xs
xsm
sm
md
lg

ตอนที่ 16 หมอดูฝึกหัด

เผยแพร่:   โดย: เรืองวิทยา

หมอปานบอกว่าอันวิชาหมอดูนั้นหากจะจำแนกเป็นพวกใหญ่ๆ ก็จำแนกได้เป็นสองพวก คือพวกโหรกับพวกโหน พวกโหนนั้นไม่ได้อาศัยหลักวิชาอะไร นอกจากวิชาประจบสอพลอ และห้อยโหนเอาใจ จะว่าเป็นพวกนักหลอกลวงก็ได้ แต่พวกโหรถึงแม้จะไม่ได้ร่ำเรียนทางโหราศาสตร์โดยตรง แต่ก็มีหลักวิชาเฉพาะให้อ้างอิงได้ มีหลายขั้น มีหลายชั้น

ชั้นต่ำสุดก็คือพวกเสี่ยงเซียมซี ดูไพ่ป๊อก นกจิก ไก่จิก เต่าคลาน จับไม้ เทน้ำ และอะไรต่อมิอะไรในลักษณะทำนองเดียวกันนี้ แต่ในจำพวกนี้เซียมซีดูแคลนไม่ได้ เพราะบางทีมีอำนาจนอกควบคุมหรือวิญญาณหรือเทพารักษ์ศักดิ์สิทธิ์อาจบอกนิมิตให้ปรากฏสำหรับผู้มีโชคเคราะห์ได้

สูงขึ้นมาหน่อยหนึ่งก็เป็นพวกดูลายมือ ลายเท้า ดูนรลักษณ์ ซึ่งรวมถึงคัมภีร์พระจอมเกล้าซึ่งเป็นคัมภีร์พยากรณ์ลักษณะของเพศชายหญิงแล้วมีบทพยากรณ์ไปตามลักษณะและเศษเกณฑ์ที่คำนวณได้ รวมความก็คือเป็นการพยากรณ์อนาคตของเจ้าชะตาจากลักษณะเพศ

ยังจำได้ว่าเกณฑ์การคำนวณหากได้เศษ 5 หรือเศษ 0 ลักษณะของอวัยวะเพศจะมีความสวยงามเป็นพิเศษ ดังเช่นผลการคำนวณบางตอนที่ว่า

“เศษห้าว่าโคกกะเปาะเหลาะเหมือนตาลเฉาะน่าดูสองพูขาว” หรือ

“เศษศูนย์นูนโหนกเป็นโคกเค้าเหมือนน้ำเต้าผ่าแล่งแถลงไข” เป็นต้น


ใครสนใจในเรื่องนี้ก็ลองศึกษาได้จากคัมภีร์พระจอมเกล้า
สูงขึ้นไปอีกก็คือวิชาที่เรียกว่าเลขศาสตร์ ตั้งแต่เลขเจ็ดตัว เลขสิบสองตัว เลขสามฐาน เลขห้าฐาน ตลอดจนเลขสิบสองตัวแบบพิชัยสงคราม

สูงขึ้นไปอีกคือโหราศาสตร์ที่พยากรณ์ชะตาโดยอาศัยพื้นดวงชะตาและวิถีโคจรของดวงดาวในปัจจุบันและอนาคต ซึ่งสามารถจำแนกแจกแจงความแตกต่างของคนและเหตุการณ์ได้มากมายและลึกซึ้งแม่นยำ

และวิชาที่สูงที่สุดคือการนั่งทางใน ที่เรียกว่าการนั่งทางในนั้นเป็นภาษาชาวบ้าน ที่เราท่านพูดกันและเข้าใจโดยทั่วไป แต่ที่แท้ก็คือวิชชาสูงสุดสองในสามวิชชาในพระพุทธศาสนา คือบุพเพนิวาสานุสติญาณ และจุตูปปาตถญาณ หรือถ้ายังไม่ถึงขั้นดังกล่าวนี้ก็จะต้องบรรลุถึงขั้นที่เรียกว่าจตุตถฌานหรือฌานสี่ หรือมิฉะนั้นก็ต้องบรรลุถึงอนาคตังสญาณ


