วันเสาร์ที่ 28 เมษายน ที่ผ่านมานี้ จอห์น เคนเนธ กัลเบรท นักเศรษฐศาสตร์แนวเสรีนิยมผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่งของโลกตะวันตกเสียชีวิตในโรงพยาบาลที่เมืองเคมบริดจ์ มลรัฐแมสซาชูเซตส์ด้วยอายุขัยได้ 97 ปีครับ
นอกเหนือจากเป็นนักเศรษฐศาสตร์ชั้นนำ เขาเป็นอาจารย์ที่อุทิศตนเป็นนักการทูต เป็นนักเสรีนิยมทั้งทางการเมืองและทางวิชาการ
ในบั้นปลายเขามีชีวิตอย่างสงบในฟาร์มใกล้เมืองนิวเฟน รัฐเวอร์มองท์
กล่าวได้ว่ามีคนได้อ่านหนังสือและข้อเขียนของเขามากที่สุดในทางเศรษฐศาสตร์ หนังสือที่เขาเขียนนั้นมีทั้งหมด 33 เล่ม ที่มีชื่อเสียงมีอยู่หลายเล่มเช่น “The Affluent Society” ที่เขาพิมพ์ในปี 1958 หนังสือเล่มนี้ส่งผลกระทบต่อสังคมอเมริกาอย่างยิ่ง ทำให้มีการประเมินคุณค่าของสังคมกันใหม่ เขาเขียนหนังสืออย่างคล่องตัว และใช้สำนวนที่คนคุ้นหู เช่น “The Affluent Society” “countervailing power” และ “The conventional wisdom” เป็นต้น สำนวนภาษานี้ เวลานี้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของภาษาที่คนอเมริกันรู้จักกันดีและคุ้นหู
กัลเบรท สูง 6 ฟุต 8 นิ้ว และเขามักถูกเรียกตัวไปให้คำปรึกษาอย่างสม่ำเสมอจากผู้นำรัฐบาลในหลายสมัยโดยเขาไม่เรียกร้องค่าจ้างหรือตำแหน่งหรืออำนาจ
เขาเห็นว่าโลกปัจจุบันนั้นถูกกำหนดโดยบรรษัทยักษ์ใหญ่ ซึ่งครอบงำกลไกการตลาด ส่วนตัวแล้วเขามีแนวคิดใหญ่ ซึ่งมันน่าจะเป็นรูปธรรมหากเขาสร้างรูปแบบที่ชัดเจนขึ้นมาเป็นทฤษฎี
นักวิจารณ์มองว่าบทบาททางวิชาการของเขานั้นควรจะมีคุณค่ามากกว่าที่ผ่านมา หากเขาจับรูปแบบทางทฤษฎีและมีระบบการวิเคราะห์ผ่านทางทฤษฎีนั้นๆ
ในงานด้านการสอนนั้น เขาเป็นผู้สอนที่ศิษย์ต่างรักในผลงานการสอนมาหลายรุ่นในมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด โดยใครที่เคยเรียนกับเขาต่างเอาใจใส่กับการบรรยายที่เขาสอนตลอดเวลา
จากปี 1930 ถึง ยุค 1990 กัลเบรท ช่วยให้นิยามการโต้วาทีทางการเมืองมาตลอด โดยมีส่วนต่ออิทธิพลที่ให้แนวทางต่อพรรคเดโมแครต และมีอิทธิพลแนวคิดของผู้นำพรรคอย่างต่อเนื่องด้วย
เขาเป็นผู้บ่มเพาะและให้การอบรมโดยตรงต่อแอดไล สตีเวนสัน ซึ่งถูกคัดเลือกเพื่อเข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในปี 1952 และปี 1956 โดยยืนพื้นด้วยเศรษฐศาสตร์ของเคนเซียน
กัลเบรท ยังเป็นที่ปรึกษาให้คำชี้แนะกับประธานาธิบดีจอห์น เอฟ เคนเนดี้ และเขายังเคยเป็นทูตประจำประเทศอินเดียในยุคนั้นด้วย
แต่เขามาตัดความสัมพันธ์กับประธานาธิบดีลินคอน จอห์นสัน เพราะนโยบายสงครามในเวียดนาม แม้ว่าเคยช่วยทำให้เกิดโครงการ Great Society Program ก็ตาม และช่วยร่างสุนทรพจน์ให้จอห์นสัน ด้วยก็ตาม
