กำหนดการที่เปิดเผยล่วงหน้าของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ระหว่างเดินทางไปพักผ่อนที่ประเทศอังกฤษนั่นคือ การไปร่วมชมการแข่งขันฟุตบอล ของทีมลิเวอร์พูล ณ สนามแอนด์ฟิลด์
งานนี้ไม่ได้แค่มารำลึกความหลังเมื่อครั้งเศรษฐีไทยแลนด์เคยเป็นข่าวกระหึ่มโลกเจรจาซื้อหุ้นทีมดังทีมนี้เท่านั้น เพราะว่ายังมีกำหนดการควักกระเป๋าตีตั๋วเข้าสนามไปสัมผัสบรรยากาศสุดเร้าใจของพลพรรคเดอะค็อป
ไม่เพียงเท่านั้น ฯพณฯ ยังมีโอกาสได้แหกปากร่วมร้องเพลงชาติหงส์ You’ll never walk alone พร้อมๆ กับเจ้าถิ่นอีกด้วย
พลพรรคไทยรักไทยได้ตีปี๊บล่วงหน้าตั้งแต่ก่อนสงกรานต์ โดยการยืนยันอย่างแข็งขันว่า การไปพักผ่อนและยังได้ไปฟังเพลง You’ll never walk alone ถึงเมืองอังกฤษเป็นนิมิตหมายถึง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จะไม่มีวันเดินเดียวดาย จะยังมีสมัครพรรคพวกแห่แหนเป็นกำลังใจให้ตลอดไป..ว่ากันเข้าไปโน่น !
เชื่อแล้วครับว่าอาชีพขันทีนั้นมิได้มาเพราะโชคช่วย การจะเลียใครสักคนได้ทุกท่วงทำนอง เจอะอะไรปุ๊บเป็นหาแง่มุมมาเลียได้ปั๊บนั้น..ถ้าไม่เป็นพรสวรรค์อันเอกอุก็ต้องอาศัยการฝึกฝนที่พอตัวทีเดียว
การเดินทางไปต่างประเทศของคุณทักษิณงวดนี้ เชื่อได้ว่าเป็นการพักกายพักใจชาร์ตแบตให้สดชื่นกลับมาได้ระดับหนึ่ง อย่างน้อยก็ดีกว่าช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมาที่ต้องเจอแรงกดดันรุมเร้าสภาพร่างกายทรุดโทรมหน้าตาหยั่งกะผีดิบดูไม่ได้.. เผลอๆ เจ้าตัวส่องกระจกตอนเช้าอาจจะเคยตกใจร้องลั่นมาแล้วด้วยซ้ำไป
สิ่งที่น่าสนใจก็คือ ผลพวงจากการไปพักผ่อนรอบนี้มากกว่า
คุณทักษิณ ไปพักผ่อน .. แต่คุณทักษิณ พักผ่อนไม่เหมือนกับชาวบ้าน
คนที่ฝึกตัวเองให้เป็นพ่อค้ามาตลอดทั้งชีวิต บางทีการครุ่นคิดหาช่องทางกำไรเพิ่มขึ้นก็คือยาขนานเอกทำให้สมองโปร่งนอนหลับ
และคนที่เสพอำนาจมาแล้ว การคิดหาช่องทางกุมอำนาจตลอดไปก็เป็นยาขนานเอกเช่นกัน
คนทั่วไปเขาอ่านหนังสือนิยาย อ่านสารคดี อ่านหนังสือจิปาถะ แต่การพักผ่อนของคุณทักษิณ คือการอ่านหนังสือแนวฮาวทู ตำราทฤษฎีและกลยุทธ์การบริหารจัดการใหม่ๆ ที่ทำให้ตัวเองรวยขึ้น
ก็คือหนังสือที่เที่ยวไล่แนะนำเขาไปทั่วมาตลอด 5 ปีนั่นแหละ !
ไปดูฟุตบอลรอบนี้ก็เหมือนกัน .. ผมยังเชื่อว่าคุณทักษิณไปดูแบบไม่เหมือนชาวบ้านชาวช่อง
อาจจะเป็นว่า....