การฝึกฝนอบรมจิตในพระพุทธศาสนาโดยหนทางเจโตวิมุตนั้นจิตจะถูกอบรมบ่มเพาะให้มีความตั้งมั่น ให้มีความบริสุทธิ์ และสามารถทำการงานในหน้าที่ของจิตได้เป็นลำดับไป โดยมีแบบแผนอันเป็นแม่บทการฝึกอบรมหรือเรียกว่ากัมมัฏฐานวิธีถึง 38 วิธี แต่ละวิธีจะผ่านหนทางที่ได้นิมิต ได้รูปฌาน ได้อรูปฌาน ไปจนกระทั่งหลุดพ้นถึงซึ่งวิมุตตะมิติ

ในขณะที่ได้นิมิตก็อาจจะล่วงรู้เหตุการณ์แบบกระจุ๋มกระจิ๋มเป็นครั้งคราวได้ และเมื่อถึงขั้นฌานก็อาจล่วงรู้เหตุการณ์ข้างหน้าข้างหลังได้มากขึ้น แต่ถ้าเมื่อถึงจตุตถฌานซึ่งเป็นฌานขั้นสูงสุดของประเภทรูปฌานแล้วก็จะมีญาณหยั่งรู้หรือเห็นเหตุการณ์ในอดีตและปัจจุบันและอนาคตได้ ตรงนี้แหละที่เป็นเรื่องของการนั่งทางในแท้ และมีความแม่นยำมาก

การดูด้วยวิธีนั่งทางในแม้จะมีความแม่นยำตรงกับความจริงมากที่สุด แต่ขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยคือผู้ดูว่ามีภูมิธรรมขั้นสูงที่ปฏิบัติได้ถึงขั้นญาณนั้นๆ หรืออนาคตังสญาณหรือไม่ และถ้าถึงแล้วยังมีปัญหาว่าอยู่ในขั้นไหนอีก ผู้ที่ไม่ถึงซึ่งอนาคตังสญาณก็ไม่อาจพยากรณ์ด้วยวิธีการนั่งทางในได้ ผู้ที่ถึงอนาคตังสญาณแบบกระจุ๋มกระจิ๋มหรือในขั้นน้อยๆ ก็รู้เห็นแต่เรื่องที่จะพึงรู้พึงเห็นตามระดับและขั้นตอนนั้นๆ หากก้าวล่วงไปพูดถึงในสิ่งที่ไม่พึงรู้พึงเห็นก็จะกลายเป็นเรื่องโม้โอ้อวดซึ่งมีอยู่มากมายในสังคมเรา

หมอปานบอกว่าแม้ร่ำเรียนในพระพุทธศาสนามามากแต่ไม่อยากประพฤติปฏิบัติในการนั่งทางใน เพราะเป็นการนำวิชาในพระพุทธศาสนาซึ่งมีเป้าหมายที่แท้จริงคือการดับทุกข์สิ้นเชิง ซึ่งเป็นหนทางอันประเสริฐสำหรับมวลมนุษย์มาใช้ในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงห้าม ดังนั้นตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาหมอปานจึงใช้วิชาโหราศาสตร์เป็นพื้น แต่ทิ้งแขนงอื่นๆ ไม่ได้ เพราะเหตุว่าคนไทยส่วนใหญ่ไม่รู้เวลาเกิด จึงไม่อาจผูกดวงชะตากำเนิดได้ ในกรณีเช่นนั้นจึงต้องดูลายมือ ดูเลขเจ็ดตัว เลขสิบสองตัว

ผมถามหมอปานว่าเวลาคนมาดูหมอตั้งคำถามแปลกๆ เฉพาะหน้าจะดูคำพยากรณ์ได้จากตำราเล่มไหน หมอปานได้ฟังก็หัวเราะ แล้วบอกว่านี่แหละเป็นเคล็ดวิชา ถ้าแกไม่ถามตัวเราก็ไม่บอก แต่เมื่อแกถามก็แสดงว่าแกมีวาสนาจะได้เรียนรู้ ตัวเราจะบอกให้

แล้วหมอปานจึงว่าการตอบคำถามในลักษณะนี้ต้องใช้ยามจึงจะมีความแม่นยำและทันท่วงที ไม่อาจดูได้จากดวงชะตา เว้นแต่จะเป็นคำถามที่เป็นไปในชีวิตก็ต้องดูเอาจากพื้นชะตาและดวงจร หลังจากนั้นหมอปานจึงเริ่มสอนวิชายามให้กับผมโดยลำดับ

