xs
xsm
sm
md
lg

ประชาธิปไตยยุคไอ้หน้าเหลี่ยม

เผยแพร่:   โดย: ยอดรัก ตะวันรอน

ท่ามกลางข่าวอัปยศกาลกิณีร้อยแปดพันประเภทในบ้านเมืองที่แย่งกันเปิดเผยตัวออกมาสู่สาธารณะอย่างไม่มีเวลาหยุด ก็มีข่าวอัปยศกาลกิณีจำนวนหนึ่งที่แย่งกันออกมาสู่ประชาชนในระยะเดียวกัน นั่นคือข่าวที่นักการเมืองพรรคประชาธิปัตย์ท่านหนึ่งได้ออกมาบอกกล่าวแก่ประชาชนที่เป็นข่าวสกปรกเช่นเดียวกับข่าวอื่นๆ ในบ้านเมือง นั่นคือข่าวที่หนังสือพิมพ์ชาวบ้านฉบับหนึ่งที่เสนอออกมาว่า “อลงกรณ์ บี้ไล่สอบน้องสาวนายกฯ”

รายละเอียดของข่าว มีว่า

“ที่หมู่บ้านเบเวอรี่ ฮิลล์ ถนนแจ้งวัฒนะ นายอลงกรณ์ พลบุตร รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์นำคณะสื่อมวลชนไปดูโครงการดังกล่าวเพื่อตรวจสอบความร่ำรวยของนางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ รองหัวหน้าพรรคไทยรักไทยและครอบครัว เมื่อไปถึงนายอลงกรณ์ได้จอดรถตรงป้อมยามรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน จากนั้นได้ลงมายืนให้สัมภาษณ์นักข่าวบริเวณป้ายของหมู่บ้านเบเวอรี่ ฮิลล์ โดยบริเวณทางเข้าเป็นแผงเหล็กติดป้ายเบเวอรี่ ฮิลล์ แต่แผงเหล็กที่เป็นทางออกยังติดป้ายชินณิชา วิลล์ เอาไว้เหมือนเดิม อย่างไรก็ตาม นายอลงกรณ์กล่าวว่า โครงการหมู่บ้านชินณิชา วิลล์ ได้เปลี่ยนชื่อมาเป็นเบเวอรี่ ฮิลล์ซึ่งเป็นทรัพย์สินของนางเยาวภา โดยภรรยาของนักการเมืองที่เป็นอดีต ส.ส.ได้มีการเปิดโครงการเมื่อเดือน พฤศจิกายน พ.ศ. 2546 จากนั้นได้มีการเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้นรวมทั้งเปลี่ยนชื่อหมู่บ้าน รายการทรัพย์สินดังกล่าวนี้เป็นส่วนหนึ่งที่จะนำเสนอต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ตามมาตรา 66 และ 75 ของ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 ในกรณีที่ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองร่ำรวยผิดปกติตามมาตรา 66 ส่วนมาตรา 75 นั้นเป็นเรื่องของการยึดทรัพย์ให้ตกเป็นของแผ่นดินโดยจะรวบรวมข้อมูลทั้งหมดภายใน 10 วันเพื่อจะยื่นต่อ ป.ป.ช.”

ดูเหมือนจะเป็นครั้งแรกที่นักการเมืองของไทย เฉพาะอย่างยิ่งพรรคการเมืองที่เคยมีอดีตใหญ่โตในวงการเมืองอย่างพรรคประชาธิปัตย์ ได้แสดงตัวเป็นศัตรูกับการทุจริตคิดมิชอบโดยผู้มีอำนาจในบ้านเมืองอย่างเอาจริงเอาจังกันขึ้นมา แม้ว่าจะช้ากว่าความจำเป็นที่จะต้องทำหลายปีก็ตาม แต่ก็ยังเป็นประโยชน์บ้างเล็กน้อยแก่คนไทยและบ้านเมืองไทยที่มากไปด้วยปัญหาทุจริตคอร์รัปชัน เพราะบ้านเมืองเต็มไปด้วยนักการเมืองคอร์รัปชัน และการปล้นสะดมของผู้มีอำนาจ

