กกต.ช่วยไทยรักไทยสุดฤทธิ์ ตัดตอนเล่นงานพรรคเล็ก เสนอยุบพัฒนาชาติไทย –แผ่นดินไทย พร้อมเล่นงานเอาผิดอาญา พวกมือปืนรับจ้างลงสมัคร ส่วนผู้บริหารไทยรักไทยที่ถูกระบุชื่อ ต้องสืบขยายผลเพิ่มให้เวลาอีก 10 วัน เลขาฯกกต.เปรยปริศนาขู่สาวลึกปชป.มีสิทธิ์ติดคุก ยันผลสอบไม่มีผลให้การเลือกตั้งที่ผู้สมัครทรท.ชนะต้องเสียไป แถมทำไขสือ ไม่รู้จะเอากม.ข้อไหนเล่นงานพรรคใหญ่ที่ให้เงินช่วยพรรคเล็กลงสมัคร ส่วนผลสอบทักษิณ ซื้อเสียงยังไม่คืบ ขณะที่ศาลฎีกาสั่งตัดสิทธิ์ผู้สมัคร 39 เขต รวม 33 ราย ทำให้ไทยรักไทย ต้องแข่งกับตัวเอง 19 เขต ขณะที่คนใต้ประกาศฉีกบัตรเลือกตั้งประท้วงกกต.
เมื่อวานนี้ (21 เม.ย.)พล.ต.ต.เอกชัย วารุณประภา เลขาธิการกกต.แถลงผลการประชุมกกต.ว่า กรณีการร้องเรียนการทุจริตเลือกตั้งที่ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ร้องเรียนว่า มีเจ้าหน้าที่กกต.ปลอมแปลงแก้ไขทะเบียนสมาชิกพรรคการเมืองขนาดเล็ก และมีผู้บริหารระดับสูงของพรรคไทยรักไทยให้เงินสนับสนุนพรรคเล็ก หรือที่เรียกกันว่าพรรคนอมินี เพื่อลงสมัครรับเลือกตั้งส.ส.เมื่อวันที่ 2 เม.ย.แข่งกับพรรคไทยรักไทย
ประเด็นเรื่องเจ้าหน้าที่กกต.ปลอมแปลงแก้ไขข้อมูล กกต.วินิจฉัยจากสำนวนสอบสวนของอนุกรรมการสอบสวนที่มีนายนาม ยิ้มแย้ม อดีตรองประธานศาลฎีกาเป็นประธาน กกต.มีมติให้ดำเนินคดีกับ นายอมรวิชช์ สุวรรณภา เจ้าหน้าที่คอมพิวเตอร์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264 นอกจากนี้ให้มีการตั้งกรรมการสอบวินัยและให้ส่งคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.)ดำเนินการฐานเจ้าหน้าที่รัฐทุจริตต่อหน้าที่ตามมาตรา 84 แห่ง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญป.ป.ช.
**ฆ่าตัดตอนพรรคเล็ก
ส่วนการดำเนินคดีกับพรรคผู้ถูกจ้าง กกต.มีมติให้ดำเนินคดีกับ นายบุญทวีศักดิ์ อมรสินธุ์ หัวหน้าพรรคพัฒนาชาติไทย นายชวการ โตสวัสดิ์ นายสุขสันต์ ชัยเทศ ผอ.พรรค ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137 ,264,267,268 ประกอบมาตรา 83 และ พ.ร.บ.เลือกตั้งส.ส.และส.ว.มาตรา 100 ประกอบมาตรา 83 และ 86 แห่งประมวลกฎหมายอาญา
นอกจากนี้ยังให้ดำเนินคดีกับ นายอำนาจ รอดช่วย ผู้สมัครส.ส.เขต 5 นายดิเรก หนูสาย ผู้สมัครส.ส.เขต 8 และนายวิรัตน์ ตรีโชติ ผู้สมัครส.ส.เขต 9 นครศรีธรรมราช ตามประมวกฎหมายอาญามาตรา 137,267,และพ.ร.บ.เลือกตั้งส.ส.มาตรา 100
ทั้งนี้ กกต.มีมติเสนอให้ยุบพรรคพัฒนาชาติไทย ตาม พ.ร.บ.พรรคการเมือง มาตรา 66 อนุ 2และ 3 และมาตรา 67
สำหรับประเด็นพรรคแผ่นดินไทย ที่มีการจัดหาคนลงสมัครโดยมีพรรคใหญ่สนับสนุนเรื่องเงินลงสมัครรับเลือกตั้ง กกต.มีมติให้ดำเนินคดีกับ นายอุทัย นามวงศ์ และนายสมนึก วงศ์ราด ผู้สมัครส.ส.พรรคแผ่นดินไทย ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 137 และ267 และพ.ร.บ.เลือกตั้งส.ส.มาตรา 100 ส่วนผู้สมัครรายอื่น กกต.มีมติให้ดำเนินคดีอาญาโดยในส่วนผู้สมัครพรรคดังกล่าวในกทม.ให้สำนักกฎหมายไปดำเนินคดี ส่วนผู้สมัครในต่างจังหวัดให้ผอ.กต.จังหวัดไปดำเนินคดี
นอกจากนี้สำหรับนายบุญอิทธิพล ชินราช หัวหน้าพรรคแผ่นดินไทย ให้ดำเนินคดีตามประมลกฎหมายอาญามาตรา 137,267ประกอบมาตรา 86 และพ.ร.บ.เลือกตั้งส.ส.มาตรา 100 ประกอบมาตรา 86 รวมถึงให้ดำเนินคดีอาญากับ นางฐัติมา ภาวะลี และนายพันธมิตร ดวงทิพย์ ที่เป็นผู้อำนวยการการเลือกตั้งของพรรค ที่จัดหาผู้สมัครลงรับเลือกตั้งเมื่อวันที่ 2 เม.ย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137 ,267 ประกอบมาตรา 86 และพ.ร.บ.เลือกตั้งมาตรา 100 ประกอบมาตรา 86 นอกจากนี้ยังให้ดำเนินคดีกับ นายบุญ อิทธิพล ในฐานะออกหนังสืออันเป็นเท็จรับรองผู้สมัครไปสมัครรับเลือกตั้ง เป็นการฝ่าฝืนมาตรา 66 อนุ 2 และ3 แห่งพ.ร.บ.พรรคการเมือง และจะเสนอให้อัยการสูงสุดสั่งยุบพรรคการเมืองตามมาตรา 67 ต่อไป
**สาวไม่ถึงพรรคใหญ่ที่จ้างวาน
ส่วนกรณีของ นายณัฎฐ์ประชา เกื้อสกุล ผู้สมัครส.ส.นครศรีธรรมราช เขต 3 พรรคไทยรักไทย ที่ถูกพรรคประชาธิปัตย์ ร้องว่าขาดคุณสมบัติการเป็นสมาชิกพรรคเนื่องจากไปอุปสมบท และกลับมาสมัครรับเลือกตั้ง กกต.ได้ตรวจสอบกับพรรคไทยรักไทยแล้ว พรรคได้ส่งเอกสารยืนยันการเป็นสมาชิกพรรคกกต.จึงมีมติสั่งให้ยุติเรื่องและให้นายณัฎฐ์ประชาเป็นผู้มีสิทธิสมัครต่อไป
"ส่วนกรณีที่เกี่ยวข้องกับสมาชิกพรรคไทยรักไทยหลายคน กกต.มีมติให้อนุกรรมการไปสอบสวนเพิ่มเติม และสรุปเรื่องส่งให้กกต.ภายใน 10 วัน ซึ่งยืนยันว่าไม่ใช่การยื้อเวลา แต่หลักฐานขณะนี้ยังสาวไม่ถึง โดยนางฐัติมา ภาวะลี ให้การกลับไปกลับมาถึง 4 ครั้ง จึงต้องไปสอบผู้ที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม เช่น การนำเงินเข้าบัญชี รวมถึงคดีที่นางฐัติมา ไปร้องกองปราบ ก็จะประสานขอข้อมูลไปด้วย ทั้งนี้แม้พยานจะให้การโยงถึงพรรคการเมืองแต่ก็มีการกลับไปกลับมา อนุกรรมการก็ไม่ยืนยันทั้งหมดแต่บอกว่าเชื่อบางส่วน และแม้ผลสรุปของคณะอนุกรรมการจะสรุปเป็นข้อเท็จจริงเอาไว้แต่ข้อเท็จจริงดังกล่าวก็ไม่สามารถยืนยันการกระทำความผิดของพรรคใหญ่ได้" พล.ต.ต.เอกชัย กล่าว และว่า ส่วนการเลือกตั้งที่ผ่านมาที่มีผู้สมัครของพรรคการเมืองที่กกต.เสนอให้ยุบนั้น ไม่ถือว่าทำให้การเลือกตั้งที่ผ่านมาเสียไปด้วย เพราะศาลไม่สามารถจะไปพิจารณาย้อนหลังได้ ซึ่งผู้สมัครพรรคไทยรักไทยที่แข่งขันและได้รับเลือกตั้งมา กกต.จะประกาศรับรองไป และจะไม่หยิบเรื่องนี้มาเป็นเหตุพิจารณาสอยส.ส.ไทยรักไทยในภายหลัง
