ผู้จัดการรายวัน - “เจ๊แดง” บีบน้ำตาตัดพ้อลูกถูกดึงมาเอี่ยวข้อกล่าวหาร่ำรวยผิดปกติ เสียงแข็งพร้อมให้ตรวจสอบ ติงแต่การเมืองต้องมีคุณธรรม “อลงกรณ์” ต้องเป็นสุภาพบุรุษ อย่าจับผิด “โกงเพื่อลูก” แนะควรไปถามเมียดูบ้างว่าหากครอบครัวถูกรังแกจะรู้สึกอย่างไร ขณะที่ “สามีเจ๊แดง” ถึงอึกอัก อ้างรู้ไม่จริงเอามาพูดเจอฟ้องแน่ ด้าน “อลงกรณ์” ยันไม่ได้กลั่นแกล้ง เตรียมหารือ เลขาฯปปง.หาช่องกฎหมายเล่นงาน แฉร่ำรวยผิดปกติโยงประมูลระบบซอฟท์แวร์สำเร็จรูป ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค
นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ รองหัวหน้าพรรคไทยรักไทย ให้สัมภาษณ์ ด้วยสีหน้าไม่สู้ดึถึงกรณีที่ นายอลงกรณ์ พลบุตร รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ คณะทำงานปราบปรามการคอร์รัปชั่นพรรคประชาธิปัตย์ เข้ายื่นหนังสือต่อ นายศราวุธ เมนะเศวต เลขาธิการ ป.ป.ช.เพื่อขอข้อมูลบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของนางเยาวภา และนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ปลัดกระทรวงแรงงาน เพื่อนำไปเป็นส่วนประกอบในการจัดทำรายงานการสอบสวนเรื่องการร่ำรวยผิดปกติ ว่า รู้สึกยินดีที่จะให้มีการตรวจสอบ เนื่องจากเป็นนักการเมืองคนหนึ่ง ระบบการตรวจสอบเป็นเรื่องที่จะต้องทำ แต่ขอให้มีความสุจริตในการตรวจสอบ อย่าได้เลือกปฏิบัติและต้องมีความเป็น สุภาพบุรุษ อย่าทำลายความน่าเชื่อถือของนายกรัฐมนตรี ไม่ใช่เลือกตรวจสอบเฉพาะรัฐบาล อย่าเกาะกระแส แต่อย่าลืมไปตรวจสอบบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย (บรส.)ด้วย
“ในฐานะเป็นนักการเมืองคนหนึ่งเป็นรุ่นน้องของคุณอลงกรณ์ ดิฉันคิดว่า ถ้าคุณอลงกรณ์เป็นสุภาพบุรุษ อย่านำครอบครัวดิฉันเข้าไปยุ่งเกี่ยวเพราะจะไม่เป็นธรรมกับลูกของดิฉันเพราะลูกยังเป็นเด็กไม่ทราบอะไร เราไม่ควรเอาการเมือง เข้าไปแปดเปื้อน ถ้าอย่างไรอยากให้คุณอลงกรณ์ไปถามคุณคมคาย พลบุตร ภริยาว่าถ้ามีคนกล่าวหา ลูกของคุณคมคายอย่างไม่เป็นธรรมและพูดไปโดยไม่มี ข้อมูลคุณคมคาย จะรู้สึกอย่างไรและลูกนางคมคายจะรู้สึกอย่างไรบ้าง” นางเยาวภา กล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือและน้ำคลอเบ้า
ผู้สื่อข่าวถามว่า รู้สึกอย่างไรกับการที่นายอลงกรณ์มาตรวจสอบช่วงนี้ นางเยาวภา ยิ้มๆ ก่อนกล่าวว่า ช่วงนี้อากาศมันร้อนจัด การเมืองจะต้องมีคุณธรรม จริยธรรม อย่าเกาะกระแสดีกว่า การเมืองเป็นเรื่องที่ดี เป็นเรื่องของคนอาสา มาทำงานให้กับบ้านเมือง ไม่ใช่มาจ้องทำลายคนข้างๆ ให้ตายตามกัน การเมืองแบบนี้ มันโหดร้ายเพราะคนดีๆ ต้องการเข้ามาทำงานการเมืองมาก อยากเสียสละทำงาน แต่เมื่อถูกดึงเข้ามาแปดเปื้อนในสิ่งที่ไม่มีความเป็นธรรม และบางทีการกล่าวหา เมื่อมีการพิสูจน์ออกมาแล้วว่าเขาไม่ผิด สังคมก็ไม่เข้าใจ ดังนั้น การที่จะกล่าวหากัน ถ้าหากเอาตามกระบวนการ ตนยินดีมากที่จะให้ตรวจสอบ เพราะตนเชื่อมั่นในความสุจริตของตัวเอง