นายอลงกรณ์ พลบุตร ได้กล่าวถึงเหตุผลที่เข้ามาจัดการเรื่องนี้ต่อไปโดยหนังสือพิมพ์ฉบับเดียวกันพาดหัวข่าวต่อไปว่า “เอาเงินที่ไหนมาซื้อหมู่บ้าน” ซึ่งมีรายละเอียดต่อไปว่า “รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กล่าวอีกว่า หมู่บ้านดังกล่าวเดิมชื่อโครงการการ์เด้นซิตี้ ลากูน ซึ่งบริษัท สร้างสินพร๊อบเพอร์ตี้ จำกัดไปซื้อมาจากบริษัทบริหารสินทรัพย์ไทย (บสท.) ที่เป็นหนี้เอ็นพีแอลในวงเงิน 800 ล้านบาท และเมื่อปี 2546 ได้มีการเพิ่มทุน 150 ล้านบาทแล้วเข้ามาครอบครองหมู่บ้านต่างๆ พร้อมกับตั้งชื่อว่าชินณิชา วิลล์เป็นชื่อของลูกสาวคนโตของนางเยาวภา จึงสงสัยว่าเงิน 150 ล้านบาทนี้มาจากไหน แล้วเอาเงินที่ไหนไปซื้อโครงการ 800 ล้านบาทจาก บสท.อีก ทั้งยังมีการระบุว่าครอบครัววงศ์สวัสดิ์เป็นเจ้าของโครงการ”

ยิ่งไปกว่านั้น นายอลงกรณ์ พลบุตร ยังตั้งคำถามอีกคำถามหนึ่งออกมาว่า นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์คนนี้ “เคยเป็นแค่พยาบาลทำไมร่ำรวยนัก” ซึ่งคำถามของเขามีรายละเอียดว่า “ที่สำคัญก็คือ นางเยาวภารับราชการเป็นพยาบาลโดยตำแหน่งหลังสุดก่อนเป็น ส.ส.คือเป็นนางพยาบาลอยู่ที่สาธารณสุขจังหวัดนนทบุรี และได้ตรวจสอบว่าหลังจากนั้นประกอบกิจการอะไร ปรากฏว่าถึงปี 2545 คือมีกิจการที่เป็นหลักของครอบครัวคือบริษัทเอ็มลิ้งค์ที่ขายอุปกรณ์โทรศัพท์มือถือ แต่จำนวนเงินที่เพิ่มขึ้นมากมายนั้นพบว่าไปพบในชื่อของบุตรสาว และบุตรชายที่บรรลุนิติภาวะแล้ว และเป็นกรรมการอยู่บริษัทในเครือ โดยพบว่ามีเงินขึ้นมาอย่างก้าวกระโดดระหว่างปี 2546-2547 เกือบ 2,000 ล้านบาท ก็ต้องถามว่าไปเอาเงินมาจากไหน พฤติกรรมร่ำรวยผิดปกติ ยังมีหลายคนที่จะต้องถูกตรวจสอบ รวมถึงแคนดิเดตนายกฯ และสุดท้ายคือตัวของ พ.ต.ท.ทักษิณเองก็ต้องถูกตรวจสอบความร่ำรวยผิดปกติ และประเด็นการใช้ตำแหน่งหน้าที่โดยการทุจริต” (ไทยรัฐ 17 เมษายน 2549)

พร้อมกับข่าวนี้ยังมีข่าวการประมูล กฟผ.ซึ่งมีน้องสาวของนายกรัฐมนตรีอีกคนหนึ่งไปร่วมใช้อำนาจหน้าที่ไม่สุจริตเข้าประมูลด้วย หรืออาจจะเป็นไปได้ว่าในการใช้อภิสิทธิ์ และอำนาจทำมาหากินกันทั้งชาติทั้งตระกูลหรือเรียกกันว่าโคตรโกงหรือโกงทั้งโคตร ที่ว่ากันนั้นได้ทำกันอย่างกว้างขวางมาอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนในชาติไทยหรือในวงการเมืองต่างๆ ของโลกนอกจากในประเทศไทยและครั้งนี้เป็นครั้งแรก โดยมีคนยืนยันว่ามันเป็นยุคประหลาดมหัศจรรย์อย่างยิ่งยวดซึ่งมีคนบางคนเรียกมันว่ายุคระบอบประชาธิปไตยของอ้ายคนหน้าเหลี่ยม

นอกจากจะมีการพูดกล่าวขวัญในหมู่ประชาชนพลเมืองที่ไม่ใช่เจ้าหน้าที่ตำรวจส่วนใหญ่ที่ต้องมาทำหน้าที่รักษาระบบนี้ไว้เพื่อความวิบัติฉิบหายของบ้านเมือง และตัวเองด้วยความหวังที่ว่าจะมีโอกาสได้พากันอยู่เกาะบริติชเวอร์จิ้นอีกไม่กี่วันข้างหน้า