เมื่อถามว่า เหตุใดกกต.เอาผิดผู้รับจ้าง แต่กลับไม่สามารถเอาผิดผู้จ้างวานได้ พล.ต.ต.เอกชัย กล่าวว่า "ส่วนใหญ่จะสอบไปไม่ถึงผู้จ้างวาน เราไม่รู้ว่าใครพูดจริงหรือไม่จริง ตัวละครเรื่องนี้ยังมีอยู่อีกหลายคน เราต้องสอบพยานเพิ่มเติมรวมไปถึงบุคคลในพรรคไทยรักไทยที่ถูกพาดพิงด้วย และต้องดูว่าใครได้ประโยชน์เสียประโยชน์รวมทั้งต้องตรวจสอบให้ชัดเจนว่า เป็นการสร้างพยานหลักฐานขึ้นมาหรือไม่ เขาสร้างเรื่องขึ้นมาหรือไม่ก็ไม่รู้ คุณมั่นใจได้อย่างไร ว่าพยานหลักฐานเป็นของจริง ไม่ได้สร้างขึ้นมา คอยดูเถอะ เรื่องนี้ไปๆมาๆ ระวังคนร้องอาจจะติดคุก"
นอกจากนี้ กกต.ยังพิจารณาว่าการที่พรรคใหญ่ให้เงินกับพรรคเล็กเพื่อไปลงสมัครนั้นไม่รู้จะใช้กฎหมายข้อไหนมาเอาผิด เขาเอาเงินช่วยกันก็เป็นเรื่องของเขา จะไปห้ามได้อย่างไร เมื่อถามว่าการให้เงินไม่เข้าข่ายแจกเงินหรือ เลขาฯ กกต.กล่าวว่าไม่เข้าข่าย เพราะเป็นการช่วยกัน
พล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ ประธาน กกต.กล่าวถึงการวินิจฉัยกรณีการร้องเรียนพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร หัวหน้าพรรคไทยรักไทย ทำผิดกฎหมายเลือกตั้งว่า กกต.มีมติแล้ว โดยกำลังให้เจ้าหน้าที่ตรวจร่างคำวินิจฉัย เนื่องจากเนื้อหามีมาก จะต้องตรวจสอบให้ละเอียด จะออกมาแบบมั่วๆไม่ได้ ซึ่งหลังจากเสร็จแล้วจะแจ้งให้ทราบ
**จี้กกต.ดำเนินคดีทรท.
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ขอเรียกร้องกกต.ว่า เมื่อผลสอบสวนชัดเช่นนี้ ขอให้ยกเลิกผลการเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งที่พรรคไทยรักไทยได้รับเลือกตั้ง เพราะมีพรรคเล็กเป็นตัวประกอบ เพราะกรณีนี้ได้ทำทุจริตชัดเจน ถ้าไม่ทำทุจริตพรรคไทยรักไทยในเขตเลือกตั้งก็ไม่มีทางได้เป็นส.ส.เพราะคะแนนที่ได้รับการเลือกมาไม่ถึงร้อยละ 20 ดังนั้นต้องยกเลิก ไม่เช่นนั้นถือว่ารู้เห็นเป็นใจ และกกต.ต้องดำเนินการเอาผิดกับพรรคไทยรักไทยด้วย
เลขิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ขอให้ประชาชนจับตาดูพฤติกรรมของกกต.และเลขาธิการกกต.ที่ไม่น่าไว้วางใจ ซึ่งขณะนี้ นายวิโรจน์ นิติธรรม และคณะรวม 9 คน ซึ่งเป็นผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งใน เขต 3, 4 และ 6 จ.สุราษฏร์ธานี ได้ยื่นฟ้องคดีอาญากับกกต.ทั้ง 4 คน และเลขาธิการกกต.ฐานปฏิบัติ และละเลยการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ผิดมาตรา 157 ของประมวลกฎหมายอาญา และ มาตรา 19 มาตรา 24 และมาตรา 42 ของกฎหมายเลือกตั้ง คือปล่อยให้ผู้สมัครที่ลงในเขตหนึ่ง และกกต.ยังไม่รับรองผลเลือกตั้งไปลงเลือกตั้งอีกเขตหนึ่ง ซึ่งเรื่องนี้ กกต.ทราบดีแต่ไม่พิจารณาสอบสวน ปล่อยให้ปัญหาคาราคาซังจนศาลฏีกาได้ตัดสินว่า การกระทำดังกล่าวเป็นโมฆะ
"ขณะนี้กกต.ผู้ยิ่งใหญ่ที่เหลิงอำนาจ ลืมตัว กำลังถูกประชาชนตรวจสอบ ถึงเวลาจับกกต.อาบน้ำ ประชาชนกำลังชำระล้างสิ่งปฏิกูลการเมือง และผมก็กำลังดำเนินการตรวจสอบอยู่ว่ามีเรื่องบ้างที่กกต.ทำผิดกฎหมายอาญา ซึ่งฝ่ายกฎหมายกำลังรอดูว่าจะดำเนินคดีอาญาได้หรือไม่"นายสุเทพ กล่าว
**ศาลฎีกาตัดสิทธิ์ผู้สมัคร 33 คน
ในวันเดียวกันนี้ นายสมจิตร์ ทองศรี ผู้ช่วยผู้พิพากษา ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการเตรียมการเกี่ยวกับคดีเลือกตั้งส.ส.กล่าวว่า ศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาเกี่ยวกับการสมัครรับเลือกตั้งใน 39เขต เลือกตั้งที่กกต.สั่งให้มีการเปิดรับสมัครใหม่เพิ่มอีก 23 เรื่อง โดยในจำนวนนี้ 11 เรื่อง ศาลได้มีคำพิพากษายืน ตามความเห็นของผอ.กต.เขต ที่ไม่ประกาศให้ผู้ที่ยื่นสมัครเป็นผู้มีสิทธิเลือกตั้งคือ 1. น.ส.ยุพาภรณ์ มากกิตติ จากพรรคประชากรไทย เขต 3 นนทบุรี เนื่องจาก ยังมีชื่อเป็นผู้สมัคร ส.ส.ในระบบบัญชีรายชื่อ 2.นายเสริมศักดิ์ สัตตบงกช จากพรรคประชากรไทย เขต 8 นครศรีธรรมราช เนื่องจากยังมีชื่อเป็นผู้สมัครส.ส.ในระบบบัญชีรายชื่อ 3. นายสมยศ สมเขียวหวาน จากพรรคพัฒนาชาติไทย เขต 6 นครศรีธรรมราช เนื่องจากย้ายมาจากเขตเลือกตั้งที่ 7 มาลงเขตเลือกตั้งที่ 6 นครศรีธรรมราช 4. สิบตำรวจเอกพันยา บริรักษ์ จากพรรคพัฒนาชาติไทย เขต 1 ภูเก็ต เนื่องจากสังกัดพรรคการเมืองไม่ครบ 90 วัน 5. นายอำนาจ รอดช่วย จากพรรคพัฒนาชาติไทย เขต 8 นครศรีธรรมราช เนื่องจากสังกัดพรรคไม่ครบ 90 วัน
6. นายพงศ์พิชาญ โรจนสุวรรณ จากพรรคพลังประชาชน เขต 3 นนทบุรี เนื่องจากยังมีชื่อเป็นผู้สมัครส.ส.ในระบบบัญชีรายชื่อ 7. น.ส.กนกพร สวัสดิ์ฤทธิรณ จากพรรคพลังประชาชน เขต 2 สงขลา เนื่องจากยังมีชื่อเป็นผู้สมัครส.ส.ในระบบบัญชีรายชื่อ 8. นายกฤษณะ ทองแก้ว จากพรรคคนขอปลดหนี้ เขต 8 นครศรีธรรมราช เนื่องจากไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง 9. นายสวาท เดชเจริญ จากพรรคชีวิตที่ดีกว่า เขต 3 พัทลุง เนื่องจากสังกัดพรรคการเมืองไม่ครบ 90 วัน 10. นายสุริยน หมีเหม จากพรรคชีวิตที่ดีกว่า เขต 1 พังงา เนื่องจากสังกัดพรรคไม่ครบ 90 วัน 11. นายยาฮารี จินารงค์ จากพรรคไทยช่วยไทย เขต 1 ปัตตานี เนื่องจากย้ายมาจากเขต 3 มาลงเขต 1 ปัตตานี
