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ

“แต่อย่างไรก็ตาม เข้าคุกแล้ว ถ้าเป็นการละเมิดพระมหากษัตริย์ พระมหากษัตริย์เองเดือดร้อน เดือดร้อนหลายทาง ทางหนึ่งต่างประเทศเขาบอกว่าเมืองไทยนี่พูดวิจารณ์พระมหากษัตริย์ไม่ได้ ว่าวิจารณ์ไม่ได้ก็เข้าคุก มีที่เข้าคุก เดือดร้อนพระมหากษัตริย์ ต้องบอกว่าเข้าคุกแล้วต้องให้อภัย ทั้งที่เขาด่าเราอย่างหนัก ฝรั่งเขาบอกว่าในเมืองไทยนี่ พระมหากษัตริย์ถูกด่า ต้องเข้าคุก ที่จริงควรเข้าคุก แต่เพราะฝรั่งบอกอย่างนั้นก็ไม่ให้เข้า ไม่มีใครกล้าเอาคนที่ด่าพระมหากษัตริย์เข้าคุก เพราะพระมหากษัตริย์เดือดร้อน เขาหาว่าพระมหากษัตริย์เป็นคนที่ไม่ดี อย่างน้อยที่สุด ก็เป็นคนที่จั๊กจี้ ใครว่าไรซักนิดก็บอกให้เข้าคุก ที่จริงพระมหากษัตริย์ไม่เคยบอกให้เข้าคุก ตั้งแต่สมัยรัชกาลก่อนๆ เป็นกบฏ ก็ยังไม่จับใส่คุก ไม่ลงโทษ รัชกาลที่ 6 ท่านไม่ลงโทษ ไม่ได้ลงโทษผู้ที่เป็นกบฏ มาจนกระทั่งถึงต่อมา รัชกาลที่ 9 ใครเป็นกบฏ ก็ไม่เคยมีแท้ๆ ที่จริงก็ทำแบบเดียวกันไม่ให้เข้าคุก ให้ปล่อย หรือถ้าเข้าคุกแล้วก็ให้ปล่อย ถ้าไม่เข้าก็ไม่ฟ้อง เพราะเดือดร้อนผู้ที่ถูกด่า เป็นคนเดือดร้อน อย่างที่คนที่ละเมิดพระมหากษัตริย์ และถูกทำโทษไม่ใช่คนนั้นเดือดร้อน พระมหากษัตริย์เดือดร้อน นี่ก็แปลก

คราวนี้นักกฎหมายก็ชอบให้ฟ้อง ให้จับเข้าคุก อันนี้นักกฎหมายก็สอนนายกฯ ว่าต้องฟ้อง ต้องลงโทษ ก็สอนนายกฯ ว่าใครบอกว่าให้ลงโทษ อย่าลงโทษเขา ลงโทษไม่ดี ลงท้ายไม่ใช่นายกฯ เดือดร้อน แต่พระมหากษัตริย์เดือดร้อน อาจจะอยากให้พระมหากษัตริย์เดือดร้อนไหมล่ะ ไม่รู้นะ”

หลังจากพระราชดำรัสนี้ นายกฯ ทักษิณได้ถอนฟ้องสนธิและพวกในคดีหมิ่นประมาท แต่ต่อมา บัดนี้คนของทักษิณที่อ้างว่าจงรักภักดีต่อในหลวง พากันปิดล้อมคม-ชัด-ลึก ปิดล้อมพันธมิตรที่ราชภัฏ อุดรธานี และพากันยกโขยงแยกย้ายกันฟ้องสนธิกับพวกทั่วราชอาณาจักร ตำรวจก็แสนจงรักภักดี รีบทำคดีให้นายเหนือหัวอย่างไม่ลดละ ไม่คำนึงว่าเจ้าเหนือหัวทรงปรารภเดือดร้อน และไม่แคร์ว่าคดีอย่างนี้ถึงอัยการก็สั่งไม่ฟ้องจนหมด

การฟ้องเรื่องหมิ่นพระบรมเดชานุภาพนี่แปลก ไม่สมควรมาทำกันเล่นๆ ครั้งสุดท้ายที่มีการฟ้องหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ถึงกับศาลพิพากษาให้จำคุก คือ ปีพ.ศ. 2529 จำเลยคือนายวีระ มุสิกพงศ์ ผู้บริหารพรรคไทยรักไทยวันนี้ ซึ่งก็ทรงพระราชทานอภัยโทษ

