ผู้จัดการรายวัน - เผย 32 จังหวัดสารระเหยระบาดหนัก ฮิตดมกาวทารองเท้า น้ำยาล้างเล็บ เหตุซื้อง่าย-ขายคล่อง หมอแฉพิษร้ายกว่ายาบ้า ทำสมองฝ่อก่อนวัยอันควร เตรียมพัฒนาใช้บาร์โค้ดบันทึกข้อมูลเตือนผู้ขายห้ามจำหน่ายให้เด็ก มีโทษถึงจำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับ 30,000 บาท
วานนี้(18 เม.ย.)สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับกรมคุมประพฤติ แถลงข่าว ็วิกฤตสารระเหย ทำลายเด็กไทยิ โดยนายวันชัย รุจนวงศ์ อธิบดีกรมคุมประพฤติ กล่าวว่า การแพร่ระบาดของสารระเหยทวีความรุนแรงจนถึงขั้นวิกฤต ข้อมูลจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ระบุว่า ในปี 2544-2546 ผู้เสพสารระเหยที่ถูกจับกุมได้เพิ่มขึ้นปีละร้อยละ 10 ในปี 2548 จับกุมผู้เสพได้ 11,239 ราย ปี 2549 เฉพาะเดือน ม.ค.-ก.พ.ที่ผ่านมาจับกุมได้ถึง 1,529 ราย สถิติการจับกุมเป็นอันดับ 2 รองจากยาบ้า สิ่งที่น่าห่วง คือ ร้อยละ 25 ของผู้เสพ คือ เด็กและเยาวชนอายุ 15-18 ปี โดยสารระเหยเป็นยาเสพติดที่เด็กเสพมากเป็นอันดับ 1 ส่วนใหญ่เป็นเด็กเร่ร่อน รองลงมา คือ เยาวชนนอกสถานศึกษา และนักเรียน
ทั้งนี้ สารระเหยที่เด็กนิยมเสพ คือ กาว 3K กาวทารองเท้า น้ำยาล้างเล็บ แลกเกอร์ ทินเนอร์ สาเหตุที่สารระเหยระบาดรุนแรงใน 4 ภาค คือ ภาคเหนือ 7 จังหวัด อาทิ เชียงใหม่ พะเยา ภาคอีสาน 11 จังหวัด อาทิ นครราชสีมา เลย ภาคกลาง 11 จังหวัด อาทิ นนทบุรี ปทุมธานี ภาคใต้ 3 จังหวัด ภูเก็ต นครศรีธรรมราช สุราษฎร์ธานี รวมแล้ว 32 จังหวัด และมีแนวโน้มลุกลามกว่านี้ เพราะมีราคาถูกเพียง 10-20 บาท หาซื้อได้ง่าย
อย่างไรก็ตาม เพื่อเป็นการแก้ปัญหากรมฯ จะร่วมกับตำรวจในการล่อซื้อเพื่อตักเตือนผู้ขายก่อนในระยะแรกก่อนที่จะบังคับโทษตามกฎหมาย พร้อมกันนี้จะเดินหน้าโครงการรณรงค์ลดปัญหาการแพร่ระบาดของสารระเหย โดยอยู่ระหว่างการพัฒนาบาร์โค้ดสินค้าที่จัดเข้าประเภทของสารระเหย ใส่ข้อมูลคำเตือนผู้จำหน่ายทุกราย ถึงโทษของการจำหน่ายให้กับเด็ก เพื่อกระตุ้นให้ตรวจสอบอายุผู้ซื้ออย่างเข้มงวด โดยเฉพาะผู้ซื้อในรายที่เห็นได้ชัดว่าเป็นผู้เสพสารระเหยแล้วผู้ขายยังขายให้ ผู้ขายจะมีโทษถึงจำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 30,000 บาทหรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งในวันที่ 26 เม.ย.นี้จะมีการเปิดตัวการใช้บาร์โค้ดบันทึกข้อมูลเตือนห้ามจำหน่ายสารระเหยให้เด็ก
ด้าน ทพ.ศิริเกียรติ เหลียงกอบกิจ ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนการสร้างสุขภาวะและลดปัจจัยเสี่ยง รอง สสส. กล่าวว่า สารระเหยเป็นสารเสพติดที่เป็นพิษต่อระบบต่าง ๆ ของร่างกายมาก ทำลายเซลล์สมองและระบบประสาท ทำให้ผู้เสพมีอาการทางสมองและทางจิตรุนแรงได้ ซึ่งรุนแรงกว่าการเสพยาบ้า และอาจทำให้เกิดความพิการถาวร หรือกลายเป็นโรคสมองฝ่อ หากเทียบผู้เสพเฮโรอีนหรือยาบ้า เมื่อได้รับการบำบัด จะกลับมาใช้ชีวิตตามปกติได้ แต่ผู้เสพสารระเหย ต้องใช้เวลาบำบัดนานกว่า เพราะเซลล์สมองถูกทำลายจนตายไปแล้ว ไม่สามารถฟื้นฟูให้เหมือนเดิมได้ ดังนั้น การป้องกันไม่ให้มีผู้เสพจึงเป็นสิ่งที่ดีที่สุด