และ 2 เรื่อง คือ 1. นายโยธิน พรัดเมือง จากพรรคคนขอปลดหนี้ เขต 2 ตรัง ศาลสั่งให้ผอ.กต.เขต. รับเป็นผู้สมัคร เนื่องจากหลักฐานรับฟังได้ว่า นายโยธินเคยรับราชการในจ.ตรัง มาตั้งแต่ 2 ส.ค. 28- 31 ธ.ค. 30 จึงถือว่ามีคุณสมบัติครบถ้วนในการเป็นผู้สมัคร 2. นายวิรัช ยิ้มเที่ยง จากพรรคประชากรไทย เขต 4 ตรัง เนื่องจากหลักฐานรับฟังได้ว่าเป็นสมาชิกพรรคประชากรไทยตั้งแต่ 21 มิ.ย. 31 จนถึงวันสมัครจึงเป็นสมาชิกพรรคเกิน 90 วัน
ส่วนอีก 10 เรื่อง ศาลฎีกามีคำพิพากษาถอนชื่อการเป็นผู้สมัครตามที่ ผอ.กต.เขต ยื่นคำร้อง ประกอบด้วย 1.น.ส.วีรยา เจ๊ะโซะ จากพรรคคนขอปลดหนี้ เขต 2 ปัตตานี เนื่องจากสังกัดพรรคไม่ครบ 90 วัน 2.นายภักดี นาบุญ จาก พรรคประชากรไทย เขต 1 จ.นครศรีธรรมราช 3.นายกนก พิชิตมาลย์ จากพรรคประชากรไทย เขต 2 จ.นครศรีธรรมราช 4.นายจงรักษ์ พันธรังษี จากพรรคประชากรไทย เขต 3 จ.นครศรีธรรมราช 5.นายสุพร จันทร์แก้ว จากพรรคคนขอปลดหนี้ เขต 3 จ.สุราษฎร์ธานี
6.นายวรพจน์ วิชัยดิษฐ จากพรรคประชากรไทย เขต 4 จ.สุราษฎร์ธานี 7.น.ส.สุมิตรา แก้วอินทร์ จากพรรคคนขอปลดหนี้ เขต 6 จ.สุราษฎร์ธานี 8.นายประยูร บุญจันทร์ จากพรรคพัฒนาชาติไทย เขต 2 จ.ภูเก็ต 9.นายเขมาวุฒิ สุวรรณ จากพรรคพัฒนาชาติไทย เขต 2 จ.พัทลุง 10.นายวิญาสิทธิ สุนทรนนทรี จากพรรคประชากไทย เขต 1 จ.ตรัง โดยทั้งหมดสาเหตุจากย้ายข้ามเขตมาลงสมัคร
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ศาลฎีกาได้มีคำสั่งตัดสิทธิ์ผู้สมัครไปแล้ว 12 ราย และสั่งให้ ผอ.กต.เขต.รับสมัคร 2 ราย เมื่อรวมกับกรณีการตัดสิทธิ์เมื่อวานนี้ เท่าศาลฎีกาได้คำสั่งตัดสิทธิ์ผู้สมัครรวมทั้งสิ้น33 คน และมีคำสั่งคืนสิทธิ์โดยให้ ผอ.กต.เขต รับสมัคร รวม 4 ราย รวมเหลือผู้สมัครใน 39 เขต 64 คน
**ทรท.ลุ้น 20% อีก 19 เขต
ส่วน 7 เขตของ จ.สงขลา ซึ่งมีการเปิดรับสมัครเพิ่มเติมนั้น นายไพฑูรย์ เจ๊ะแฮ ผอ.กกต.จังหวัดสงขลา เปิดเผยว่า เนื่องจากระยะเวลาในการตรวจสอบคุณสมบัติผู้สมัครที่รับเพิ่มเติมมีน้อย โดยเบื้องต้นพบข้อมูลการขาดคุณสมบัติ จึงไม่ประกาศให้เป็นผู้มีสิทธิลงสมัครรับเลือกตั้ง คือ 1 นายจวง จิตราวงศ์ จากพรรคชีวิตที่ดีกว่า เขต 2 2.นายประสิทธิ์ มุสิกเกษม จากพรรคชีวิตที่ดีกว่า เขต 7 เนื่องสังกัดพรรคการเมืองไม่ครบ 90 วัน และ น.ส.เกษณี เพชรพงษ์ จากพรรคคนขอปลดหนี้ เขต 8 เนื่องจากเลข 13 หลักในประชาชนไม่ตรงกับชื่อที่ใช้ลงสมัคร และนายขดดะรี บินเซ็น จากพรรคไทยช่วยไทย เขต 8 เนื่องจากมีก่อนหน้านี้ศาลฎีกาเคยมีคำพิพากษาว่าไม่เชื่อว่านายขดดะรี จะเป็นสมาชิกพรรคไทยช่วยไทย ทั้งนี้ การเปิดรับสมัครเพิ่มเติมครั้งนี้เป็นเรื่องผิดปกติ เวลาไม่เพียงพอในการตรวจสอบ และยังมีข้อสงสัยเกี่ยวกับคุณสมบัติผู้สมัครที่เหลืออยู่ จึงอยากให้ผู้ที่ใกล้ชิดมีข้อมูลทั้งเรื่องวุฒิการศึกษา การสังกัดพรรคการเมือง ประวัติการต้องคดี ขอให้นำข้อมูลมาให้กับกกต.จังหวัด เพื่อจะได้นำไปใช้ในการดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
ทั้งนี้ผู้ ผอ.กกต.จังหวัดสงขลา ไม่ประกาศชื่อให้เป็นผู้มีสิทธิลงสมัครแม้จะยื่นเรื่องร้องไปยังศาลฎีกา แต่ตามกฎหมายแล้วกำหนดให้ศาลฎีกาพิจารณากรณีคำร้องที่ผู้ที่ ผอ.กต.เขต.ไม่ประกาศให้เป็นผู้สมัครให้แล้วเสร็จและมีคำพิพากษาก่อนการวันเลือกตั้ง 1 วัน ซึ่งถือว่าวันที่ 21 เม.ย. เป็นวันสุดท้ายในการทำงานของศาลฎีกาเกี่ยวกับกรณีดังกล่าวแล้ว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากผลของคำพิพากษา และการที่ ผอ.กกต.จ.สงขลา ไม่ประกาศรายชื่อผู้ที่ยื่นสมัครให้เป็นผู้สมัครรับเลือกตั้ง ทำให้ในการเลือกตั้งใน 40 เขตเลือกตั้ง วันที่ 23 เม.ย.นี้ มีเขตเลือกตั้งที่มีผู้สมัครพรรคไทยรักไทยเพียงคนเดียว และต้องได้คะแนนมาไม่น้อยกว่าร้อยละ 20 ของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง รวมทั้งสิ้น 19 เขตเลือกตั้ง คือ จ.ชุมพร เขต 1,3 จ.ตรัง เขต 1 จ.นครศรีธรรมราช เขต 1,2,8 จ.นราธิวาส เขต 4 จ.ปัตตานี เขต 1,2 จ.พังงา เขต 1 จ.พัทลุง เขต 2 จ.ภูเก็ต เขต 2 จ.สงขลา เขต2,8 จ.สตูล เขต 1 จ.สุราษฎร์ธานี เขต 3,4,6 และ จ.สุมทรสาคร เขต 3
**ศาลสงขลาไม่รับไต่สวนฉุกเฉิน
ในวันเดียวกันนี้ กลุ่มประชาชนคนรักสงขลา ประมาณ 100 คน นำโดยนายชาลี นพวงษ์ ณ อยุธยา เดินทางมายื่นหนังสือให้ นายไพฑูรย์ เจ๊ะแฮ ผอ.กกต.จ.สงขลา ณ บริเวณด้านหน้าศาลากลางจังหวัดสงขลา เพื่อขอให้พิจารณาคุณสมบัติของผู้สมัคร ส.ส.เพิ่มเติมใน 7 เขตเลือกตั้ง ของจ.สงขลาอย่างละเอียด
ทั้งนี้ ก่อนที่ ผอ.กกต.สงขลา จะมายื่นหนังสือ นายชาลี ได้แถลงข่าวต่อสื่อมวลชน โดยระบุว่าการมาประชุมพิจารณาคุณสมบัติของผู้สมัคร ส.ส.อย่างละเอียด ที่ศาลากลางจังหวัดสงขลา แสดงให้เห็นว่าฝ่ายปกครองกำลังล้วงลูก กกต.ซึ่งที่จริงแล้ว กกต.จะต้องประชุมกันที่สำนักงาน ไม่ใช่ศาลากลาง ซึ่งนายชาลีได้กล่าวกับนายไพฑูรย์ว่า หากทางกลุ่มประชาชนคนรักสงขลา ตรวจสอบภายหลังพบว่ามีข้อบกพร่องก็จะดำเนินการฟ้องร้อง กกต.สงขลาทันที และนายไพฑูรย์ตอบรับว่า พร้อมจะเป็นทั้งโจทย์และจำเลย โดยยืนยันว่า กกต.จะปฎิบัติหน้าที่ให้ดีที่สุด
