กกต กำหนดเลือกตั้งใหม่ 39 เขต 23 เม.ย.เปิดรับสมัคร 8-9 เม.ย.ให้โอกาสทุกพรรคได้แข่งขัน เชื่อถึงเวลาครบ 30 วันไม่เจอทางตัน ได้ส.ส.ไม่ครบ 500 จนเปิดสภาครั้งแรกไม่ได้ ชท.โวยกกต.ยอมเป็นเครื่องมือพรรคการเมืองที่ยอมเปิดสมัครใหม่ ด้านพีเน็ต บุกยื่นกกต.ทบทวนจัดคูหากลับไปเหมือนเดิม ชี้หากดึงดันแบบใหม่เท่ากับส่งเสริมการทุจริตเลือกตั้ง "แก้วสรร"ซัดการลากตั้งไม่ชอบธรรมผิดตั้งแต่ยุบสภา ชี้เป็นการสถาปนาระบอบประธานาธิบดี
เมื่อเวลา 14.00 น.วานนี้ (4 เม.ย.)ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มูลนิธิองค์กรกลางเพื่อประชาธิปไตยเครือข่ายประชาชน (พีเน็ต) นำโดยพล.อ.อ.สายหยุด เกิดผล ประธานองค์กรกลาง นายสมชัย ศรีสุทธิยากร ผู้ประสานงาน เดินทางมายื่นหนังสือต่อ พล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ ประธาน กกต.เพื่อเรียกร้องให้กกต.ทบทวนการจัดคูหาลงคะแนนเลือกตั้ง โดยให้กลับไปจัดคูหาแบบเดิม การติดรูปผู้สมัครไว้ด้านบนคูหาที่หลายฝ่ายมองว่าเป็นการชี้นำ การเปลี่ยนช่องผู้ประสงค์ลงคะแนนในบัตรเลือกตั้งไปไว้ด้านล่าง รวมทั้งขอให้องค์กรกลางเข้ามามีส่วนร่วมในการตรวจสอบการเลือกตั้ง
โดยพล.อ.อ.สายหยุด กล่าวว่า ตามที่กกต.ได้จัดให้มีการจัดคูหาเลือกตั้งใหม่ โดยให้หันหลังออก ทำให้การลงคะแนนไม่เป็นความลับ และไม่ได้คำนึงถึงความปลอดภัยของผู้ใช้สิทธิ ทั้งที่รัฐธรรมนูญมาตรา 104 ระบุให้การใช้สิทธิเลือกตั้งนั้นเป็นความลับ แต่เรากลับทำกันเป็นเรื่องเล่นๆ
นอกจากนี้ยังมีประเด็นปัญหาอีกหลายประเด็นที่ผู้มาใช้สิทธิไม่สบายใจ เช่น กรณีการตั้งตัวแทนพรรคการเมืองเข้าร่วมเป็นกรรมการประจำหน่วยเลือกตั้ง (กปน.) ขณะเดียวกันกลับไม่ให้องค์กรกลางฯ เข้าร่วมตรวจสอบการเลือกตั้ง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากนั้นได้มีการฉายวีดีโอซีดีการลงคะแนนของคุณหญิงณัฐนนท์ ทวีสิน ปลัดกทม. คุณหญิง พจมาน ชินวัตร ภริยาพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และนายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ ซึ่งมีการซูมกล้องเข้าไปทางด้านหลัง จนสามารถทราบได้ว่าทั้ง 3ลงคะแนนให้ใคร โดยนายสมชัย กล่าวว่า ภาพในซีดีสะท้อนให้เห็นชัดเจนว่า การจัดคูหาดังกล่าวทำให้ประชาชนไม่สามารถใช้สิทธิได้อย่างเสรีภาพ ไม่เป็นการลงคะแนนโดยลับ ตามมาตรา 104 ของรัฐธรรมนูญ หาก กกต. ยังจัดคูหาลักษณะนี้เกรงว่าจะเป็นการส่งเสริมให้ทุจริตการเลือกตั้งมากกว่าแบบเดิม
จากนั้น นายสมชัย ได้สอบถามว่า กกต.หรือเป็นระดับเจ้าหน้าที่ที่เสนอเปลี่ยนการจัดคูหามาเป็นเช่นนี้ และนำตัวอย่างมาจากที่ใด ซึ่งนายบุญเกียรติ รักชาติเจริญ รองผอ.สำนักบริหารการเลือกตั้ง กล่าวชี้แจงว่า เป็นการเสนอในระดับเจ้าหน้าที่ โดยไปศึกษาดูงานจากญี่ปุ่นและออสเตรเลีย และนำมาใช้ครั้งแรกในการเลือกตั้งองค์การบริหารส่วนตำบล 3 พันกว่าแห่ง โดยเห็นว่านอกจากจะเป็นการอำนวยความสะดวกให้กับผู้มาใช้สิทธิแล้ว ตัวคูหาก็ยังสามารถปกปิดการลงคะแนนให้ผู้อื่นไม่สามารถรู้ได้ว่าผู้มาใช้สิทธิกากบาทหมายเลขใด