หนึ่ง-ไปเอาเคล็ด You’ll never walk alone ตามที่พลพรรคขันทีไทยรักไทยให้ข่าว
สอง-ไปดูการบริหารจัดการสินค้าทุนวัฒนธรรมข้ามชาติ ซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มสินค้าแห่งอนาคต เท่าๆ กับกลุ่มลอจิสติกส์ และพลังงาน
แนวคิดการซื้อลิเวอร์พูลมาจากการที่คุณทักษิณเชื่อในทฤษฎีกบกระโดด Frog-leap Development
แม้ต่อมาจะมีการปรุงใหม่ให้กลายเป็น จิงโจ้กระโดด มันก็มาจากรากเดียวกัน นั่นก็คือ แนวทางการพัฒนาทางลัดไปสู่บันไดขั้นใหม่ด้วยการเด็ดยอดสิ่งที่ก้าวหน้าที่สุดมาสวม สลัดตัวเองให้พ้นจากสิ่งแวดล้อม“ที่ยากจะเอาชนะ”
แม่แบบหนึ่งของความสำเร็จตามทฤษฎีนี้ คือนโยบายเด็ดยอดอุตสาหกรรมอวกาศและการบินของจีน ที่ตอนนี้ จีนส่งยานเฉินโจวสู่ห้วงอวกาศ และกำลังเป็นโรงงานผลิตเครื่องบินแอร์บัสของเอเซีย
ไม่เฉพาะแนวคิดการซื้อลิเวอร์พูลเท่านั้น หากสังเกตดีๆ ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมารัฐบาลกบกระโดดได้ปล่อยชุดคำพูดที่วนเวียนกับแนวคิดนี้หลายอย่าง เช่น อยากจะซื้อบริษัทรถยนต์ระดับโลกเพื่อต่อยอดอุตสาหกรรมรถยนต์ไทย ฯลฯ
แม้กระทั่งเรื่องรถไฟฟ้าสีรุ้ง และ เมกกะโปรเจกต์สูตรพิสดาร เป็นเรื่องของการมุ่งสู่ความ Modernize ในชั่วข้ามคืนก็มาจากรากทฤษฎีนี้เช่นกัน
กบกระโดด มันก็เรื่องหนึ่ง ...แต่กระโดดไปโกงไปก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
หรือแม้กระทั่งกระโดดไปลงเหว มันก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง โดยเฉพาะมีคนพูดว่า ซื้อหุ้นลิเวอร์พูลเพื่อหวังจะมีป้ายโฆษณาขายโอทอปในสนามนี่มันเป็นกบที่กระโดดถอยหลังชัดๆ
เอาเถอะ ! คุณทักษิณ จะไปดูฟุตบอลเพื่อเอาเคล็ด ไม่ให้ตัวเองอยู่ในพิกัดการโคจรข้ามราศีสู่ปีใหม่ในประเทศไทย หรือจะไปให้ฝรั่งขับกล่อมเพลง You’ll never walk alone เอาเคล็ด หรือแม้แต่ไปฟื้นความหลังครั้งเป็นหนึ่งในผู้ติดต่อซื้อหุ้นสโมสรก็ตามแต่
มันเป็นลางเนื้อชอบลางยาว่ากันไม่ได้ ก็เหมือนกับบางคนชอบอ่านหนังสือธรรมะ ชอบอ่านเรื่องของหิริโอตัปปะ อีกคนชอบอ่านฮาวทู-วิธีการเลี่ยงภาษี ไปว่ากันไม่ได้
แต่ไหนๆ ก็ไหนๆ ในเมื่อคุณทักษิณไปถึงถิ่นแอนฟิลด์ทั้งที ก็อยากจะเห็นปล่อยวางเรื่องของอำนาจและกำไรมุ่งที่จะเชียร์กีฬาอย่างสุดๆ สักที
เชียร์สุดๆ แตกต่างจากเชียร์แบบติดเหลี่ยมอย่างแน่นอน !