หมอปานนี้ช่างมีความรู้สารพัดจริงๆ เพราะเรื่องยามอย่างเดียวก็มีหลากหลายวิชา ตั้งแต่การกำหนดความคล่องขัดของลมปราณ ยามอุบากอง ยามสามตา ยามอัฏฐะกาล และยามอันเกี่ยวเนื่องด้วยวิถีโคจรของดวงจันทร์ที่โคจรไปในจักรราศีในแต่ละวัน ที่สัมพันธ์อยู่กับธาตุและดาวซึ่งครองนวางศ์ตรียางศ์ต่างๆ

ผมยิ่งสงสัยก็ยิ่งซักไซร้ไต่ถาม หมอปานก็ช่างอธิบายยกตัวอย่างเปรียบเทียบและช่างสาธยาย ดูประหนึ่งคล้ายกับลูกศิษย์พราหมณ์นั่งฟังทิศาปาโมกข์สาธยายมหาคัมภีร์ภควัตรคีตาฉะนั้น

ด้วยประการฉะนี้ผมจึงได้มีโอกาสเรียนรู้วิชายามจากหมอปานเพิ่มขึ้นอีกแขนงหนึ่ง แล้วชะตากรรมก็มาบันดาลให้ผมต้องไปเป็นหมอดูคู่กับหมอปาน

หมอปานมีวินัยอยู่ข้อหนึ่งคือไม่ชักนำลูกค้ามาที่วัด โดยอ้างเหตุผลว่าวัดเป็นพุทธสถาน เป็นแหล่งของความสงบสงัด เบิกบานทางจิต เป็นแหล่งของปัญญาและวิชาคุณ เป็นคนละด้านกับวิชาหมอดูซึ่งโน้มไปในการสร้างความเชื่อศรัทธาแบบงมงาย ถึงแม้หมอปานจะเป็นฆราวาสแต่ก็เคยบวชเรียนมา ดังนั้นจึงไม่อยากเอาความมัวหมองจากข้างนอกเข้ามาในวัด

หมอปานบอกว่าความรู้กับการใช้ความรู้ต้องคู่กัน คนไม่รู้ หรือรู้แล้วไม่รู้จักใช้ความรู้ หรือใช้ความรู้ไม่เป็น ทั้งสามจำพวกนี้ล้วนเป็นพวกใช้ไม่ได้ ถึงแม้จะเรียนรู้อะไรมากก็เสียเวลาเปล่า คนพวกนี้จึงถูกคนโบราณตำหนิติเตียนว่าเป็นพวกความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด กล่าวดังนั้นแล้วหมอปานจึงชวนผมไปนั่งดูหมอที่สนามหลวง อ้างว่าเพื่อจะได้ทดลองวิชาและเพื่อทำความรู้ให้ปรากฏในทางปฏิบัติของตน โดยถือว่าเป็นประสบการณ์ของการเรียนวิชาหมอดูและเป็นประสบการณ์ชีวิตไปพร้อมกันด้วย

ผมรับปากหมอปานก็เพราะเข้าใจว่าความรู้กับการปฏิบัตินั้นจะต้องไปด้วยกัน หากไม่ได้ปฏิบัติจริงสิ่งที่คิดว่ารู้อาจจะไม่แน่ว่าจะเป็นความรู้จริงและนำไปปฏิบัติได้หรือไม่ จึงอยากจะลองดู แต่ออกตัวไว้กับหมอปานก่อนว่าผมมากรุงเทพฯ เพื่อจะมาเรียนหนังสือ ไม่ได้มาเป็นหมอดู ดังนั้นจะไปทดลองก็แต่เฉพาะเวลาช่วงเช้า และเป็นครั้งเป็นคราวตามความสะดวก เพราะต้องหาที่เรียนให้ได้เสียก่อน