การกระทำละเมิดต่อองค์พระประมุขนั้น เป็นการกระทำผิดทั้งทางอาญา และตามกฎหมายรัฐธรรมนูญมาตรา 8 “องค์พระมหากษัตริย์ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้”

เพราะฉะนั้นการกระทำละเมิดต่อพระมหากษัตริย์จะต้องพิสูจน์ให้เห็นถึงความหนักหน่วงและจริงจัง ถ้าหากหนักหน่วงและจริงจังก็สมควรจะต้องดำเนินคดีและลงโทษให้สาสม ไม่ว่าบุคคลที่ละเมิดนั้นจะเป็นผู้ใด

เมื่อผมลองเปรียบเทียบคำพูดของสนธิกับทักษิณ ผมมีความรู้สึกว่าคำพูดของทักษิณมีลักษณะใกล้เคียงกับการละเมิดกว่าหลายเท่า แต่ก็ไม่น่าจะฟังได้ว่าหนักหน่วงและจริงจัง จนถึงกับจะต้องฟ้องกันไปมา ต่างกับการกระทำของเว็บไซต์ชื่อ manussaya.com ออกในประเทศสวีเดน ซึ่งมีข้อความละเมิดหมิ่นพระบรมเดชานุภาพอย่างชัดแจ้ง และมีการตั้งข้อสงสัยว่าผู้ที่ออกทุนและบงการว่าจากเว็บไซต์นี้เกี่ยวพันเป็นเครือข่ายอยู่กับผู้บริหารระดับสูงที่ใกล้ชิดกับนายกฯ ทักษิณ การที่จะพิสูจน์ว่าข้อสงสัยนี้เป็นจริงหรือเท็จเป็นสิ่งที่กระทำได้ไม่ยาก

การฟ้องคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพซึ่งเกิดขึ้นอย่างเป็นดอกเห็ดทุกวันนี้มีลักษณะพิเศษเป็นอย่างมาก คือผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งสองฝ่ายต่อสู้ทางการเมือง การทำลายอำนาจและรักษาอำนาจทางการเมืองของนายกฯ ทักษิณและฝ่ายตรงกันข้าม จึงมีการใช้เครื่องมือและกลไกของรัฐที่ไม่มีความเป็นกลางจนน่าเกลียด นอกจากจะทำให้พระมหากษัตริย์ทรงเดือดร้อนแล้ว ยังเป็นการทำลายสิทธิมนุษยชน และทำลายความเป็นกลางและมาตรฐานอาชีพของผู้รักษากฎหมายอีกด้วย

แต่เดิมนั้นคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพจะเกิดขึ้นแบบทิ้งระยะ ไม่ต่อเนื่องกัน และไม่เป็นระบบ เกิดจากผู้มีสติเฟื่องทางการเมืองบ้าง เกิดจากผู้เชื่อมั่นในทฤษฎีการเมืองของเหมาบ้าง เกิดจากความปากพล่อยของนักการเมืองบ้าง ซึ่งก็ต้องจัดการกันไปตามกระบิลเมือง และทุกๆ เรื่องก็ได้รับพระมหากรุณาพระราชทานอภัยโทษให้ทั้งหมด

2. พระราชดำรัสต่อศาลกรณีพระเจ้าอยู่หัวทรงเดือดร้อน

ในพระราชดำรัส 4 ธันวาคม 2548 ตรัสคำว่าเดือดร้อนถึง 15คำ แต่ในพระราชดำรัสต่อศาลเมื่อวันที่ 25 เมษายน นี้ มีเพียงสองเดียว คำแรกมีความว่า “ข้าพเจ้ามีความเดือดร้อนมาก ที่เอะอะอะไรก็ขอพระราชทานนายกฯ” แต่ที่เป็นเรื่องที่เดือดร้อนสาหัสกว่า ผมขออัญเชิญมาทั้งวรรค ดังต่อไปนี้