ด้านผอ.กกต.จ.สงขลา กล่าวปฎิเสธในเรื่องดังกล่าว โดยระบุว่าการประชุมตรวจสอบคุณสมบัติของผู้สมัคร ส.ส.เพิ่มเติมที่ศาลากลางนั้น ได้กระทำเป็นปกติ ซึ่งในวันนี้ได้มีคณะกรรมการจากหลายฝ่ายเข้าร่วมในการพิจารณาตรวจสอบ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายอัยการ ตำรวจ กรมบังคับคดี การศึกษาระดับอุดมศึกษาและพื้นฐาน เพื่อให้การพิสูจน์ข้อมูลเป็นไปครบในทุกด้าน พร้อมกับยอมรับว่า เวลาในการทำงานครั้งนี้มีข้อจำกัดในเรื่องระยะเวลา
แต่อย่างไรก็ตาม ประชาชนสามารถนำหลักฐานซึ่งเป็นเอกสารมายื่นให้ กกต.สงขลาเพิ่มเติมได้ หากพบว่าผู้สมัครรายใดมีคุณสมบัติไม่ครบตามกฎหมายที่ระบุ ซึ่งจะสามารถประกาศผลการรับรองคุณสมบัติผู้สมัครทั้งหมดภายในวันนี้อย่างแน่นอน
หลังจากนั้น พรรคประชาธิปัตย์นำโดย นายถาวร เสนเนียม และกลุ่มประชาชนคนรักสงขลาได้ไปยื่นคำร้องต่อศาลปกครองให้ไต่สวนฉุกเฉิน กรณี กกต.กลาง มีมติให้เปิดรับสมัครเพิ่มเติม ส.ส.ใน 7 เขตเลือกตั้งของจ.สงขลา เมื่อวันที่ 19-20 เม.ย.ที่ผ่านมา เนื่องจากเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น ปรากฎว่า วันนี้ศาลปกครองได้พิจารณาไม่รับคำร้องของทั้ง 2 ฝ่าย โดยให้เหตุผลว่า การกำหนดวันรับสมัครเพิ่มเติมของ กกต.กลาง เป็นการใช้อำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย มาตรา 144 ของรัฐธรรมนูญ และศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยว่าการใช้อำนาจหน้าที่ของ กกต.เป็นที่สิ้นสุดและห้ามฟ้องคดีต่อศาล ดังนั้นจึงไม่สามารถรับคำฟ้องไว้พิจารณาได้
**คนใต้ประกาศฉีกบัตรเลือกตั้ง
นายสัมศักดิ์ โกศัยสุข แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เปิดเผยถึงการประกาศเชิญชวนประชาชนฉีกบัตรเลือกตั้งส.ส.ที่จะมีขึ้นวันที่ 23 เม.ย.นี้ ของพันธมิตรฯสงขลา ภายหลังศาลปกครองไม่รับฟ้องร้องคดี และให้มีการไต่สวนฉุกเฉินว่า เรื่องนี้เป็นอีกมิติหนึ่งของระบอบประชาธิปไตยที่พี่น้องประชาชนสามารถทำได้เมื่อตัวเองต้องไปใช้สิทธิ์เพราะเป็นหน้าที่แต่ไม่มีทางออกที่ดีกว่านี้ในการลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง
การเลือกตั้งภายใต้ระบอบทักษิณ ที่กำลังดำเนินอยู่ในเวลานี้ได้สะสมความไม่ถูกต้องความไม่ชอบธรรมไว้มากมาย โดยเฉพาะบทบาทของ กกต.ที่วางตัวไม่เป็นกลาง จึงเกิดการไม่ยอมรับและเกิดการคัดค้านต่อต้าน เมื่อประชาชนไม้มีความเชื่อถือ กกต.ก็เกิดการพัฒนาวิธีต่อต้านทุกรูปแบบออกมา และก็จะมีการพัฒนาไปเรื่อยๆ สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่า กกต.ไม่ควรที่จะอยู่อีกต่อไป โดยไม่ต้องพูดถึงว่าทำถูกต้องหรือไม่ แต่ กกต.ทุกคนควรต้องพิจารณาตัวเองไปนานแล้ว
"ที่ผ่านมา กกต.ชุดนี้ได้กระทำความผิดสะสมไปซ้ำซาก และได้แสดงให้เห็นชัดแจ้งว่าอำนาจรัฐบาลได้เข้าไปแทรกแซง โยงใย ควบคุม ประชาชนจึงต้องลุกขึ้นมาต่อต้านระบอบทักษิณ และพฤติกรรมต่อต้านนี้จะขยายตัวไปเรื่อยๆ ซึ่งจะลุกลามใหญ่โตจนนำไปสู่วิกฤตที่หนักหนาสาหัสมากขึ้นๆ ในอนาคต" นายสมศักดิ์ กล่าว
นายสรนันท์ เสน่ห์ หนึ่งในเครือข่ายพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จ.ภูเก็ต กล่าวว่า เรื่องของการเลือกตั้งที่ส.ส.ที่จะมีขึ้นในวันที่ 23 เม.ย 49 และกระแสเรียกร้องให้มีการฉีกบัตรเลือกตั้ง นั้นเห็นด้วย เพราะการทำงานของ กกต.นั้นมีความเอนเอียง จริงๆ แล้วไม่อยากที่จะพูดถึงเรื่องของ กกต.เลย เพราะรับไม่ได้กับการกระทำของ กกต. ที่ไม่มีความชอบธรรม ซึ่งการฉีกบัตรนั้นคิดว่าถ้าใครอยากทำก็ทำไปเลย อย่างไรก็ตามในส่วนของจังหวัดภูเก็ตนั้นคิดว่ากระแสการฉีกบัตรเลือกตั้งไม่น่าจะรุนแรงเหมือนกับที่จังหวัดสงขลา แต่คิดว่าน่าจะมีเกิดขึ้นบางส่วนในพื้นที่ตัวเมือง และ เขต 2
ขณะที่นายอุทัย สุขสิริสัมพันธ์ หนึ่งในแกนนำกล่าวถึงเรื่องของการฉีกบัตรเลือกตั้งว่า จะต้องอ่านคำพิพากษาให้ดีก่อน เพราะบัตรเลือกตั้งถือว่าเป็นทรัพย์สินของแผ่นดิน เป็นทรัพย์สินของทางราชการเมื่อมีการทำลายจะต้องมีความผิด แต่อย่างก็ตามตนเชื่อว่า ภูเก็ตกระแสโนโหวตยังแรงอยู่ และเชื่อว่าคะแนนโนโหวตจะมีมากกว่าคะแนนของผู้สมัครแน่นอน
เมื่อวานนี้ (21 เม.ย.)พล.ต.ต.เอกชัย วารุณประภา เลขาธิการกกต.แถลงผลการประชุมกกต.ว่า กรณีการร้องเรียนการทุจริตเลือกตั้งที่ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ร้องเรียนว่า มีเจ้าหน้าที่กกต.ปลอมแปลงแก้ไขทะเบียนสมาชิกพรรคการเมืองขนาดเล็ก และมีผู้บริหารระดับสูงของพรรคไทยรักไทยให้เงินสนับสนุนพรรคเล็ก หรือที่เรียกกันว่าพรรคนอมินี เพื่อลงสมัครรับเลือกตั้งส.ส.เมื่อวันที่ 2 เม.ย.แข่งกับพรรคไทยรักไทย
ประเด็นเรื่องเจ้าหน้าที่กกต.ปลอมแปลงแก้ไขข้อมูล กกต.วินิจฉัยจากสำนวนสอบสวนของอนุกรรมการสอบสวนที่มีนายนาม ยิ้มแย้ม อดีตรองประธานศาลฎีกาเป็นประธาน กกต.มีมติให้ดำเนินคดีกับ นายอมรวิชช์ สุวรรณภา เจ้าหน้าที่คอมพิวเตอร์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264 นอกจากนี้ให้มีการตั้งกรรมการสอบวินัยและให้ส่งคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.)ดำเนินการฐานเจ้าหน้าที่รัฐทุจริตต่อหน้าที่ตามมาตรา 84 แห่ง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญป.ป.ช.