ส่วนจะมีการฟ้องร้องกลับหรือไม่ นางเยาวภา กล่าวว่า คงต้องดูก่อนเพราะแต่จริงๆ แล้วไม่อยากไปเอาเรื่องกับใคร หากนายอลงกรณ์สุจริตใจและมีความเป็น สุภาพบุรุษพอตรงไปตรงมา ตนยินดี
ผู้สื่อข่าวถามว่าได้มีการคุยกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นพี่ชายหรือไม่ นางเยาวภา กล่าวว่า ไม่ได้คุย เพราะตนมั่นใจ ให้นายอลงกรณ์ ดำเนินการตรวจสอบ แต่อย่าไปทำลายความน่าเชื่อถือ เนื่องจากเราเป็นนักการเมือง ก็ต้องยินดีให้ตรวจสอบ เพราะไม่เช่นนั้นเราคงไม่อาสาประชาชนมาทำงาน
อย่างไรก็ตามเมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงการ โอนหุ้นให้กับลักในช่วงที่ผ่านมา นางเยาวภา ปฏิเสธที่จะตอบคำถามนี้ โดยกล่าวว่า “ดิฉันคิดว่าไม่จำเป็นต้องตอบ ดิฉะนันจะไปตอบที่ ป.ป.ช.”
ส่วนนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ปลัดกระทรวงแรงงาน ให้สัมภาษณ์ด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกักถึงข้อกล่าวหาร่ำรวยผิดปกติงว่า “เอ่อ ..คือว่าเรื่องนี้ เอ่อ ไม่มีอะไรเลย สิ่งที่นายอลงกรณ์พูดเพื่อขอตรวจ สอบทรัพย์สินของครอบครัวผมถือว่าเป็นเรื่องปกติ สามารถทำได้ เนื่องจากผมและภรรยา เป็นบุคคลสาธารณะอยู่แล้ว อีกทั้งที่ผ่านมา ครอบครัวผมได้ยื่นแสดงรายการบัญชีทรัพย์สิน ถูกต้องตามกฎหมายทุกอย่าง จึงไม่รู้สึกหวั่นไหว แต่บางครั้งการที่นายอลงกรณ์ได้รับ ข้อมูลไม่ถูกต้อง แล้วพูดโดยไม่รู้จริงได้ทำให้เราเสียหายไปแล้ว ตรงนี้อาจจะฟ้องร้องกลับก็ ได้ ขอหารือกับภรรยาและฝ่ายกฎหมายก่อน”
ขณะที่ นายอลงกรณ์ พลบุตร กล่าวว่าในวันที่12 เม.ย. เวลา 10.00น. จะเดินทางไปพบกับพ.ต.อ.ยุทธบูล ดิสสะมาน รักษาการณ์เลขาธิการ ปปง. เพื่อหารือข้อกฎหมาย ภายใต้พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน กรณีถ้าหากมีพฤติกรรมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐส่อว่าจะมีการยักย้ายถ่ายเททรัพย์สินอันเกิดขึ้นจากการทุจริตในตำแหน่งหน้าที่ หรือความร่ำรวยผิดปกติในระหว่างดำรงตำแหน่งเพื่อเตรียมพร้อมยื่นหลักฐานในส่วนของ ป.ป.ช.และ ปปง. โดยการตรวจสอบความมีอยู่จริงและความร่ำรวยผิดปกติ ของนางเยาวภา ซึ่งการตรวจสอบดังกล่าวจะยึดถือหลักความเป็นธรรมและหลักของข้อเท็จจริงบนพื้นฐานความสุจริตใจ ดังนั้นนางเยาวภา และนายสมชาย ไม่ต้องกังวลใจและเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องส่วนตัวการตรวจสอบเป็นไปตามหลักฐานของทางราชการและข้อเท็จจริง