เผื่อจะเข้าใจว่า ทำไมซื้อลิเวอร์พูลไม่ได้
วัฒนธรรมการดูกีฬาของฝรั่งนั้นเขาวางรากเอาไว้อย่างแข็งแกร่ง ตั้งแต่เริ่มวัยอนุบาลไปจนถึงวัยใกล้เข้าโลง
คนที่ดูกีฬาเป็นส่วนใหญ่สะกดคำว่า “สปิริต” ได้คล่อง และเข้าใจความหมายของคำว่า “รู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัย” เป็นอย่างดี แฟนกีฬาเข้าเส้นเลือดเขาควักกระเป๋าไปเชียร์ การจ้างไปเชียร์ สั่งให้พ่นคำว่า “สู้ ๆ” แบบนกแก้วนกขุนทองนั้นไม่เคยมีอยู่ในสารบบ
แฟนคลับของทีมฟุตบอลแต่ละเมืองมีฐานคิดของความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของสโมสรของตนเองเต็มเปี่ยม เราจึงได้เห็นกรณีการต่อต้านมหาเศรษฐีอเมริกันที่เข้าไปฮุบหุ้นแมนยูฯ เมื่อปีกลาย รวมไปถึงการตั้งวงวิพากษ์วิจารณ์มหาเศรษฐีนักการเมืองไทยที่จู่ๆ จะเข้าไปซื้อลิเวอร์พูลโดยที่ตัวเองไม่เคยพิสูจน์ให้โลกรู้เลยว่า สนใจกีฬาฟุตบอลและเป็นแฟนคลับของสโมสรดังกล่าวมาก่อน
คุณทักษิณไปถึงอังกฤษทั้งทีน่าจะเข้าใจว่า
ของบางอย่างซื้อได้,
ของบางอย่างซื้อได้จริงแต่ก็ไม่ได้หัวใจมาครอง
และสุดท้าย.....ของบางอย่างถึงมีเงินฟาดหัวเท่าไหร่ก็ซื้อไม่ได้
ดังนั้นคำว่า You’ll never walk alone จึงไม่ได้มีความหมายเฉพาะเนื้อเพลงและตัวโน้ตกำกับเท่านั้น แต่มันหมายถึง ลมหายใจของชาวเมืองลิเวอร์พูลแฟนคลับของสโมสรอีกด้วย
การทุ่มเทใจรัก หรือ เชื่อในบางเรื่องบางสิ่ง ..รักแล้วรักเลย ทั้งเรื่องการกีฬาหรือเรื่องอื่นๆ ไม่ว่าจะเกิดเหตุการณ์ใดขึ้นทั้งหวานทั้งขมก็พร้อมจะ Walk together
ถอดเหลี่ยมทิ้งไป วางบทบาทพ่อค้าลงซะบ้าง .. ดูกีฬาแบบที่คนธรรมดาเขาดูกัน อาจจะเป็นประโยชน์กลับมาบ้างไม่มากก็น้อย
อย่างเรื่องการเมืองก็เหมือนกัน
คุณทักษิณเป็นคนเก่งมีเหลี่ยมแพรวพราว ไม่เฉพาะเรื่องของอำนาจและเรื่องของกำไรขาดทุนที่เข้าใจลึกซึ้ง ..เรื่องของอารมณ์ความรู้สึกทางการเมืองของประชาชนคุณทักษิณเองก็ชำนาญที่จะหยั่งทราบได้
แต่บังเอิญที่คุณทักษิณ ไปสนใจเฉพาะดัชนีการวัดความนิยมทางการเมืองตามสถานการณ์แบบปกติ
กรอบคิดแบบติดเหลี่ยม จะมองว่านี่คือเกมของอำนาจ ฝ่ายตรงข้ามมีกลยุทธ์เช่นนี้จะใช้มาตรการใดมาตอบโต้เพื่อเอาชนะดี ?และจะมองว่า กระแสความนิยมทางการเมืองแปรผันได้ตลอด !