**ฆ่าตัดตอนพรรคเล็ก
ส่วนการดำเนินคดีกับพรรคผู้ถูกจ้าง กกต.มีมติให้ดำเนินคดีกับ นายบุญทวีศักดิ์ อมรสินธุ์ หัวหน้าพรรคพัฒนาชาติไทย นายชวการ โตสวัสดิ์ นายสุขสันต์ ชัยเทศ ผอ.พรรค ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137 ,264,267,268 ประกอบมาตรา 83 และ พ.ร.บ.เลือกตั้งส.ส.และส.ว.มาตรา 100 ประกอบมาตรา 83 และ 86 แห่งประมวลกฎหมายอาญา
นอกจากนี้ยังให้ดำเนินคดีกับ นายอำนาจ รอดช่วย ผู้สมัครส.ส.เขต 5 นายดิเรก หนูสาย ผู้สมัครส.ส.เขต 8 และนายวิรัตน์ ตรีโชติ ผู้สมัครส.ส.เขต 9 นครศรีธรรมราช ตามประมวกฎหมายอาญามาตรา 137,267,และพ.ร.บ.เลือกตั้งส.ส.มาตรา 100
ทั้งนี้ กกต.มีมติเสนอให้ยุบพรรคพัฒนาชาติไทย ตาม พ.ร.บ.พรรคการเมือง มาตรา 66 อนุ 2และ 3 และมาตรา 67
สำหรับประเด็นพรรคแผ่นดินไทย ที่มีการจัดหาคนลงสมัครโดยมีพรรคใหญ่สนับสนุนเรื่องเงินลงสมัครรับเลือกตั้ง กกต.มีมติให้ดำเนินคดีกับ นายอุทัย นามวงศ์ และนายสมนึก วงศ์ราด ผู้สมัครส.ส.พรรคแผ่นดินไทย ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 137 และ267 และพ.ร.บ.เลือกตั้งส.ส.มาตรา 100 ส่วนผู้สมัครรายอื่น กกต.มีมติให้ดำเนินคดีอาญาโดยในส่วนผู้สมัครพรรคดังกล่าวในกทม.ให้สำนักกฎหมายไปดำเนินคดี ส่วนผู้สมัครในต่างจังหวัดให้ผอ.กต.จังหวัดไปดำเนินคดี
นอกจากนี้สำหรับนายบุญอิทธิพล ชินราช หัวหน้าพรรคแผ่นดินไทย ให้ดำเนินคดีตามประมลกฎหมายอาญามาตรา 137,267ประกอบมาตรา 86 และพ.ร.บ.เลือกตั้งส.ส.มาตรา 100 ประกอบมาตรา 86 รวมถึงให้ดำเนินคดีอาญากับ นางฐัติมา ภาวะลี และนายพันธมิตร ดวงทิพย์ ที่เป็นผู้อำนวยการการเลือกตั้งของพรรค ที่จัดหาผู้สมัครลงรับเลือกตั้งเมื่อวันที่ 2 เม.ย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137 ,267 ประกอบมาตรา 86 และพ.ร.บ.เลือกตั้งมาตรา 100 ประกอบมาตรา 86 นอกจากนี้ยังให้ดำเนินคดีกับ นายบุญ อิทธิพล ในฐานะออกหนังสืออันเป็นเท็จรับรองผู้สมัครไปสมัครรับเลือกตั้ง เป็นการฝ่าฝืนมาตรา 66 อนุ 2 และ3 แห่งพ.ร.บ.พรรคการเมือง และจะเสนอให้อัยการสูงสุดสั่งยุบพรรคการเมืองตามมาตรา 67 ต่อไป
**สาวไม่ถึงพรรคใหญ่ที่จ้างวาน
ส่วนกรณีของ นายณัฎฐ์ประชา เกื้อสกุล ผู้สมัครส.ส.นครศรีธรรมราช เขต 3 พรรคไทยรักไทย ที่ถูกพรรคประชาธิปัตย์ ร้องว่าขาดคุณสมบัติการเป็นสมาชิกพรรคเนื่องจากไปอุปสมบท และกลับมาสมัครรับเลือกตั้ง กกต.ได้ตรวจสอบกับพรรคไทยรักไทยแล้ว พรรคได้ส่งเอกสารยืนยันการเป็นสมาชิกพรรคกกต.จึงมีมติสั่งให้ยุติเรื่องและให้นายณัฎฐ์ประชาเป็นผู้มีสิทธิสมัครต่อไป
"ส่วนกรณีที่เกี่ยวข้องกับสมาชิกพรรคไทยรักไทยหลายคน กกต.มีมติให้อนุกรรมการไปสอบสวนเพิ่มเติม และสรุปเรื่องส่งให้กกต.ภายใน 10 วัน ซึ่งยืนยันว่าไม่ใช่การยื้อเวลา แต่หลักฐานขณะนี้ยังสาวไม่ถึง โดยนางฐัติมา ภาวะลี ให้การกลับไปกลับมาถึง 4 ครั้ง จึงต้องไปสอบผู้ที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม เช่น การนำเงินเข้าบัญชี รวมถึงคดีที่นางฐัติมา ไปร้องกองปราบ ก็จะประสานขอข้อมูลไปด้วย ทั้งนี้แม้พยานจะให้การโยงถึงพรรคการเมืองแต่ก็มีการกลับไปกลับมา อนุกรรมการก็ไม่ยืนยันทั้งหมดแต่บอกว่าเชื่อบางส่วน และแม้ผลสรุปของคณะอนุกรรมการจะสรุปเป็นข้อเท็จจริงเอาไว้แต่ข้อเท็จจริงดังกล่าวก็ไม่สามารถยืนยันการกระทำความผิดของพรรคใหญ่ได้" พล.ต.ต.เอกชัย กล่าว และว่า ส่วนการเลือกตั้งที่ผ่านมาที่มีผู้สมัครของพรรคการเมืองที่กกต.เสนอให้ยุบนั้น ไม่ถือว่าทำให้การเลือกตั้งที่ผ่านมาเสียไปด้วย เพราะศาลไม่สามารถจะไปพิจารณาย้อนหลังได้ ซึ่งผู้สมัครพรรคไทยรักไทยที่แข่งขันและได้รับเลือกตั้งมา กกต.จะประกาศรับรองไป และจะไม่หยิบเรื่องนี้มาเป็นเหตุพิจารณาสอยส.ส.ไทยรักไทยในภายหลัง
เมื่อถามว่า เหตุใดกกต.เอาผิดผู้รับจ้าง แต่กลับไม่สามารถเอาผิดผู้จ้างวานได้ พล.ต.ต.เอกชัย กล่าวว่า "ส่วนใหญ่จะสอบไปไม่ถึงผู้จ้างวาน เราไม่รู้ว่าใครพูดจริงหรือไม่จริง ตัวละครเรื่องนี้ยังมีอยู่อีกหลายคน เราต้องสอบพยานเพิ่มเติมรวมไปถึงบุคคลในพรรคไทยรักไทยที่ถูกพาดพิงด้วย และต้องดูว่าใครได้ประโยชน์เสียประโยชน์รวมทั้งต้องตรวจสอบให้ชัดเจนว่า เป็นการสร้างพยานหลักฐานขึ้นมาหรือไม่ เขาสร้างเรื่องขึ้นมาหรือไม่ก็ไม่รู้ คุณมั่นใจได้อย่างไร ว่าพยานหลักฐานเป็นของจริง ไม่ได้สร้างขึ้นมา คอยดูเถอะ เรื่องนี้ไปๆมาๆ ระวังคนร้องอาจจะติดคุก"
นอกจากนี้ กกต.ยังพิจารณาว่าการที่พรรคใหญ่ให้เงินกับพรรคเล็กเพื่อไปลงสมัครนั้นไม่รู้จะใช้กฎหมายข้อไหนมาเอาผิด เขาเอาเงินช่วยกันก็เป็นเรื่องของเขา จะไปห้ามได้อย่างไร เมื่อถามว่าการให้เงินไม่เข้าข่ายแจกเงินหรือ เลขาฯ กกต.กล่าวว่าไม่เข้าข่าย เพราะเป็นการช่วยกัน