แต่ปี 1968 เขาต่อต้านสงครามเวียดนาม และช่วยวุฒิสมาชิกยูจีน แมคคาร์ธี เพื่อชิงการเข้าแข่งคัดเลือกเป็นประธานาธิบดี
ในช่วงสมัยของกัลเบรท เขารับงานรัฐบาลมาก เช่น จัดการเรื่องการควบคุมราคาในยุคสงครามโลกครั้งที่สอง ช่วยร่างสุนทรพจน์ให้กับประธานาธิบดีหลายคน เช่น ให้กับโรสเวลท์, เคนเนดี้ และจอห์นสัน
เขาใช้ประสบการณ์จากการทำงานให้กับรัฐบาล เขียนนวนิยายแดกดัน โดยเรื่องหนึ่งเขียนเมื่อปี 1968 ชื่อ “The Triump” ซึ่งกลายเป็นนวนิยายขายดีติดเบสเซลเลอร์ ซึ่งโจมตีกระทรวงต่างประเทศที่ไปช่วยประเทศกระจอกๆ
ปี 1990 เขาไปเขียนกระทบคณะเศรษฐศาสตร์ของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดด้วยนิยายเรื่อง “A Tenured Professor” เยาะหยันตัวละคร ซึ่งวาดภาพเหมือนตัวเขาเอง
กัลเบรทเป็นคนที่ได้รับความยกย่องอย่างสูงทั้งในวงการวิชาการ การทูต การเมือง จนหลายคนอิจฉาเขาเป็นคนพูดเก่ง ฉะฉาน ฉลาดเฉลียว คมด้วยวาจาและบางครั้งเขาเป็นคนที่ซับซ้อน
แต่นักเศรษฐศาสตร์คนอื่นๆ ต่างสำนักคิดก็มีความเห็นไม่เหมือนเขา แม้แต่ในกลุ่มเสรีนิยม โดยเฉพาะเกี่ยวกับเรื่องระบบการผลิตและการบริโภค แม้เขาจะไม่ถูกจัดอันดับว่าเป็นผู้นำในเรื่องนักทฤษฎีหรือนักวิชาการระดับนำของประเทศ และเขาไม่เป็นคนที่ถูกมองว่าถ่อมตัว แต่เขามองพวกวิจารณ์เขาว่าเป็นพวกชอบบ่อนทำลาย และพวกที่มีความคิดโบราณเกิดกว่าที่จะเข้าใจความคิดเขาได้
นักเศรษฐศาสตร์เป็นพวกประหยัดความคิด เขาเคยกล่าวกับนักศึกษาไว้
นอกเหนือจากเป็นนักเศรษฐศาสตร์ชั้นนำ เขาเป็นอาจารย์ที่อุทิศตนเป็นนักการทูต เป็นนักเสรีนิยมทั้งทางการเมืองและทางวิชาการ
ในบั้นปลายเขามีชีวิตอย่างสงบในฟาร์มใกล้เมืองนิวเฟน รัฐเวอร์มองท์
กล่าวได้ว่ามีคนได้อ่านหนังสือและข้อเขียนของเขามากที่สุดในทางเศรษฐศาสตร์ หนังสือที่เขาเขียนนั้นมีทั้งหมด 33 เล่ม ที่มีชื่อเสียงมีอยู่หลายเล่มเช่น “The Affluent Society” ที่เขาพิมพ์ในปี 1958 หนังสือเล่มนี้ส่งผลกระทบต่อสังคมอเมริกาอย่างยิ่ง ทำให้มีการประเมินคุณค่าของสังคมกันใหม่ เขาเขียนหนังสืออย่างคล่องตัว และใช้สำนวนที่คนคุ้นหู เช่น “The Affluent Society” “countervailing power” และ “The conventional wisdom” เป็นต้น สำนวนภาษานี้ เวลานี้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของภาษาที่คนอเมริกันรู้จักกันดีและคุ้นหู
กัลเบรท สูง 6 ฟุต 8 นิ้ว และเขามักถูกเรียกตัวไปให้คำปรึกษาอย่างสม่ำเสมอจากผู้นำรัฐบาลในหลายสมัยโดยเขาไม่เรียกร้องค่าจ้างหรือตำแหน่งหรืออำนาจ
เขาเห็นว่าโลกปัจจุบันนั้นถูกกำหนดโดยบรรษัทยักษ์ใหญ่ ซึ่งครอบงำกลไกการตลาด ส่วนตัวแล้วเขามีแนวคิดใหญ่ ซึ่งมันน่าจะเป็นรูปธรรมหากเขาสร้างรูปแบบที่ชัดเจนขึ้นมาเป็นทฤษฎี