จึงไม่แปลกที่มีทำโพลวัดความนิยมของตนและพรรคการเมืองตรงกันข้ามเป็นอย่างไร ที่พรรคไทยรักไทยทำกันเป็นล่ำเป็นสันตั้งแต่ตั้งพรรค และทำกันมาตลอดในสถานการณ์ปกติ
แต่ก็น่าเชื่อว่าไทยรักไทยไม่สันทัดการหยั่งถึงอารมณ์ความรู้สึกทางการเมืองในสถานการณ์ไม่ปกติ
ลองถอดเหลี่ยมมอง ใช้สายตาและอารมณ์แบบคนปกติทั่วไปเขามองกันบ้าง ท่านอาจจะพบเห็นเรื่องราวในอีกแง่มุมหนึ่ง
แง่มุมที่ว่า ถึงนาทีนี้ จะเอานิยามคำว่าความนิยมทางการเมืองบนพื้นฐานเดิมๆ มาวัดสถานการณ์ไม่ได้อีกแล้ว
เพราะถึงนาทีนี้ ได้มีปัจจัยใหม่ขึ้นมา ก็คือ ความเกลียดชังทางการเมืองของประชาชนครึ่งประเทศ ที่เกิดขึ้นมาแล้วและไม่เปลี่ยนกลับไปกลับมาเหมือนสถานการณ์การเมืองปกติ
ก็เลยน่าแปลกใจว่าผู้ใหญ่ไทยรักไทยทำไมไม่สรุปบทเรียนเลยว่า พลังประชาชนที่โตเอาๆ เป็นแสนเท่าภายใน 6 เดือนเกิดมาจากปัจจัยใด ?
ยิ่งบีบ-ยิ่งโต , ยิ่งรู้สึกไม่เป็นธรรม-ยิ่งคับแค้น มันเป็นกฎธรรมชาติ
แรงกริยาจะเท่ากับแรงปฏิกิริยาเสมอ และแรงดังกล่าวนั้นหากยังไม่ปลดปล่อยออกมาก็จะสะสมรอวันระเบิดได้
น่าเสียดายที่คุณทักษิณไปอังกฤษเสียแล้ว เลยไม่ได้รับรู้ว่าสถานการณ์บ้านเมืองระหว่างสงกรานต์ที่มีการใช้อำนาจแบบเดิมๆ มารุมบีบแบบไม่ดูตาม้าตาเรือนั้นจะนำมาสู่อะไรในบั้นปลาย
ถ้ามีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ดลใจคุณทักษิณได้อยากให้ถอดเหลี่ยมถอดวิธีคิดแบบพ่อค้า ดูกีฬาแบบที่ชาวโลกเขาดู เพื่อจะได้เข้าใจความหมายของคำว่า You’ll never walk alone
ซึ่งจะทำให้คุณทักษิณรู้ซึ้งว่า บางสิ่งบางอย่างนั้นใช้เงินฟาดหัวไม่ได้ บางอย่างนั้นใช้อำนาจมากดอย่างไรก็กดไม่ลง
เผื่อคุณทักษิณจะลองถอดเหลี่ยม-ใช้สายตาชนิดเดียวกันจากไปประสบมาที่อังกฤษ มาสำรวจตรวจสอบอารมณ์ความรู้สึกของชาวไทยในเวลานี้บ้าง จะรู้ว่า ภายใต้ผิวน้ำนิ่งนั้นข้างใต้เชี่ยวกรากเพียงใด
ก่อนภูเขาไฟระเบิด มีสัญญาณเตือนเบาๆ เท่านั้น
ถ้าดูเบาสถานการณ์เวลานี้พวกท่านจะลำบากแน่—ขอเตือน
ถึงเวลานั้นผมช่วยอะไรไม่ได้หรอก..นอกจะพยายามแต่งเพลง You’ll forever walk alone ไว้ล่วงหน้าให้ทันใช้จริงในอีกเดือนสองเดือนข้างหน้า
เผื่อจะให้คุณทักษิณเปิดฟังคลายเหงาตอนอยู่ที่ อังกฤษ หรือไม่ก็ที่ สิงคโปร์ คนเดียว !