พล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ ประธาน กกต.กล่าวถึงการวินิจฉัยกรณีการร้องเรียนพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร หัวหน้าพรรคไทยรักไทย ทำผิดกฎหมายเลือกตั้งว่า กกต.มีมติแล้ว โดยกำลังให้เจ้าหน้าที่ตรวจร่างคำวินิจฉัย เนื่องจากเนื้อหามีมาก จะต้องตรวจสอบให้ละเอียด จะออกมาแบบมั่วๆไม่ได้ ซึ่งหลังจากเสร็จแล้วจะแจ้งให้ทราบ
**จี้กกต.ดำเนินคดีทรท.
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ขอเรียกร้องกกต.ว่า เมื่อผลสอบสวนชัดเช่นนี้ ขอให้ยกเลิกผลการเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งที่พรรคไทยรักไทยได้รับเลือกตั้ง เพราะมีพรรคเล็กเป็นตัวประกอบ เพราะกรณีนี้ได้ทำทุจริตชัดเจน ถ้าไม่ทำทุจริตพรรคไทยรักไทยในเขตเลือกตั้งก็ไม่มีทางได้เป็นส.ส.เพราะคะแนนที่ได้รับการเลือกมาไม่ถึงร้อยละ 20 ดังนั้นต้องยกเลิก ไม่เช่นนั้นถือว่ารู้เห็นเป็นใจ และกกต.ต้องดำเนินการเอาผิดกับพรรคไทยรักไทยด้วย
เลขิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ขอให้ประชาชนจับตาดูพฤติกรรมของกกต.และเลขาธิการกกต.ที่ไม่น่าไว้วางใจ ซึ่งขณะนี้ นายวิโรจน์ นิติธรรม และคณะรวม 9 คน ซึ่งเป็นผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งใน เขต 3, 4 และ 6 จ.สุราษฏร์ธานี ได้ยื่นฟ้องคดีอาญากับกกต.ทั้ง 4 คน และเลขาธิการกกต.ฐานปฏิบัติ และละเลยการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ผิดมาตรา 157 ของประมวลกฎหมายอาญา และ มาตรา 19 มาตรา 24 และมาตรา 42 ของกฎหมายเลือกตั้ง คือปล่อยให้ผู้สมัครที่ลงในเขตหนึ่ง และกกต.ยังไม่รับรองผลเลือกตั้งไปลงเลือกตั้งอีกเขตหนึ่ง ซึ่งเรื่องนี้ กกต.ทราบดีแต่ไม่พิจารณาสอบสวน ปล่อยให้ปัญหาคาราคาซังจนศาลฏีกาได้ตัดสินว่า การกระทำดังกล่าวเป็นโมฆะ
"ขณะนี้กกต.ผู้ยิ่งใหญ่ที่เหลิงอำนาจ ลืมตัว กำลังถูกประชาชนตรวจสอบ ถึงเวลาจับกกต.อาบน้ำ ประชาชนกำลังชำระล้างสิ่งปฏิกูลการเมือง และผมก็กำลังดำเนินการตรวจสอบอยู่ว่ามีเรื่องบ้างที่กกต.ทำผิดกฎหมายอาญา ซึ่งฝ่ายกฎหมายกำลังรอดูว่าจะดำเนินคดีอาญาได้หรือไม่"นายสุเทพ กล่าว
**ศาลฎีกาตัดสิทธิ์ผู้สมัคร 33 คน
ในวันเดียวกันนี้ นายสมจิตร์ ทองศรี ผู้ช่วยผู้พิพากษา ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการเตรียมการเกี่ยวกับคดีเลือกตั้งส.ส.กล่าวว่า ศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาเกี่ยวกับการสมัครรับเลือกตั้งใน 39เขต เลือกตั้งที่กกต.สั่งให้มีการเปิดรับสมัครใหม่เพิ่มอีก 23 เรื่อง โดยในจำนวนนี้ 11 เรื่อง ศาลได้มีคำพิพากษายืน ตามความเห็นของผอ.กต.เขต ที่ไม่ประกาศให้ผู้ที่ยื่นสมัครเป็นผู้มีสิทธิเลือกตั้งคือ 1. น.ส.ยุพาภรณ์ มากกิตติ จากพรรคประชากรไทย เขต 3 นนทบุรี เนื่องจาก ยังมีชื่อเป็นผู้สมัคร ส.ส.ในระบบบัญชีรายชื่อ 2.นายเสริมศักดิ์ สัตตบงกช จากพรรคประชากรไทย เขต 8 นครศรีธรรมราช เนื่องจากยังมีชื่อเป็นผู้สมัครส.ส.ในระบบบัญชีรายชื่อ 3. นายสมยศ สมเขียวหวาน จากพรรคพัฒนาชาติไทย เขต 6 นครศรีธรรมราช เนื่องจากย้ายมาจากเขตเลือกตั้งที่ 7 มาลงเขตเลือกตั้งที่ 6 นครศรีธรรมราช 4. สิบตำรวจเอกพันยา บริรักษ์ จากพรรคพัฒนาชาติไทย เขต 1 ภูเก็ต เนื่องจากสังกัดพรรคการเมืองไม่ครบ 90 วัน 5. นายอำนาจ รอดช่วย จากพรรคพัฒนาชาติไทย เขต 8 นครศรีธรรมราช เนื่องจากสังกัดพรรคไม่ครบ 90 วัน
6. นายพงศ์พิชาญ โรจนสุวรรณ จากพรรคพลังประชาชน เขต 3 นนทบุรี เนื่องจากยังมีชื่อเป็นผู้สมัครส.ส.ในระบบบัญชีรายชื่อ 7. น.ส.กนกพร สวัสดิ์ฤทธิรณ จากพรรคพลังประชาชน เขต 2 สงขลา เนื่องจากยังมีชื่อเป็นผู้สมัครส.ส.ในระบบบัญชีรายชื่อ 8. นายกฤษณะ ทองแก้ว จากพรรคคนขอปลดหนี้ เขต 8 นครศรีธรรมราช เนื่องจากไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง 9. นายสวาท เดชเจริญ จากพรรคชีวิตที่ดีกว่า เขต 3 พัทลุง เนื่องจากสังกัดพรรคการเมืองไม่ครบ 90 วัน 10. นายสุริยน หมีเหม จากพรรคชีวิตที่ดีกว่า เขต 1 พังงา เนื่องจากสังกัดพรรคไม่ครบ 90 วัน 11. นายยาฮารี จินารงค์ จากพรรคไทยช่วยไทย เขต 1 ปัตตานี เนื่องจากย้ายมาจากเขต 3 มาลงเขต 1 ปัตตานี