“ไม่ได้ประสงค์กลั่นแกล้งหรือพาดพิงบุตรชาย บุตรสาว และทั้ง 3คน ก็บรรลุนิติภาวะหมดแล้วและเป็นกรรมการ เป็นหุ้นส่วนถือครองหุ้นในหลายกิจการและหากข้อเท็จจริงไม่ได้เกี่ยวข้องถึงผมก็จะไม่มีการกล่าวถึงเป็นอันขาด ผมเชื่อว่า การดำเนินการดังกล่าวเป็นไปตามหน้าที่ของเราซึ่งจะทำอย่างต่อเนื่อง”
ส่วรกรณีหนึ่งที่จะโยงให้เห็นถึงการประมวลหลักฐานทั้งหลายคือการใช้อำนาจรัฐให้ได้มา ซึ่งการประมูลงานในโครงการใหญ่ๆ และมีบริษัทที่เกี่ยวข้องกับเครือญาติ นายกฯชนะการประมูลแบบมีเงื่อนงำ เช่นการประมูลระบบซอฟท์แวร์สำเร็จรูป ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ที่มีการลงนามไปเมื่อมีนาคม 2547 มูลค่า 3,192 ล้านบาท ซึ่งบริษัทที่ชนะการประมูลคือ บริษัท ของ นางมณฑาทิพย์ โกวิทย์เจริญกุล น้องสาวนายกฯ และบริษัท เอ็มลิงค์ ที่ครอบครัว “วงศ์สวัสดิ์” เป็นผู้ถือหุ้น ซึ่งในวันที่ 17 เม.ย.นี้จะไปยื่นหลักฐานส่วนหนึ่งสำหรับการประมูลโครงการดังกล่าวให้กับ คุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา ผู้ว่าฯ สตง. เพราะการตรวจสอบดังกล่าวเราต้องการจะให้ความเป็นธรรมและให้เกิดผลในทางตรวจสอบ ดังนั้นจึงต้องมีหน่วยงานเข้ามาเกี่ยวข้อง
นอกจากนี้ยังมีหลักฐานบางส่วนคือการซุกทรัพย์สินหรือการถ่ายเททรัพย์สินไปยังบุตรสาว บุตรชายเช่นการเข้าไปเทคโอเวอร์ บริษัท ทราฟฟิก คอร์เนอร์ โฮลดิงส์ จำนวน420 ล้านบาท ซึ่งปรากฎว่ากรรมการผู้จัดการได้ยอมรับต่อ สื่อมวลชนว่าหุ้นดังกล่าวเป็นของ นางเยาวภา แต่ชื่อผู้ถือครองหุ้นเป็นชื่อของบุตรสาว และบุตรชาย อย่างนี้จะเข้าข่ายหรือไม่
อย่างไรก็ตามยืนยันว่าทุกอย่างอยู่บนพื้นฐานความเป็นธรรมและสุดท้าย หน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็จะเป็นผู้วินิจฉัยทั้ง ป.ป.ช. , ปปง. และ สตง. และภายใน2สัปดาห์จะประมวลหลักฐานที่เกี่ยวข้องกว่า 20 บริษัทและการประมูลต่างๆ ที่น่าสงสัยว่า จะเป็นช่องทางการแสวงหาผลประโยชน์และรายได้ที่เกี่ยวข้องกับการใช้อำนาจรัฐ หรืองบประมาณรัฐ
นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ รองหัวหน้าพรรคไทยรักไทย ให้สัมภาษณ์ ด้วยสีหน้าไม่สู้ดึถึงกรณีที่ นายอลงกรณ์ พลบุตร รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ คณะทำงานปราบปรามการคอร์รัปชั่นพรรคประชาธิปัตย์ เข้ายื่นหนังสือต่อ นายศราวุธ เมนะเศวต เลขาธิการ ป.ป.ช.