งานนี้ไม่ได้แค่มารำลึกความหลังเมื่อครั้งเศรษฐีไทยแลนด์เคยเป็นข่าวกระหึ่มโลกเจรจาซื้อหุ้นทีมดังทีมนี้เท่านั้น เพราะว่ายังมีกำหนดการควักกระเป๋าตีตั๋วเข้าสนามไปสัมผัสบรรยากาศสุดเร้าใจของพลพรรคเดอะค็อป
ไม่เพียงเท่านั้น ฯพณฯ ยังมีโอกาสได้แหกปากร่วมร้องเพลงชาติหงส์ You’ll never walk alone พร้อมๆ กับเจ้าถิ่นอีกด้วย
พลพรรคไทยรักไทยได้ตีปี๊บล่วงหน้าตั้งแต่ก่อนสงกรานต์ โดยการยืนยันอย่างแข็งขันว่า การไปพักผ่อนและยังได้ไปฟังเพลง You’ll never walk alone ถึงเมืองอังกฤษเป็นนิมิตหมายถึง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จะไม่มีวันเดินเดียวดาย จะยังมีสมัครพรรคพวกแห่แหนเป็นกำลังใจให้ตลอดไป..ว่ากันเข้าไปโน่น !
เชื่อแล้วครับว่าอาชีพขันทีนั้นมิได้มาเพราะโชคช่วย การจะเลียใครสักคนได้ทุกท่วงทำนอง เจอะอะไรปุ๊บเป็นหาแง่มุมมาเลียได้ปั๊บนั้น..ถ้าไม่เป็นพรสวรรค์อันเอกอุก็ต้องอาศัยการฝึกฝนที่พอตัวทีเดียว
การเดินทางไปต่างประเทศของคุณทักษิณงวดนี้ เชื่อได้ว่าเป็นการพักกายพักใจชาร์ตแบตให้สดชื่นกลับมาได้ระดับหนึ่ง อย่างน้อยก็ดีกว่าช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมาที่ต้องเจอแรงกดดันรุมเร้าสภาพร่างกายทรุดโทรมหน้าตาหยั่งกะผีดิบดูไม่ได้.. เผลอๆ เจ้าตัวส่องกระจกตอนเช้าอาจจะเคยตกใจร้องลั่นมาแล้วด้วยซ้ำไป
สิ่งที่น่าสนใจก็คือ ผลพวงจากการไปพักผ่อนรอบนี้มากกว่า
คุณทักษิณ ไปพักผ่อน .. แต่คุณทักษิณ พักผ่อนไม่เหมือนกับชาวบ้าน
คนที่ฝึกตัวเองให้เป็นพ่อค้ามาตลอดทั้งชีวิต บางทีการครุ่นคิดหาช่องทางกำไรเพิ่มขึ้นก็คือยาขนานเอกทำให้สมองโปร่งนอนหลับ
และคนที่เสพอำนาจมาแล้ว การคิดหาช่องทางกุมอำนาจตลอดไปก็เป็นยาขนานเอกเช่นกัน
คนทั่วไปเขาอ่านหนังสือนิยาย อ่านสารคดี อ่านหนังสือจิปาถะ แต่การพักผ่อนของคุณทักษิณ คือการอ่านหนังสือแนวฮาวทู ตำราทฤษฎีและกลยุทธ์การบริหารจัดการใหม่ๆ ที่ทำให้ตัวเองรวยขึ้น
ก็คือหนังสือที่เที่ยวไล่แนะนำเขาไปทั่วมาตลอด 5 ปีนั่นแหละ !
ไปดูฟุตบอลรอบนี้ก็เหมือนกัน .. ผมยังเชื่อว่าคุณทักษิณไปดูแบบไม่เหมือนชาวบ้านชาวช่อง
อาจจะเป็นว่า....