และ 2 เรื่อง คือ 1. นายโยธิน พรัดเมือง จากพรรคคนขอปลดหนี้ เขต 2 ตรัง ศาลสั่งให้ผอ.กต.เขต. รับเป็นผู้สมัคร เนื่องจากหลักฐานรับฟังได้ว่า นายโยธินเคยรับราชการในจ.ตรัง มาตั้งแต่ 2 ส.ค. 28- 31 ธ.ค. 30 จึงถือว่ามีคุณสมบัติครบถ้วนในการเป็นผู้สมัคร 2. นายวิรัช ยิ้มเที่ยง จากพรรคประชากรไทย เขต 4 ตรัง เนื่องจากหลักฐานรับฟังได้ว่าเป็นสมาชิกพรรคประชากรไทยตั้งแต่ 21 มิ.ย. 31 จนถึงวันสมัครจึงเป็นสมาชิกพรรคเกิน 90 วัน
ส่วนอีก 10 เรื่อง ศาลฎีกามีคำพิพากษาถอนชื่อการเป็นผู้สมัครตามที่ ผอ.กต.เขต ยื่นคำร้อง ประกอบด้วย 1.น.ส.วีรยา เจ๊ะโซะ จากพรรคคนขอปลดหนี้ เขต 2 ปัตตานี เนื่องจากสังกัดพรรคไม่ครบ 90 วัน 2.นายภักดี นาบุญ จาก พรรคประชากรไทย เขต 1 จ.นครศรีธรรมราช 3.นายกนก พิชิตมาลย์ จากพรรคประชากรไทย เขต 2 จ.นครศรีธรรมราช 4.นายจงรักษ์ พันธรังษี จากพรรคประชากรไทย เขต 3 จ.นครศรีธรรมราช 5.นายสุพร จันทร์แก้ว จากพรรคคนขอปลดหนี้ เขต 3 จ.สุราษฎร์ธานี
6.นายวรพจน์ วิชัยดิษฐ จากพรรคประชากรไทย เขต 4 จ.สุราษฎร์ธานี 7.น.ส.สุมิตรา แก้วอินทร์ จากพรรคคนขอปลดหนี้ เขต 6 จ.สุราษฎร์ธานี 8.นายประยูร บุญจันทร์ จากพรรคพัฒนาชาติไทย เขต 2 จ.ภูเก็ต 9.นายเขมาวุฒิ สุวรรณ จากพรรคพัฒนาชาติไทย เขต 2 จ.พัทลุง 10.นายวิญาสิทธิ สุนทรนนทรี จากพรรคประชากไทย เขต 1 จ.ตรัง โดยทั้งหมดสาเหตุจากย้ายข้ามเขตมาลงสมัคร
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ศาลฎีกาได้มีคำสั่งตัดสิทธิ์ผู้สมัครไปแล้ว 12 ราย และสั่งให้ ผอ.กต.เขต.รับสมัคร 2 ราย เมื่อรวมกับกรณีการตัดสิทธิ์เมื่อวานนี้ เท่าศาลฎีกาได้คำสั่งตัดสิทธิ์ผู้สมัครรวมทั้งสิ้น33 คน และมีคำสั่งคืนสิทธิ์โดยให้ ผอ.กต.เขต รับสมัคร รวม 4 ราย รวมเหลือผู้สมัครใน 39 เขต 64 คน
**ทรท.ลุ้น 20% อีก 19 เขต
ส่วน 7 เขตของ จ.สงขลา ซึ่งมีการเปิดรับสมัครเพิ่มเติมนั้น นายไพฑูรย์ เจ๊ะแฮ ผอ.กกต.จังหวัดสงขลา เปิดเผยว่า เนื่องจากระยะเวลาในการตรวจสอบคุณสมบัติผู้สมัครที่รับเพิ่มเติมมีน้อย โดยเบื้องต้นพบข้อมูลการขาดคุณสมบัติ จึงไม่ประกาศให้เป็นผู้มีสิทธิลงสมัครรับเลือกตั้ง คือ 1 นายจวง จิตราวงศ์ จากพรรคชีวิตที่ดีกว่า เขต 2 2.นายประสิทธิ์ มุสิกเกษม จากพรรคชีวิตที่ดีกว่า เขต 7 เนื่องสังกัดพรรคการเมืองไม่ครบ 90 วัน และ น.ส.เกษณี เพชรพงษ์ จากพรรคคนขอปลดหนี้ เขต 8 เนื่องจากเลข 13 หลักในประชาชนไม่ตรงกับชื่อที่ใช้ลงสมัคร และนายขดดะรี บินเซ็น จากพรรคไทยช่วยไทย เขต 8 เนื่องจากมีก่อนหน้านี้ศาลฎีกาเคยมีคำพิพากษาว่าไม่เชื่อว่านายขดดะรี จะเป็นสมาชิกพรรคไทยช่วยไทย ทั้งนี้ การเปิดรับสมัครเพิ่มเติมครั้งนี้เป็นเรื่องผิดปกติ เวลาไม่เพียงพอในการตรวจสอบ และยังมีข้อสงสัยเกี่ยวกับคุณสมบัติผู้สมัครที่เหลืออยู่ จึงอยากให้ผู้ที่ใกล้ชิดมีข้อมูลทั้งเรื่องวุฒิการศึกษา การสังกัดพรรคการเมือง ประวัติการต้องคดี ขอให้นำข้อมูลมาให้กับกกต.จังหวัด เพื่อจะได้นำไปใช้ในการดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
ทั้งนี้ผู้ ผอ.กกต.จังหวัดสงขลา ไม่ประกาศชื่อให้เป็นผู้มีสิทธิลงสมัครแม้จะยื่นเรื่องร้องไปยังศาลฎีกา แต่ตามกฎหมายแล้วกำหนดให้ศาลฎีกาพิจารณากรณีคำร้องที่ผู้ที่ ผอ.กต.เขต.ไม่ประกาศให้เป็นผู้สมัครให้แล้วเสร็จและมีคำพิพากษาก่อนการวันเลือกตั้ง 1 วัน ซึ่งถือว่าวันที่ 21 เม.ย. เป็นวันสุดท้ายในการทำงานของศาลฎีกาเกี่ยวกับกรณีดังกล่าวแล้ว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากผลของคำพิพากษา และการที่ ผอ.กกต.จ.สงขลา ไม่ประกาศรายชื่อผู้ที่ยื่นสมัครให้เป็นผู้สมัครรับเลือกตั้ง ทำให้ในการเลือกตั้งใน 40 เขตเลือกตั้ง วันที่ 23 เม.ย.นี้ มีเขตเลือกตั้งที่มีผู้สมัครพรรคไทยรักไทยเพียงคนเดียว และต้องได้คะแนนมาไม่น้อยกว่าร้อยละ 20 ของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง รวมทั้งสิ้น 19 เขตเลือกตั้ง คือ จ.ชุมพร เขต 1,3 จ.ตรัง เขต 1 จ.นครศรีธรรมราช เขต 1,2,8 จ.นราธิวาส เขต 4 จ.ปัตตานี เขต 1,2 จ.พังงา เขต 1 จ.พัทลุง เขต 2 จ.ภูเก็ต เขต 2 จ.สงขลา เขต2,8 จ.สตูล เขต 1 จ.สุราษฎร์ธานี เขต 3,4,6 และ จ.สุมทรสาคร เขต 3
**ศาลสงขลาไม่รับไต่สวนฉุกเฉิน
ในวันเดียวกันนี้ กลุ่มประชาชนคนรักสงขลา ประมาณ 100 คน นำโดยนายชาลี นพวงษ์ ณ อยุธยา เดินทางมายื่นหนังสือให้ นายไพฑูรย์ เจ๊ะแฮ ผอ.กกต.จ.สงขลา ณ บริเวณด้านหน้าศาลากลางจังหวัดสงขลา เพื่อขอให้พิจารณาคุณสมบัติของผู้สมัคร ส.ส.เพิ่มเติมใน 7 เขตเลือกตั้ง ของจ.สงขลาอย่างละเอียด