นักวิจารณ์มองว่าบทบาททางวิชาการของเขานั้นควรจะมีคุณค่ามากกว่าที่ผ่านมา หากเขาจับรูปแบบทางทฤษฎีและมีระบบการวิเคราะห์ผ่านทางทฤษฎีนั้นๆ
ในงานด้านการสอนนั้น เขาเป็นผู้สอนที่ศิษย์ต่างรักในผลงานการสอนมาหลายรุ่นในมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด โดยใครที่เคยเรียนกับเขาต่างเอาใจใส่กับการบรรยายที่เขาสอนตลอดเวลา
จากปี 1930 ถึง ยุค 1990 กัลเบรท ช่วยให้นิยามการโต้วาทีทางการเมืองมาตลอด โดยมีส่วนต่ออิทธิพลที่ให้แนวทางต่อพรรคเดโมแครต และมีอิทธิพลแนวคิดของผู้นำพรรคอย่างต่อเนื่องด้วย
เขาเป็นผู้บ่มเพาะและให้การอบรมโดยตรงต่อแอดไล สตีเวนสัน ซึ่งถูกคัดเลือกเพื่อเข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในปี 1952 และปี 1956 โดยยืนพื้นด้วยเศรษฐศาสตร์ของเคนเซียน
กัลเบรท ยังเป็นที่ปรึกษาให้คำชี้แนะกับประธานาธิบดีจอห์น เอฟ เคนเนดี้ และเขายังเคยเป็นทูตประจำประเทศอินเดียในยุคนั้นด้วย
แต่เขามาตัดความสัมพันธ์กับประธานาธิบดีลินคอน จอห์นสัน เพราะนโยบายสงครามในเวียดนาม แม้ว่าเคยช่วยทำให้เกิดโครงการ Great Society Program ก็ตาม และช่วยร่างสุนทรพจน์ให้จอห์นสัน ด้วยก็ตาม
แต่ปี 1968 เขาต่อต้านสงครามเวียดนาม และช่วยวุฒิสมาชิกยูจีน แมคคาร์ธี เพื่อชิงการเข้าแข่งคัดเลือกเป็นประธานาธิบดี
ในช่วงสมัยของกัลเบรท เขารับงานรัฐบาลมาก เช่น จัดการเรื่องการควบคุมราคาในยุคสงครามโลกครั้งที่สอง ช่วยร่างสุนทรพจน์ให้กับประธานาธิบดีหลายคน เช่น ให้กับโรสเวลท์, เคนเนดี้ และจอห์นสัน
เขาใช้ประสบการณ์จากการทำงานให้กับรัฐบาล เขียนนวนิยายแดกดัน โดยเรื่องหนึ่งเขียนเมื่อปี 1968 ชื่อ “The Triump” ซึ่งกลายเป็นนวนิยายขายดีติดเบสเซลเลอร์ ซึ่งโจมตีกระทรวงต่างประเทศที่ไปช่วยประเทศกระจอกๆ
ปี 1990 เขาไปเขียนกระทบคณะเศรษฐศาสตร์ของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดด้วยนิยายเรื่อง “A Tenured Professor” เยาะหยันตัวละคร ซึ่งวาดภาพเหมือนตัวเขาเอง
กัลเบรทเป็นคนที่ได้รับความยกย่องอย่างสูงทั้งในวงการวิชาการ การทูต การเมือง จนหลายคนอิจฉาเขาเป็นคนพูดเก่ง ฉะฉาน ฉลาดเฉลียว คมด้วยวาจาและบางครั้งเขาเป็นคนที่ซับซ้อน
แต่นักเศรษฐศาสตร์คนอื่นๆ ต่างสำนักคิดก็มีความเห็นไม่เหมือนเขา แม้แต่ในกลุ่มเสรีนิยม โดยเฉพาะเกี่ยวกับเรื่องระบบการผลิตและการบริโภค แม้เขาจะไม่ถูกจัดอันดับว่าเป็นผู้นำในเรื่องนักทฤษฎีหรือนักวิชาการระดับนำของประเทศ และเขาไม่เป็นคนที่ถูกมองว่าถ่อมตัว แต่เขามองพวกวิจารณ์เขาว่าเป็นพวกชอบบ่อนทำลาย และพวกที่มีความคิดโบราณเกิดกว่าที่จะเข้าใจความคิดเขาได้
นักเศรษฐศาสตร์เป็นพวกประหยัดความคิด เขาเคยกล่าวกับนักศึกษาไว้