หนึ่ง-ไปเอาเคล็ด You’ll never walk alone ตามที่พลพรรคขันทีไทยรักไทยให้ข่าว
สอง-ไปดูการบริหารจัดการสินค้าทุนวัฒนธรรมข้ามชาติ ซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มสินค้าแห่งอนาคต เท่าๆ กับกลุ่มลอจิสติกส์ และพลังงาน
แนวคิดการซื้อลิเวอร์พูลมาจากการที่คุณทักษิณเชื่อในทฤษฎีกบกระโดด Frog-leap Development
แม้ต่อมาจะมีการปรุงใหม่ให้กลายเป็น จิงโจ้กระโดด มันก็มาจากรากเดียวกัน นั่นก็คือ แนวทางการพัฒนาทางลัดไปสู่บันไดขั้นใหม่ด้วยการเด็ดยอดสิ่งที่ก้าวหน้าที่สุดมาสวม สลัดตัวเองให้พ้นจากสิ่งแวดล้อม“ที่ยากจะเอาชนะ”
แม่แบบหนึ่งของความสำเร็จตามทฤษฎีนี้ คือนโยบายเด็ดยอดอุตสาหกรรมอวกาศและการบินของจีน ที่ตอนนี้ จีนส่งยานเฉินโจวสู่ห้วงอวกาศ และกำลังเป็นโรงงานผลิตเครื่องบินแอร์บัสของเอเซีย
ไม่เฉพาะแนวคิดการซื้อลิเวอร์พูลเท่านั้น หากสังเกตดีๆ ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมารัฐบาลกบกระโดดได้ปล่อยชุดคำพูดที่วนเวียนกับแนวคิดนี้หลายอย่าง เช่น อยากจะซื้อบริษัทรถยนต์ระดับโลกเพื่อต่อยอดอุตสาหกรรมรถยนต์ไทย ฯลฯ
แม้กระทั่งเรื่องรถไฟฟ้าสีรุ้ง และ เมกกะโปรเจกต์สูตรพิสดาร เป็นเรื่องของการมุ่งสู่ความ Modernize ในชั่วข้ามคืนก็มาจากรากทฤษฎีนี้เช่นกัน
กบกระโดด มันก็เรื่องหนึ่ง ...แต่กระโดดไปโกงไปก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
หรือแม้กระทั่งกระโดดไปลงเหว มันก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง โดยเฉพาะมีคนพูดว่า ซื้อหุ้นลิเวอร์พูลเพื่อหวังจะมีป้ายโฆษณาขายโอทอปในสนามนี่มันเป็นกบที่กระโดดถอยหลังชัดๆ
เอาเถอะ ! คุณทักษิณ จะไปดูฟุตบอลเพื่อเอาเคล็ด ไม่ให้ตัวเองอยู่ในพิกัดการโคจรข้ามราศีสู่ปีใหม่ในประเทศไทย หรือจะไปให้ฝรั่งขับกล่อมเพลง You’ll never walk alone เอาเคล็ด หรือแม้แต่ไปฟื้นความหลังครั้งเป็นหนึ่งในผู้ติดต่อซื้อหุ้นสโมสรก็ตามแต่
มันเป็นลางเนื้อชอบลางยาว่ากันไม่ได้ ก็เหมือนกับบางคนชอบอ่านหนังสือธรรมะ ชอบอ่านเรื่องของหิริโอตัปปะ อีกคนชอบอ่านฮาวทู-วิธีการเลี่ยงภาษี ไปว่ากันไม่ได้
แต่ไหนๆ ก็ไหนๆ ในเมื่อคุณทักษิณไปถึงถิ่นแอนฟิลด์ทั้งที ก็อยากจะเห็นปล่อยวางเรื่องของอำนาจและกำไรมุ่งที่จะเชียร์กีฬาอย่างสุดๆ สักที
เชียร์สุดๆ แตกต่างจากเชียร์แบบติดเหลี่ยมอย่างแน่นอน !