เฉพาะอย่างยิ่ง เพลงชาวบ้านที่ถูกเขียนมาเพื่อสรรเสริญบุญญาธิการ และบารมีที่มีชื่อว่า “ไอ้หน้าเหลี่ยม” ก็อาจจะช่วยให้เมืองไทยสนุกสนานครื้นเครงต่อไปอีกนาน ในฐานะเป็นเพลงที่ช่วยบันทึกประวัติศาสตร์ชั่วชาติตอนหนึ่งของชาติไทยไว้อย่างสมบูรณ์

และที่สำคัญที่สุดก็คือเรื่องราวการคอร์รัปชันที่นายอลงกรณ์ พลบุตรนำมาเสนอเป็นข่าวนี้ก็มีคนเชื่อถือไม่มีใครแก้ตัวได้นอกจากยอมรับว่ามันเป็นกรรมเวรของบ้านเมืองที่รุ่งโรจน์ไปด้วยคอร์รัปชัน โอ่อ่าไปด้วยการปล้นสะดมบ้านเมือง การโกงกิน และการขายชาติจนตกผลึกที่จะกลายเป็นวัฒนธรรมประเพณีทางการเมืองถาวรของคนไทยต่อไป มันจะเป็นระบบการเมืองอีกระบบหนึ่งนอกไปจากระบบเผด็จการ ระบบคอมมิวนิสต์มาเป็นระบอบประชาธิปไตยที่แยกออกมาจากระบอบประชาธิปไตยอื่นๆ ของโลกมาเป็นประชาธิปไตยคอร์รัปชันสมบูรณ์แบบ หรือระบบกินบ้านกินเมืองและการขายชาติที่ถึงแก่นถึงกระดูก กินทุกอย่างเขมือบทุกเรื่องที่มองเห็น ซึ่งอาจจะสรุปหรือตั้งชื่อใหม่ขึ้นมาได้ว่าประชาธิปไตยไอ้หน้าเหลี่ยมหรือระบบไอ้หน้าเหลี่ยมที่มีวิธีการกินบ้านกินเมืองอย่างเปิดเผยทุกประการ

ประเทศไทยหรือสังคมไทยเรา ว่ากันตามความจริง ถึงแม้ว่าตลอดระยะเวลาที่สร้างกรุงรัตนโกสินทร์ขึ้นมานั้น ผู้นำหรือพระมหากษัตริย์ของเราทุกพระองค์ที่เสด็จขึ้นมาครองราชย์ มีความมุ่งมั่นอย่างมากที่สุด และสูงสุดที่จะทำให้ประเทศและระบบการเมืองของเราให้เท่าเทียมประเทศอื่นๆ เขา และก็ค่อยๆ เตาะแตะเรื่อยมา โดยการเริ่มต้นที่อันตรายที่สุดก็คือการเลิกทาสในสมัยรัชกาลที่ 5 จนกระทั่งมาถึงยุคที่ลูกหลานของคนไทยได้เดินทางออกไปศึกษาในต่างประเทศและเรียนรู้การปกครองการพัฒนาประเทศไทย จนกระทั่งมาเปลี่ยน
แปลงการปกครองในปี 2475 ซึ่งมีความยุ่งยากมากพอสมควรในระยะแรกๆ

แต่มันก็ผ่านกันไปเรียบร้อย

และเราตั้งความมุ่งหมายว่าเราต้องทำการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงระบบสังคมของเราจากระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตยซึ่งเราก็ทำได้สำเร็จอีก

หลายอย่างเราทำได้ แต่มีอย่างเดียวหรือสิ่งเดียวที่เราทำไม่ได้

สิ่งนั้นคือคุณธรรมหรือการสร้างคนให้มีคุณธรรมให้มีความเป็นคนที่สมบูรณ์
หรือการสร้างคนให้เป็นคนเต็มคน!!