ทั้งนี้ ก่อนที่ ผอ.กกต.สงขลา จะมายื่นหนังสือ นายชาลี ได้แถลงข่าวต่อสื่อมวลชน โดยระบุว่าการมาประชุมพิจารณาคุณสมบัติของผู้สมัคร ส.ส.อย่างละเอียด ที่ศาลากลางจังหวัดสงขลา แสดงให้เห็นว่าฝ่ายปกครองกำลังล้วงลูก กกต.ซึ่งที่จริงแล้ว กกต.จะต้องประชุมกันที่สำนักงาน ไม่ใช่ศาลากลาง ซึ่งนายชาลีได้กล่าวกับนายไพฑูรย์ว่า หากทางกลุ่มประชาชนคนรักสงขลา ตรวจสอบภายหลังพบว่ามีข้อบกพร่องก็จะดำเนินการฟ้องร้อง กกต.สงขลาทันที และนายไพฑูรย์ตอบรับว่า พร้อมจะเป็นทั้งโจทย์และจำเลย โดยยืนยันว่า กกต.จะปฎิบัติหน้าที่ให้ดีที่สุด
ด้านผอ.กกต.จ.สงขลา กล่าวปฎิเสธในเรื่องดังกล่าว โดยระบุว่าการประชุมตรวจสอบคุณสมบัติของผู้สมัคร ส.ส.เพิ่มเติมที่ศาลากลางนั้น ได้กระทำเป็นปกติ ซึ่งในวันนี้ได้มีคณะกรรมการจากหลายฝ่ายเข้าร่วมในการพิจารณาตรวจสอบ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายอัยการ ตำรวจ กรมบังคับคดี การศึกษาระดับอุดมศึกษาและพื้นฐาน เพื่อให้การพิสูจน์ข้อมูลเป็นไปครบในทุกด้าน พร้อมกับยอมรับว่า เวลาในการทำงานครั้งนี้มีข้อจำกัดในเรื่องระยะเวลา
แต่อย่างไรก็ตาม ประชาชนสามารถนำหลักฐานซึ่งเป็นเอกสารมายื่นให้ กกต.สงขลาเพิ่มเติมได้ หากพบว่าผู้สมัครรายใดมีคุณสมบัติไม่ครบตามกฎหมายที่ระบุ ซึ่งจะสามารถประกาศผลการรับรองคุณสมบัติผู้สมัครทั้งหมดภายในวันนี้อย่างแน่นอน
หลังจากนั้น พรรคประชาธิปัตย์นำโดย นายถาวร เสนเนียม และกลุ่มประชาชนคนรักสงขลาได้ไปยื่นคำร้องต่อศาลปกครองให้ไต่สวนฉุกเฉิน กรณี กกต.กลาง มีมติให้เปิดรับสมัครเพิ่มเติม ส.ส.ใน 7 เขตเลือกตั้งของจ.สงขลา เมื่อวันที่ 19-20 เม.ย.ที่ผ่านมา เนื่องจากเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น ปรากฎว่า วันนี้ศาลปกครองได้พิจารณาไม่รับคำร้องของทั้ง 2 ฝ่าย โดยให้เหตุผลว่า การกำหนดวันรับสมัครเพิ่มเติมของ กกต.กลาง เป็นการใช้อำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย มาตรา 144 ของรัฐธรรมนูญ และศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยว่าการใช้อำนาจหน้าที่ของ กกต.เป็นที่สิ้นสุดและห้ามฟ้องคดีต่อศาล ดังนั้นจึงไม่สามารถรับคำฟ้องไว้พิจารณาได้
**คนใต้ประกาศฉีกบัตรเลือกตั้ง
นายสัมศักดิ์ โกศัยสุข แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เปิดเผยถึงการประกาศเชิญชวนประชาชนฉีกบัตรเลือกตั้งส.ส.ที่จะมีขึ้นวันที่ 23 เม.ย.นี้ ของพันธมิตรฯสงขลา ภายหลังศาลปกครองไม่รับฟ้องร้องคดี และให้มีการไต่สวนฉุกเฉินว่า เรื่องนี้เป็นอีกมิติหนึ่งของระบอบประชาธิปไตยที่พี่น้องประชาชนสามารถทำได้เมื่อตัวเองต้องไปใช้สิทธิ์เพราะเป็นหน้าที่แต่ไม่มีทางออกที่ดีกว่านี้ในการลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง
การเลือกตั้งภายใต้ระบอบทักษิณ ที่กำลังดำเนินอยู่ในเวลานี้ได้สะสมความไม่ถูกต้องความไม่ชอบธรรมไว้มากมาย โดยเฉพาะบทบาทของ กกต.ที่วางตัวไม่เป็นกลาง จึงเกิดการไม่ยอมรับและเกิดการคัดค้านต่อต้าน เมื่อประชาชนไม้มีความเชื่อถือ กกต.ก็เกิดการพัฒนาวิธีต่อต้านทุกรูปแบบออกมา และก็จะมีการพัฒนาไปเรื่อยๆ สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่า กกต.ไม่ควรที่จะอยู่อีกต่อไป โดยไม่ต้องพูดถึงว่าทำถูกต้องหรือไม่ แต่ กกต.ทุกคนควรต้องพิจารณาตัวเองไปนานแล้ว
"ที่ผ่านมา กกต.ชุดนี้ได้กระทำความผิดสะสมไปซ้ำซาก และได้แสดงให้เห็นชัดแจ้งว่าอำนาจรัฐบาลได้เข้าไปแทรกแซง โยงใย ควบคุม ประชาชนจึงต้องลุกขึ้นมาต่อต้านระบอบทักษิณ และพฤติกรรมต่อต้านนี้จะขยายตัวไปเรื่อยๆ ซึ่งจะลุกลามใหญ่โตจนนำไปสู่วิกฤตที่หนักหนาสาหัสมากขึ้นๆ ในอนาคต" นายสมศักดิ์ กล่าว
นายสรนันท์ เสน่ห์ หนึ่งในเครือข่ายพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จ.ภูเก็ต กล่าวว่า เรื่องของการเลือกตั้งที่ส.ส.ที่จะมีขึ้นในวันที่ 23 เม.ย 49 และกระแสเรียกร้องให้มีการฉีกบัตรเลือกตั้ง นั้นเห็นด้วย เพราะการทำงานของ กกต.นั้นมีความเอนเอียง จริงๆ แล้วไม่อยากที่จะพูดถึงเรื่องของ กกต.เลย เพราะรับไม่ได้กับการกระทำของ กกต. ที่ไม่มีความชอบธรรม ซึ่งการฉีกบัตรนั้นคิดว่าถ้าใครอยากทำก็ทำไปเลย อย่างไรก็ตามในส่วนของจังหวัดภูเก็ตนั้นคิดว่ากระแสการฉีกบัตรเลือกตั้งไม่น่าจะรุนแรงเหมือนกับที่จังหวัดสงขลา แต่คิดว่าน่าจะมีเกิดขึ้นบางส่วนในพื้นที่ตัวเมือง และ เขต 2
ขณะที่นายอุทัย สุขสิริสัมพันธ์ หนึ่งในแกนนำกล่าวถึงเรื่องของการฉีกบัตรเลือกตั้งว่า จะต้องอ่านคำพิพากษาให้ดีก่อน เพราะบัตรเลือกตั้งถือว่าเป็นทรัพย์สินของแผ่นดิน เป็นทรัพย์สินของทางราชการเมื่อมีการทำลายจะต้องมีความผิด แต่อย่างก็ตามตนเชื่อว่า ภูเก็ตกระแสโนโหวตยังแรงอยู่ และเชื่อว่าคะแนนโนโหวตจะมีมากกว่าคะแนนของผู้สมัครแน่นอน