เพื่อขอข้อมูลบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของนางเยาวภา และนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ปลัดกระทรวงแรงงาน เพื่อนำไปเป็นส่วนประกอบในการจัดทำรายงานการสอบสวนเรื่องการร่ำรวยผิดปกติ ว่า รู้สึกยินดีที่จะให้มีการตรวจสอบ เนื่องจากเป็นนักการเมืองคนหนึ่ง ระบบการตรวจสอบเป็นเรื่องที่จะต้องทำ แต่ขอให้มีความสุจริตในการตรวจสอบ อย่าได้เลือกปฏิบัติและต้องมีความเป็น สุภาพบุรุษ อย่าทำลายความน่าเชื่อถือของนายกรัฐมนตรี ไม่ใช่เลือกตรวจสอบเฉพาะรัฐบาล อย่าเกาะกระแส แต่อย่าลืมไปตรวจสอบบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย (บรส.)ด้วย
“ในฐานะเป็นนักการเมืองคนหนึ่งเป็นรุ่นน้องของคุณอลงกรณ์ ดิฉันคิดว่า ถ้าคุณอลงกรณ์เป็นสุภาพบุรุษ อย่านำครอบครัวดิฉันเข้าไปยุ่งเกี่ยวเพราะจะไม่เป็นธรรมกับลูกของดิฉันเพราะลูกยังเป็นเด็กไม่ทราบอะไร เราไม่ควรเอาการเมือง เข้าไปแปดเปื้อน ถ้าอย่างไรอยากให้คุณอลงกรณ์ไปถามคุณคมคาย พลบุตร ภริยาว่าถ้ามีคนกล่าวหา ลูกของคุณคมคายอย่างไม่เป็นธรรมและพูดไปโดยไม่มี ข้อมูลคุณคมคาย จะรู้สึกอย่างไรและลูกนางคมคายจะรู้สึกอย่างไรบ้าง” นางเยาวภา กล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือและน้ำคลอเบ้า
ผู้สื่อข่าวถามว่า รู้สึกอย่างไรกับการที่นายอลงกรณ์มาตรวจสอบช่วงนี้ นางเยาวภา ยิ้มๆ ก่อนกล่าวว่า ช่วงนี้อากาศมันร้อนจัด การเมืองจะต้องมีคุณธรรม จริยธรรม อย่าเกาะกระแสดีกว่า การเมืองเป็นเรื่องที่ดี เป็นเรื่องของคนอาสา มาทำงานให้กับบ้านเมือง ไม่ใช่มาจ้องทำลายคนข้างๆ ให้ตายตามกัน การเมืองแบบนี้ มันโหดร้ายเพราะคนดีๆ ต้องการเข้ามาทำงานการเมืองมาก อยากเสียสละทำงาน แต่เมื่อถูกดึงเข้ามาแปดเปื้อนในสิ่งที่ไม่มีความเป็นธรรม และบางทีการกล่าวหา เมื่อมีการพิสูจน์ออกมาแล้วว่าเขาไม่ผิด สังคมก็ไม่เข้าใจ ดังนั้น การที่จะกล่าวหากัน ถ้าหากเอาตามกระบวนการ ตนยินดีมากที่จะให้ตรวจสอบ เพราะตนเชื่อมั่นในความสุจริตของตัวเอง
ส่วนจะมีการฟ้องร้องกลับหรือไม่ นางเยาวภา กล่าวว่า คงต้องดูก่อนเพราะแต่จริงๆ แล้วไม่อยากไปเอาเรื่องกับใคร หากนายอลงกรณ์สุจริตใจและมีความเป็น สุภาพบุรุษพอตรงไปตรงมา ตนยินดี
ผู้สื่อข่าวถามว่าได้มีการคุยกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นพี่ชายหรือไม่ นางเยาวภา กล่าวว่า ไม่ได้คุย เพราะตนมั่นใจ ให้นายอลงกรณ์ ดำเนินการตรวจสอบ แต่อย่าไปทำลายความน่าเชื่อถือ เนื่องจากเราเป็นนักการเมือง ก็ต้องยินดีให้ตรวจสอบ เพราะไม่เช่นนั้นเราคงไม่อาสาประชาชนมาทำงาน
อย่างไรก็ตามเมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงการ โอนหุ้นให้กับลักในช่วงที่ผ่านมา นางเยาวภา ปฏิเสธที่จะตอบคำถามนี้ โดยกล่าวว่า “ดิฉันคิดว่าไม่จำเป็นต้องตอบ ดิฉะนันจะไปตอบที่ ป.ป.ช.”