ตรงข้ามเราใช้ความเป็นมนุษย์ที่เลวทรามเท่าๆ กับความเป็นสัตว์

เราจะประพฤติปฏิบัติทุกชนิดที่สัตว์เท่านั้นที่สามารถทำได้ เฉพาะอย่างยิ่งที่เราเห็นกันอยู่ในวงการเมืองในบ้านเมืองของเราที่เราเรียกอย่างเมตตาปรานีว่า การคอร์รัปชัน

การปล้นบ้านกินเมืองหรือการขายชาติ และการใช้ตำแหน่งหน้าที่แสวงหาผลประโยชน์และกอบโกยผลประโยชน์ของประเทศชาติและส่วนรวมอย่างที่เห็นกันอยู่ในขณะนี้


อย่างข่าวย่อยที่นักการเมืองของประชาธิปัตย์ได้นำมากล่าวถึง และพูดถึงในตอนต้นซึ่งชี้แจงให้เห็นว่าการต่อสู้ของผู้คน การพยายามเปลี่ยนแปลงทุกอย่างของประชาชนที่ต้องการอะไรต่ออะไรในชีวิตมากกว่าความเป็นสัตว์ที่เขามีอยู่ให้มันเป็นเทวดาขึ้นมาให้ได้

ความชั่วทุกอย่าง การเอารัดเอาเปรียบ การโกหกปลิ้นปล้อนเป็นเรื่องที่ทุกคนจะต้องทำทั้งสิ้นเพื่อแสดงความเป็นนักการเมือง แม้ว่ามันจะเป็นการขายชาติ ปล้นชาติปล้นประชาชนที่ไม่มีโอกาสหรืออ่อนแอกว่า เราก็ทำและเรียกมันว่าประชาธิปไตยหรือระบอบ ประชาธิปไตย

เราอยู่กับระบอบประชาธิปไตยกันมา 70 กว่าปี หลังจากเปลี่ยนการปกครอง แต่ประชาธิปไตย 70 กว่าปีนั้น มันเป็นเพียงนิยายหลอกเด็กอมมือเท่านั้น ไม่เคยมีจริง ไม่เคยมีอุดมการณ์อะไรที่ไหนทั้งสิ้น สิ่งที่เราได้รับกันมาในระบอบประชาธิปไตยนั้นมันก็คือความฝันที่จะหยิบฉวยอะไรไม่ได้แม้แต่ในความฝัน

ประชาธิปไตยของเราดำเนินไปด้วยการแสวงหาอำนาจ การแย่งอำนาจ และการหลอกลวงปลิ้นปล้อนประชาชนที่อ่อนแอกว่าอย่างเดียวเท่านั้น

และเมื่อมาถึงวันนี้ เป็นระบอบประชาธิปไตยที่เรียกว่าประชาธิปไตยในยุค “ไอ้หน้าเหลี่ยม” ที่สามารถทำลายความหวังและความฝันของผู้คนได้ถึงแก่นถึงกระดูกที่สุด

คือเจ้าของประชาธิปไตยจะสุมหัวกันปล้นเอา แย่งเอา คดโกงเอา ทุกสิ่งทุกอย่างที่มันเป็นของคนไทยทุกคนไปแสวงหาผลประโยชน์ และความร่ำรวยให้แก่ตัวเองและครอบครัว

แม้แต่ประเทศชาติที่คนไทยได้ร่วมกันต่อสู้และเสียสละมาด้วยชีวิต ประชาธิปไตยที่ว่านั้น มันก็เอาไปขายให้ต่างชาติ บรรดาโจรานุโจรของระบอบประชาธิปไตยในระบบ “ไอ้หน้าเหลี่ยม” ที่เราได้รับการแนะนำให้รู้จัก มันก็ร่วมมือกันเพื่อขายชาติขายประเทศ และปล้นสะดมทรัพย์สินที่มีค่าไปเป็นของมัน ลูกเมีย ญาติพี่น้อง ด้วยการกระทำที่เรียกว่าการคอร์รัปชัน แม้แต่สถาบันสูงสุดของคนไทยก็ยังพยายามจาบจ้วง และเอาเป็นเครื่องมือสำหรับเข้าครองประเทศชาติ และประชาชนในฐานะทาสของมันอย่างจองหองพองขนทีเดียว

แต่ถึงขั้นนั้น คนไทยเกือบทั้งชาติก็พากันเฉยและคลานเข้าไปตายที่แทบเท้าของพวกมันอย่างไมรู้สึกรู้สาอะไรทั้งสิ้น

เราจะทำกับมันอย่างไรต่อไปกับประชาธิปไตยยุคไอ้หน้าเหลี่ยมของยุคสมัย?
กำลังโหลดความคิดเห็น