หมอปานก็ว่าคิดดังนี้เป็นการถูกต้องแล้ว คนเราต้องรู้จักหน้าที่และจะรู้แต่เพียงหน้าที่อย่างเดียวก็ไม่พอ จะต้องรู้ว่าเรื่องอะไรสำคัญที่ต้องทำก่อนหลังด้วย เรื่องสิบเรื่องแต่ถ้าทำบางเรื่องให้สำเร็จก็คล้ายๆ กับเรื่องทั้งหมดจะเสร็จไปถึง 80% ผู้มีปัญญาจึงต้องพิจารณาทำเรื่องที่มีผลเช่นนี้ แต่ก็มีคนจำนวนมากคิดแต่เรื่องเล็กๆ ทำแต่เรื่องเล็กๆ ยิ่งกว่านั้นชอบพูดแต่ปัญหาและทำให้เป็นปัญหา นี่แล้วคือสิ่งที่ทำให้คนต่างกับคน มาถึงวันนี้ก็ได้รู้ว่าที่หมอปานได้พูดไว้ครั้งนั้นเป็นความจริงของชีวิตที่มีค่าและถ้าปฏิบัติแล้วก็จะได้ผลจริงตามนั้น

ด้วยเหตุนี้บางวันผมจึงออกไปนั่งดูหมอกับหมอปานที่ใต้ต้นมะขามด้านตะวันออกของสนามหลวง หรือบางวันก็ไปนั่งดูหมอแถวริมคลองหลอด หมอปานจะจัดที่นั่งให้ผมนั่งอยู่ใกล้ๆ เป็นการป้องกันเผื่อว่ามีเหตุขัดข้องประการใดก็จะได้ปรึกษาหารือแนะนำกันได้โดยสะดวก

จะเป็นความโชคดีหรือโชคร้ายก็ไม่รู้ เพราะคนมาดูหมอกับผมเป็นจำนวนมาก จนแทบไม่มีเวลาว่าง ทำให้หมอปานแปลกใจ

ตัวผมไม่ได้แปลกใจอะไร เพราะเข้าใจว่าความเชื่อถือแบบงมงายของคนยังมีอยู่มาก ผู้ที่มาดูหมอคงเห็นว่าผมเป็นเด็กแต่กลับมานั่งดูหมอน่าจะมีอะไรแปลกๆ เป็นปาฏิหาริย์ เหมือนกับคนที่ไปทำบุญใส่บาตรแล้วมักศรัทธาเณรน้อยที่เดินหรือนั่งอยู่ปลายแถวแล้วทำตัวขึงขังอย่างไรก็อย่างนั้น

หมอปานให้ผมเรียกค่าดูหมอครั้งละ 5 บาท เว้นแต่จะเป็นการผูกดวงและดูดวงก็จะคิด 10 บาท เนื่องจากผมมีต้นทุนต่ำ เพราะไม่ได้คิดว่าจะมานั่งเป็นหมอดูอาชีพ และไม่ต้องห่วงหน้าค่าตาว่าจะทายผิดทายถูก ดังนั้นเมื่อลงมือทำนายทายทักผมก็ว่าโผงผางออกไป ไม่เกรงใจใคร นัยหนึ่งก็คือดูหมอไปตามหลักวิชาโดยไม่ต้องสนใจหรือเอาใจดูหน้าคนนั่นเอง

การพยากรณ์โดยไม่ดูหน้าตา ไม่ต้องเอาใจ และไม่เกรงใจลูกค้า เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้การพยากรณ์เที่ยงตรงยิ่งกว่าการพยากรณ์โดยคำนึงถึงฐานะ อาชีพ หน้าตา และความเกรงใจ ซึ่งทำให้เกิดอคติแล้วทำให้คำพยากรณ์เบี่ยงเบนไป

คำพยากรณ์ลักษณะนี้จึงมีความแม่นยำมากกว่าปกติ ทำให้คนที่มาดูหมอกับผมพออกพอใจ บางคนก็ไต่ถามว่าสำนักพักอยู่ที่ไหนแต่ผมไม่กล้าบอกตำแหน่งแหล่งที่อันเป็นสำนักของตน เพราะยังคงจดจำคำพูดของหมอปานที่ว่าไม่ควรเอาเรื่องมัวหมองเข้าไปในวัด คำแนะนำนั้นยังคงก้องอยู่ในหู ทั้งผมก็ไม่ได้ถือว่าการดูหมอเป็นอาชีพ ดังนั้นหากขัดเสียมิได้ก็ได้แต่บอกว่าเป็นคนต่างจังหวัดเพิ่งเข้ามากรุงเทพฯ ยังไม่มีที่พักที่อยู่เป็นที่แน่นอน หากโชคดีก็พบกันที่สนามหลวงนี้ หากไม่มีวาสนาก็คงไม่ได้พบกัน กลายเป็นว่านี่คือเรื่องแปลก พวกที่เชื่อของแปลกๆ ก็ยิ่งศรัทธาผมหนักเข้าไปอีก