ส่วนนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ปลัดกระทรวงแรงงาน ให้สัมภาษณ์ด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกักถึงข้อกล่าวหาร่ำรวยผิดปกติงว่า “เอ่อ ..คือว่าเรื่องนี้ เอ่อ ไม่มีอะไรเลย สิ่งที่นายอลงกรณ์พูดเพื่อขอตรวจ สอบทรัพย์สินของครอบครัวผมถือว่าเป็นเรื่องปกติ สามารถทำได้ เนื่องจากผมและภรรยา เป็นบุคคลสาธารณะอยู่แล้ว อีกทั้งที่ผ่านมา ครอบครัวผมได้ยื่นแสดงรายการบัญชีทรัพย์สิน ถูกต้องตามกฎหมายทุกอย่าง จึงไม่รู้สึกหวั่นไหว แต่บางครั้งการที่นายอลงกรณ์ได้รับ ข้อมูลไม่ถูกต้อง แล้วพูดโดยไม่รู้จริงได้ทำให้เราเสียหายไปแล้ว ตรงนี้อาจจะฟ้องร้องกลับก็ ได้ ขอหารือกับภรรยาและฝ่ายกฎหมายก่อน”
ขณะที่ นายอลงกรณ์ พลบุตร กล่าวว่าในวันที่12 เม.ย. เวลา 10.00น. จะเดินทางไปพบกับพ.ต.อ.ยุทธบูล ดิสสะมาน รักษาการณ์เลขาธิการ ปปง. เพื่อหารือข้อกฎหมาย ภายใต้พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน กรณีถ้าหากมีพฤติกรรมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐส่อว่าจะมีการยักย้ายถ่ายเททรัพย์สินอันเกิดขึ้นจากการทุจริตในตำแหน่งหน้าที่ หรือความร่ำรวยผิดปกติในระหว่างดำรงตำแหน่งเพื่อเตรียมพร้อมยื่นหลักฐานในส่วนของ ป.ป.ช.และ ปปง. โดยการตรวจสอบความมีอยู่จริงและความร่ำรวยผิดปกติ ของนางเยาวภา ซึ่งการตรวจสอบดังกล่าวจะยึดถือหลักความเป็นธรรมและหลักของข้อเท็จจริงบนพื้นฐานความสุจริตใจ ดังนั้นนางเยาวภา และนายสมชาย ไม่ต้องกังวลใจและเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องส่วนตัวการตรวจสอบเป็นไปตามหลักฐานของทางราชการและข้อเท็จจริง
“ไม่ได้ประสงค์กลั่นแกล้งหรือพาดพิงบุตรชาย บุตรสาว และทั้ง 3คน ก็บรรลุนิติภาวะหมดแล้วและเป็นกรรมการ เป็นหุ้นส่วนถือครองหุ้นในหลายกิจการและหากข้อเท็จจริงไม่ได้เกี่ยวข้องถึงผมก็จะไม่มีการกล่าวถึงเป็นอันขาด ผมเชื่อว่า การดำเนินการดังกล่าวเป็นไปตามหน้าที่ของเราซึ่งจะทำอย่างต่อเนื่อง”
ส่วรกรณีหนึ่งที่จะโยงให้เห็นถึงการประมวลหลักฐานทั้งหลายคือการใช้อำนาจรัฐให้ได้มา ซึ่งการประมูลงานในโครงการใหญ่ๆ และมีบริษัทที่เกี่ยวข้องกับเครือญาติ นายกฯชนะการประมูลแบบมีเงื่อนงำ เช่นการประมูลระบบซอฟท์แวร์สำเร็จรูป ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ที่มีการลงนามไปเมื่อมีนาคม 2547 มูลค่า 3,192 ล้านบาท ซึ่งบริษัทที่ชนะการประมูลคือ บริษัท ของ นางมณฑาทิพย์ โกวิทย์เจริญกุล น้องสาวนายกฯ และบริษัท เอ็มลิงค์ ที่ครอบครัว “วงศ์สวัสดิ์” เป็นผู้ถือหุ้น ซึ่งในวันที่ 17 เม.ย.นี้จะไปยื่นหลักฐานส่วนหนึ่งสำหรับการประมูลโครงการดังกล่าวให้กับ คุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา ผู้ว่าฯ สตง. เพราะการตรวจสอบดังกล่าวเราต้องการจะให้ความเป็นธรรมและให้เกิดผลในทางตรวจสอบ ดังนั้นจึงต้องมีหน่วยงานเข้ามาเกี่ยวข้อง
นอกจากนี้ยังมีหลักฐานบางส่วนคือการซุกทรัพย์สินหรือการถ่ายเททรัพย์สินไปยังบุตรสาว บุตรชายเช่นการเข้าไปเทคโอเวอร์ บริษัท ทราฟฟิก คอร์เนอร์ โฮลดิงส์ จำนวน420 ล้านบาท ซึ่งปรากฎว่ากรรมการผู้จัดการได้ยอมรับต่อ สื่อมวลชนว่าหุ้นดังกล่าวเป็นของ นางเยาวภา แต่ชื่อผู้ถือครองหุ้นเป็นชื่อของบุตรสาว และบุตรชาย อย่างนี้จะเข้าข่ายหรือไม่
อย่างไรก็ตามยืนยันว่าทุกอย่างอยู่บนพื้นฐานความเป็นธรรมและสุดท้าย หน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็จะเป็นผู้วินิจฉัยทั้ง ป.ป.ช. , ปปง. และ สตง. และภายใน2สัปดาห์จะประมวลหลักฐานที่เกี่ยวข้องกว่า 20 บริษัทและการประมูลต่างๆ ที่น่าสงสัยว่า จะเป็นช่องทางการแสวงหาผลประโยชน์และรายได้ที่เกี่ยวข้องกับการใช้อำนาจรัฐ หรืองบประมาณรัฐ