วานนี้(18 เม.ย.)สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับกรมคุมประพฤติ แถลงข่าว ็วิกฤตสารระเหย ทำลายเด็กไทยิ โดยนายวันชัย รุจนวงศ์ อธิบดีกรมคุมประพฤติ กล่าวว่า การแพร่ระบาดของสารระเหยทวีความรุนแรงจนถึงขั้นวิกฤต ข้อมูลจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ระบุว่า ในปี 2544-2546 ผู้เสพสารระเหยที่ถูกจับกุมได้เพิ่มขึ้นปีละร้อยละ 10 ในปี 2548 จับกุมผู้เสพได้ 11,239 ราย ปี 2549 เฉพาะเดือน ม.ค.-ก.พ.ที่ผ่านมาจับกุมได้ถึง 1,529 ราย สถิติการจับกุมเป็นอันดับ 2 รองจากยาบ้า สิ่งที่น่าห่วง คือ ร้อยละ 25 ของผู้เสพ คือ เด็กและเยาวชนอายุ 15-18 ปี โดยสารระเหยเป็นยาเสพติดที่เด็กเสพมากเป็นอันดับ 1 ส่วนใหญ่เป็นเด็กเร่ร่อน รองลงมา คือ เยาวชนนอกสถานศึกษา และนักเรียน
ทั้งนี้ สารระเหยที่เด็กนิยมเสพ คือ กาว 3K กาวทารองเท้า น้ำยาล้างเล็บ แลกเกอร์ ทินเนอร์ สาเหตุที่สารระเหยระบาดรุนแรงใน 4 ภาค คือ ภาคเหนือ 7 จังหวัด อาทิ เชียงใหม่ พะเยา ภาคอีสาน 11 จังหวัด อาทิ นครราชสีมา เลย ภาคกลาง 11 จังหวัด อาทิ นนทบุรี ปทุมธานี ภาคใต้ 3 จังหวัด ภูเก็ต นครศรีธรรมราช สุราษฎร์ธานี รวมแล้ว 32 จังหวัด และมีแนวโน้มลุกลามกว่านี้ เพราะมีราคาถูกเพียง 10-20 บาท หาซื้อได้ง่าย
อย่างไรก็ตาม เพื่อเป็นการแก้ปัญหากรมฯ จะร่วมกับตำรวจในการล่อซื้อเพื่อตักเตือนผู้ขายก่อนในระยะแรกก่อนที่จะบังคับโทษตามกฎหมาย พร้อมกันนี้จะเดินหน้าโครงการรณรงค์ลดปัญหาการแพร่ระบาดของสารระเหย โดยอยู่ระหว่างการพัฒนาบาร์โค้ดสินค้าที่จัดเข้าประเภทของสารระเหย ใส่ข้อมูลคำเตือนผู้จำหน่ายทุกราย ถึงโทษของการจำหน่ายให้กับเด็ก เพื่อกระตุ้นให้ตรวจสอบอายุผู้ซื้ออย่างเข้มงวด โดยเฉพาะผู้ซื้อในรายที่เห็นได้ชัดว่าเป็นผู้เสพสารระเหยแล้วผู้ขายยังขายให้ ผู้ขายจะมีโทษถึงจำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 30,000 บาทหรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งในวันที่ 26 เม.ย.นี้จะมีการเปิดตัวการใช้บาร์โค้ดบันทึกข้อมูลเตือนห้ามจำหน่ายสารระเหยให้เด็ก
ด้าน ทพ.ศิริเกียรติ เหลียงกอบกิจ ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนการสร้างสุขภาวะและลดปัจจัยเสี่ยง รอง สสส. กล่าวว่า สารระเหยเป็นสารเสพติดที่เป็นพิษต่อระบบต่าง ๆ ของร่างกายมาก ทำลายเซลล์สมองและระบบประสาท ทำให้ผู้เสพมีอาการทางสมองและทางจิตรุนแรงได้ ซึ่งรุนแรงกว่าการเสพยาบ้า และอาจทำให้เกิดความพิการถาวร หรือกลายเป็นโรคสมองฝ่อ หากเทียบผู้เสพเฮโรอีนหรือยาบ้า เมื่อได้รับการบำบัด จะกลับมาใช้ชีวิตตามปกติได้ แต่ผู้เสพสารระเหย ต้องใช้เวลาบำบัดนานกว่า เพราะเซลล์สมองถูกทำลายจนตายไปแล้ว ไม่สามารถฟื้นฟูให้เหมือนเดิมได้ ดังนั้น การป้องกันไม่ให้มีผู้เสพจึงเป็นสิ่งที่ดีที่สุด