แทบทุกครั้งที่ผมออกไปดูหมอ เพียงครึ่งวันเท่านั้นก็จะได้ค่าดูหมอร้อยกว่าบาท ผมก็ได้มอบให้หมอปานไปครึ่งหนึ่งถือว่าเป็นเครื่องบูชาครู เหลืออีกครึ่งหนึ่งผมก็เก็บไว้ใช้เอง กลายเป็นว่าผมหารายได้ด้วยตนเองเป็นครั้งแรกด้วยอาชีพหมอดู

ในขณะที่ผมคอยท่าว่าจะมีโอกาสได้เข้าเรียนที่ไหนอยู่นั้นก็ได้ทราบข่าวคราวจากทางบ้านว่าผลสอบไล่ทั้งของผมและของลูกผู้น้องเป็นอันสอบผ่านและได้คะแนนดีทั้งสองคน พ่อได้จัดส่งใบสุทธิหรือนัยหนึ่งก็คือใบรับรองว่าเคยเรียนหนังสืออยู่ที่โรงเรียนไหน ผลสอบเป็นประการใดและพ้นสภาพจากการเป็นนักเรียนของโรงเรียนนั้นเมื่อใดมาให้โดยทางไปรษณีย์เพื่อจะได้ใช้เป็นหลักฐานในการสมัครเรียนในที่ใหม่

ลูกผู้น้องซึ่งครูกริ้วรับติดต่อฝากฝังให้เข้าเรียนที่วัดมกุฏกษัตริย์ก็สามารถติดต่อกับทางโรงเรียนและทำการมอบตัวกันเป็นการเรียบร้อย ดังนั้นในระหว่างที่คอยเปิดเทอมลูกผู้น้องของผมจึงเดินทางกลับไปเยี่ยมบ้านก่อน เหลือผมอยู่ที่วัดระฆังเพียงคนเดียว ได้แต่คอยท่าข่าวคราวว่าทางบ้านติดต่อให้เข้าเรียนที่ไหน

หลังจากนั้นไม่กี่วันก็ได้รับข่าวจากพ่อว่าครูกริ้วคงฝากให้เข้าเรียนได้เพียงคนเดียวเท่านั้นเพราะโควต้ามีอยู่แค่นี้ จึงต้องหาที่เรียนเอาเอง พร้อมทั้งได้แนะนำให้ผมไปขอความช่วยเหลือจากยายและจากลูกผู้พี่อีกคนหนึ่งซึ่งมาเรียนหนังสือที่กรุงเทพฯ ก่อนแล้ว และพักอยู่ที่หอพักแถววงเวียนเล็ก ฝั่งธนบุรี ซึ่งเป็นหอพักของอาจารย์ผู้ใหญ่คนหนึ่งของโรงเรียนสวนกุหลาบ เผื่อว่าจะมีลู่ทางได้เข้าเรียน

ผมได้รับข่าวจากพ่อก็รู้สึกว้าเหว่อย่างไรชอบกล เพราะที่ตั้งตาคอยท่าว่าจะได้เข้าเรียนที่โรงเรียนวัดมกุฏกษัตริย์หรือที่โรงเรียนใดโรงเรียนหนึ่งนั้น ความหวังที่ตั้งตาคอยได้ดับมืดลงไปแล้ว เมื่อไม่มีทางเลือกอื่นจึงต้องดั้นด้นไปหาคุณยายซึ่งเป็นญาติห่างๆ แถวปทุมวัน ก็ได้รับคำตอบว่ายายแก่แล้ว ไม่รู้จักใครที่จะฝากฝังได้ และแนะนำให้ผมไปปรึกษาหารือกับลุงซึ่งเป็นนายตำรวจ และขณะนั้นรับราชการอยู่ที่กองทะเบียน กรมตำรวจ เผื่อว่าจะมีหนทางช่วยเหลือได้บ้าง

โปรดติดตามตอนที่ 17 “อย่าคิดพึ่งพาคนกลัวเมีย” ในวันศุกร์ที่ 28 เมษายน 2549
กำลังโหลดความคิดเห็น