เผื่อจะเข้าใจว่า ทำไมซื้อลิเวอร์พูลไม่ได้
วัฒนธรรมการดูกีฬาของฝรั่งนั้นเขาวางรากเอาไว้อย่างแข็งแกร่ง ตั้งแต่เริ่มวัยอนุบาลไปจนถึงวัยใกล้เข้าโลง
คนที่ดูกีฬาเป็นส่วนใหญ่สะกดคำว่า “สปิริต” ได้คล่อง และเข้าใจความหมายของคำว่า “รู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัย” เป็นอย่างดี แฟนกีฬาเข้าเส้นเลือดเขาควักกระเป๋าไปเชียร์ การจ้างไปเชียร์ สั่งให้พ่นคำว่า “สู้ ๆ” แบบนกแก้วนกขุนทองนั้นไม่เคยมีอยู่ในสารบบ
แฟนคลับของทีมฟุตบอลแต่ละเมืองมีฐานคิดของความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของสโมสรของตนเองเต็มเปี่ยม เราจึงได้เห็นกรณีการต่อต้านมหาเศรษฐีอเมริกันที่เข้าไปฮุบหุ้นแมนยูฯ เมื่อปีกลาย รวมไปถึงการตั้งวงวิพากษ์วิจารณ์มหาเศรษฐีนักการเมืองไทยที่จู่ๆ จะเข้าไปซื้อลิเวอร์พูลโดยที่ตัวเองไม่เคยพิสูจน์ให้โลกรู้เลยว่า สนใจกีฬาฟุตบอลและเป็นแฟนคลับของสโมสรดังกล่าวมาก่อน
คุณทักษิณไปถึงอังกฤษทั้งทีน่าจะเข้าใจว่า
ของบางอย่างซื้อได้,
ของบางอย่างซื้อได้จริงแต่ก็ไม่ได้หัวใจมาครอง
และสุดท้าย.....ของบางอย่างถึงมีเงินฟาดหัวเท่าไหร่ก็ซื้อไม่ได้
ดังนั้นคำว่า You’ll never walk alone จึงไม่ได้มีความหมายเฉพาะเนื้อเพลงและตัวโน้ตกำกับเท่านั้น แต่มันหมายถึง ลมหายใจของชาวเมืองลิเวอร์พูลแฟนคลับของสโมสรอีกด้วย
การทุ่มเทใจรัก หรือ เชื่อในบางเรื่องบางสิ่ง ..รักแล้วรักเลย ทั้งเรื่องการกีฬาหรือเรื่องอื่นๆ ไม่ว่าจะเกิดเหตุการณ์ใดขึ้นทั้งหวานทั้งขมก็พร้อมจะ Walk together
ถอดเหลี่ยมทิ้งไป วางบทบาทพ่อค้าลงซะบ้าง .. ดูกีฬาแบบที่คนธรรมดาเขาดูกัน อาจจะเป็นประโยชน์กลับมาบ้างไม่มากก็น้อย
อย่างเรื่องการเมืองก็เหมือนกัน
คุณทักษิณเป็นคนเก่งมีเหลี่ยมแพรวพราว ไม่เฉพาะเรื่องของอำนาจและเรื่องของกำไรขาดทุนที่เข้าใจลึกซึ้ง ..เรื่องของอารมณ์ความรู้สึกทางการเมืองของประชาชนคุณทักษิณเองก็ชำนาญที่จะหยั่งทราบได้
แต่บังเอิญที่คุณทักษิณ ไปสนใจเฉพาะดัชนีการวัดความนิยมทางการเมืองตามสถานการณ์แบบปกติ
กรอบคิดแบบติดเหลี่ยม จะมองว่านี่คือเกมของอำนาจ ฝ่ายตรงข้ามมีกลยุทธ์เช่นนี้จะใช้มาตรการใดมาตอบโต้เพื่อเอาชนะดี ?และจะมองว่า กระแสความนิยมทางการเมืองแปรผันได้ตลอด !