“การปกครองต้องมีสภา สภาที่ครบถ้วน ถ้าไม่ครบถ้วนเขาว่าไม่ได้ แต่หากเขา แต่อาจจะหาวิธีที่จะตั้งสภาที่ไม่ครบถ้วน และทำงานได้ก็รู้สึกว่ามั่ว อย่างที่ว่า ต้องขอโทษอีกทีนะใช้คำว่ามั่ว ไม่ถูก ไม่ทราบใครจะทำมั่ว ปกครองประเทศมั่วไม่ได้
ที่จะคิดอะไรแบบว่าทำปัดๆ ไปให้เสร็จๆ ไป ถ้าไม่ได้เขาก็โยนให้พระมหากษัตริย์ทำ ซ้ำยิ่งร้ายกว่าทำมั่วอย่างอื่น เพราะพระมหากษัตริย์ไม่มีหน้าที่จะไปมั่ว ก็เลยมาขอร้องฝ่ายศาลให้คิด ให้ช่วยกันคิด เดี๋ยวนี้ประชาชนทั่วไปเขาหวังในศาล โดยเฉพาะศาลฎีกา ศาลอื่นๆ เขายังบอกว่าศาล ขึ้นชื่อว่าเป็นศาลดี ยังมีความซื่อสัตย์สุจริต มีเหตุมีผล และมีความรู้ เพราะท่านได้เรียนรู้กฎหมายว่า และพิจารณาเรื่องกฎหมายที่จะต้องศึกษาดีๆ ประเทศชาติจึงจะรอดพ้นได้ ถ้าไม่ทำตามหลักกฎหมายหลักปกครองที่ถูกต้อง ประเทศชาติไปไม่รอด อย่างที่เป็นอยู่เดี๋ยวนี้ เพราะว่าไม่มีสมาชิกสภาถึง 500 คน ทำงานไม่ได้ก็ตัองพิจารณาดูว่าจะทำยังไงสำหรับให้ทำงานได้ จะมาขอให้พระมหากษัตริย์เป็นผู้ตัดสิน เขาอาจจะว่ารัฐธรรมนูญนี้พระมหากษัตริย์เป็นคนลงพระปรมาภิไธย จริง แต่ลงพระปรมาภิไธย ก็เดือดร้อน”

ทำไมคำเดียวจึงเดือดร้อนกว่า เพราะกรณีหลังนี้เป็นการกระทำที่ให้สถาบัน กษัตริย์ต้องเผชิญหน้ากับฝ่ายบริหารในเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่งยวด คือเรื่องอำนาจปกครองประเทศ และความชอบธรรมในการปกครองประเทศ เป็นเรื่องที่ในหลวงทรงปฏิญาณว่า “เราจะปกครองแผ่นดินโดยธรรม” และรัฐบาลโดยนายกรัฐมนตรีก็ได้ปฏิญาณไว้เหมือนกันว่า “ข้าพระพุทธเจ้า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ขอถวายสัตย์ปฏิญาณว่า ข้าพระพุทธเจ้าจะจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ และจะปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เพื่อประโยชน์ของประเทศและประชาชน ทั้งจะรักษาไว้และปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกประการ”

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงรักษาคำปฏิญาณไว้อย่างเคร่งครัดไม่เคยตกหล่น แต่พ.ต.ท.ทักษิณเป็นผู้รักษารัฐธรรมนูญโดยเคร่งครัดหรือไม่ สำรวจดูก็ได้ว่ารัฐบาลส่งกฎหมายที่บกพร่องไปให้ลงพระปรมาภิไธยจนกระทั่งถูกส่งกลับกี่ฉบับ กี่ฉบับที่ทรงเก็บไว้ไม่ลงพระปรมาภิไธย เช่น กรณีทูลเกล้าตั้งนายวิสุทธิ์ มนตริวัตรซ้อนกับคุณหญิงจารุวรรณ กรณีลงนามสนธิสัญญา PTA โดยไม่คำนึงถึงพระราชอำนาจและความเห็นชอบของรัฐสภา กรณีที่ปล่อยให้กองทัพอากาศสิงคโปร์มาใช้ฐานทัพและน่านฟ้าเป็นประจำระยะยาว ซึ่งเป็นการละเมิดรัฐธรรมนูญมาตรา 224 ที่บัญญัติว่า

“พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจในการทำหนังสือสัญญาสันติภาพ สัญญาสงบศึก และสัญญาอื่นกับนานาประเทศหรือองค์การต่างประเทศ
หนังสือสัญญาใดมีบทเปลี่ยนแปลงอาณาเขตหรือเขตอำนาจแห่งรัฐ หรือจะต้องออกพระราชบัญญัติเพื่อให้การเป็นไปตามสัญญาต้องได้รับความเห็นชอบของรัฐสภา”

จะเห็นว่าวรรค 2 ข้างบนนี้ครอบคลุมกระทั่งการขายหุ้นและสัญญาณดาวเทียมและคลื่นความถี่วิทยุตลอดจนสิทธิการบินของเอเชียแอร์ที่ขายให้สิงคโปร์ นายกฯทักษิณกระทำทุกรื่องโดยพลการทั้งสิ้น

นี่คือการบริหารราชการแผ่นดินหรือการปกครองประเทศแบบมั่วๆ ของพ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งแตกดอกออกหน่อมาถึงการยุบสภา การครอบงำกกต. ทำให้กกต.มีส่วนร่วมมือในการละเมิดกฎหมายรัฐธรรมนูญกฎหมายเลือกตั้ง และกฎหมายอาญาอย่างฉกรรจ์ เกิดการสถาปนาระบบเลือกตั้งพรรคเดียวคนเดียวซึ่งในหลวงทรงฟันธงว่าไม่เป็นประชาธิปไตย และการที่จะดันทุรังขอเปิดรัฐสภาทั้งๆ ที่เลือกผู้แทนไม่ครบ 500 โดยจะเสี่ยงส่งพระราชกฤษฎีกามาให้ในหลวงลงพระปรมาภิไธย แบบ “ทำปัดๆ ไปให้เสร็จๆ ไป ถ้าไม่ได้เขาก็โยนให้พระมหากษัตริย์” ครั้นเลือกผู้แทนได้ไม่ครบก็ “จะมาขอให้พระมหากษัตริย์เป็นผู้ตัดสินฯลฯ” แต่ ลงพระปรมาภิไธยก็เดือดร้อน

ผมใคร่จะจบโดยการสรุปว่า ผู้ที่ทำให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเดือดร้อนขณะนี้คือบุคคล 3 กลุ่ม คือ

1. กลุ่มพลังที่สนับสนุนนายกฯ ทักษิณและพรรคไทยรักไทยที่ร่วมกับตำรวจพากันเที่ยวฟ้องใครต่อใครว่าหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ โดยไม่คำนึงถึงพระราชดำรัสเลยแม้แต่น้อย

2. และ 3. นายกฯ ทักษิณ รัฐบาลและ กกต.ที่ร่วมกันกระทำผิดจนกระทั่งในหลวงดำรัสว่า “เดี๋ยวนี้เป็นเวลาที่วิกฤตที่สุดในโลก” จะต้องช่วยกันกู้ชาติ เพราะทั้งนายกฯ และกกต.ทะนงตัวว่ามีอำนาจอยากจะทำอะไรก็ทำ โดยไม่คำนึงถึงหลักกฎหมายและความถูกต้อง

น่าสนใจที่ในหลวงดำรัสกับศาลปกครองว่า “ถ้าท่านทำงานไม่ได้ ก็มีทางหนึ่งท่านอาจจะต้องลาออก” พระราชดำรัสนี้จะใช้กับนายกฯ ทักษิณ และกกต.ได้หรือไม่ เพราะนอกจากทักษิณกับกกต.จะทำงานไม่ได้ ไม่สำเร็จตามวัตถุประสงค์ของรัฐธรรมนูญแล้ว ก็ยังทิ้งเงื่อนปมต่างๆ อันยุ่งยากไว้ให้แก่บ้านเมือง นับว่าเป็นการทำงานที่มั่ว และไม่อยู่กับร่องกับรอย

ถึงเวลาหรือยังที่ทักษิณกับ กกต.ทั้งสี่จะน้อมรับพระราชดำรัส “ในเมืองไทยนี่ คนไหนที่ทำอะไรไม่เข้าร่องเข้ารอยก็ลาออก ลาออกแล้วไม่มีอะไรผิดเลย”

ผมอยากจะถามคนไทยว่า คนที่ทำให้ในหลวงเดือดร้อนนั้นควรจะลงโทษสถานใด
กำลังโหลดความคิดเห็น