จึงไม่แปลกที่มีทำโพลวัดความนิยมของตนและพรรคการเมืองตรงกันข้ามเป็นอย่างไร ที่พรรคไทยรักไทยทำกันเป็นล่ำเป็นสันตั้งแต่ตั้งพรรค และทำกันมาตลอดในสถานการณ์ปกติ
แต่ก็น่าเชื่อว่าไทยรักไทยไม่สันทัดการหยั่งถึงอารมณ์ความรู้สึกทางการเมืองในสถานการณ์ไม่ปกติ
ลองถอดเหลี่ยมมอง ใช้สายตาและอารมณ์แบบคนปกติทั่วไปเขามองกันบ้าง ท่านอาจจะพบเห็นเรื่องราวในอีกแง่มุมหนึ่ง
แง่มุมที่ว่า ถึงนาทีนี้ จะเอานิยามคำว่าความนิยมทางการเมืองบนพื้นฐานเดิมๆ มาวัดสถานการณ์ไม่ได้อีกแล้ว
เพราะถึงนาทีนี้ ได้มีปัจจัยใหม่ขึ้นมา ก็คือ ความเกลียดชังทางการเมืองของประชาชนครึ่งประเทศ ที่เกิดขึ้นมาแล้วและไม่เปลี่ยนกลับไปกลับมาเหมือนสถานการณ์การเมืองปกติ
ก็เลยน่าแปลกใจว่าผู้ใหญ่ไทยรักไทยทำไมไม่สรุปบทเรียนเลยว่า พลังประชาชนที่โตเอาๆ เป็นแสนเท่าภายใน 6 เดือนเกิดมาจากปัจจัยใด ?
ยิ่งบีบ-ยิ่งโต , ยิ่งรู้สึกไม่เป็นธรรม-ยิ่งคับแค้น มันเป็นกฎธรรมชาติ
แรงกริยาจะเท่ากับแรงปฏิกิริยาเสมอ และแรงดังกล่าวนั้นหากยังไม่ปลดปล่อยออกมาก็จะสะสมรอวันระเบิดได้
น่าเสียดายที่คุณทักษิณไปอังกฤษเสียแล้ว เลยไม่ได้รับรู้ว่าสถานการณ์บ้านเมืองระหว่างสงกรานต์ที่มีการใช้อำนาจแบบเดิมๆ มารุมบีบแบบไม่ดูตาม้าตาเรือนั้นจะนำมาสู่อะไรในบั้นปลาย
ถ้ามีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ดลใจคุณทักษิณได้อยากให้ถอดเหลี่ยมถอดวิธีคิดแบบพ่อค้า ดูกีฬาแบบที่ชาวโลกเขาดู เพื่อจะได้เข้าใจความหมายของคำว่า You’ll never walk alone
ซึ่งจะทำให้คุณทักษิณรู้ซึ้งว่า บางสิ่งบางอย่างนั้นใช้เงินฟาดหัวไม่ได้ บางอย่างนั้นใช้อำนาจมากดอย่างไรก็กดไม่ลง
เผื่อคุณทักษิณจะลองถอดเหลี่ยม-ใช้สายตาชนิดเดียวกันจากไปประสบมาที่อังกฤษ มาสำรวจตรวจสอบอารมณ์ความรู้สึกของชาวไทยในเวลานี้บ้าง จะรู้ว่า ภายใต้ผิวน้ำนิ่งนั้นข้างใต้เชี่ยวกรากเพียงใด
ก่อนภูเขาไฟระเบิด มีสัญญาณเตือนเบาๆ เท่านั้น
ถ้าดูเบาสถานการณ์เวลานี้พวกท่านจะลำบากแน่—ขอเตือน
ถึงเวลานั้นผมช่วยอะไรไม่ได้หรอก..นอกจะพยายามแต่งเพลง You’ll forever walk alone ไว้ล่วงหน้าให้ทันใช้จริงในอีกเดือนสองเดือนข้างหน้า
เผื่อจะให้คุณทักษิณเปิดฟังคลายเหงาตอนอยู่ที่ อังกฤษ หรือไม่ก็ที่ สิงคโปร์ คนเดียว !