นอกจากนี้ยังเห็นว่า กกต.ไม่มีการให้ข้อมูลเกี่ยวกับการเลือกตั้งกับประชาชนเท่าที่ควร เว็บไซด์ของกกต.ก็ไม่เป็นปัจจุบัน การนับคะแนนยังไม่แล้วเสร็จ แต่นายกฯ ก็กลับมีข้อมูลว่าพรรคไทยรักไทยได้ปาร์ตี้ลิสต์ 16 ล้านเสียง
ขณะที่ พล.ต.อ.วาสนา กล่าวว่า ดีใจที่ทางองค์กรกลางมาเสนอข้อมูลและข้อเสนอแนะต่างๆ ที่มีเจตนาดีไม่ได้มุ่งร้ายเหมือนบางคนบางกลุ่ม ที่ไม่เคยศึกษาข้อกฎหมายเลย ดีแต่วิจารณ์อย่างเดียว เรื่องการจัดคูหานั้น ยืนยันว่า กกต.คิดถึงหลักการรักษาความลับของผู้ลงคะแนนเสมอ แต่ภาพในซีดีที่นำมาให้ดูก็บ่งชี้ว่าเป็นความพยายามที่จะซูมกล้องลอดใต้แขนผู้ใช้สิทธิไปค่อยจ้องดู สอดรู้สอดเห็น ซึ่งในวันเลือกตั้งตนไปใช้สิทธิและตรวจดูหน่วยเลือกตั้งหลายแห่ง ก็ไม่เห็นจะมีใครมาคอยส่อง ดังนั้นเรื่องลับหรือไม่ลับ ถ้าคนในสังคมไม่คอยไปอยากรู้อยากเห็น ให้จัดคูหาอย่างไร ก็ไม่เป็นปัญหา วันนี้สังคมไทยไร้ระเบียบวินัยในทุกองค์กรทุกหมู่เหล่า
“เมื่อเสนอมา ผมก็จะเอาไว้เป็นข้อพิจารณา และขอซีดีไว้ให้กกต.อีก 3 คนได้ดู ส่วนเรื่องของการติดรูปผู้สมัครไว้เหนือคูหานั้น ก็เพราะคนแก่เมื่อไปใช้สิทธิมักจะจำไม่ได้ แต่การเลือกตั้งครั้งนี้บังเอิญว่าผู้สมัครเพียงคนเดียว จึงทำให้มีการมองเป็นเป็นการชี้นำ ซึ่งอยากให้มองแบบกว้างๆ ผมไม่ใช่สัปเหร่อ ที่เกิดปัญหาแล้วมาคอยเก็บศพเอา แต่ทำงานเหมือนหมอ คือรู้ว่าจะมีเหตุต่างๆเกิดขึ้น เราก็ป้องกัน และที่กกต.กลัวว่าจะมีการถ่ายภาพในคูหาก็ยอมรับว่าไม่เคยเป็นคดีมาก่อน แต่เราต้องการป้องกัน อย่าพูดว่าให้คนที่พกโทรศัพท์ไปให้วางไว้ด้านนอก แล้วให้ตำรวจดูแล เพราะพูดมันง่ายแต่ปฏิบัติมันยาก คนไปใช้สิทธิเป็นพันเป็นหมื่น ถึงเวลาต้องให้เจ้าหน้าที่ที่คอยดูแลรักษาความปลอดภัยมาคอยดูแลโทรศัพท์อีก" พล.ต.อ.วาสนา กล่าว และว่า อย่างไรก็ตาม เพื่อให้ได้ข้อยุติ ในการประชุมกกต.เมื่อช่วงเช้าวันนี้ ได้สั่งให้เลขาธิการและรองเลขาธิการฝ่ายบริหารการเลือกตั้งไปหารือ และรับฟังความคิดเห็นจากกกต.จังหวัด และประชาชน แล้วให้เสนอเรื่องกลับมาภายใน 3 วันว่าการจัดคูหาแบบใหม่นี้ดีหรือไม่อย่างไร เพื่อจะให้มีการปรับปรุงในการเลือกตั้ง ส.ว.วันที่ 19 เม.ย.นี้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายสมชัย ได้สอบถามว่าได้รับข่าวว่า 39 เขตที่ต้องมีการเลือกตั้งใหม่ กกต.มีมติกำหนดให้มีการเลือกตั้งในวันที่ 9 เม.ย.และให้เปิดรับสมัครใหม่ โดยให้สิทธิทั้งผู้สมัครเก่าที่ได้ไม่ถึงร้อยละ 20 และผู้สมัครใหม่ ในวันที่ 5-6 เม.ย.นั้นจริงหรือไม่ เพราะถ้าจริงจะเกิดข้อขัดแย้งของสังคมที่รุนแรง กกต.อาจเจอข้อหาว่าต้องการช่วยผู้สมัครที่เคยได้ไม่ถึงร้อยละ 20 ได้รับเลือกตั้ง และการกำหนดระยะเวลาเช่นนี้ทำให้ผู้ที่จะสมัครใหม่เสียเปรียบในการหาเสียง ซึ่ง พล.ต.อ.วาสนา ปฏิเสธที่จะยืนยันว่าจริงหรือไม่ที่ กกต.มีมติดังกล่าว โดยเลี่ยงตอบว่า ให้ช่วยคิดว่าถ้ากกต.ไม่เปิดรับสมัครใหม่ แล้วให้ประชาชนเลือกคนเดิมไปถึง 3 ครั้ง แล้วก็ยังไม่ได้ถึงร้อยละ 20 แล้วจะทำอย่างไร นายสมชัย กล่าวว่า กกต.ก็ควรเลือกตั้งต่อไป ถ้าเลยช่วงเวลา 30 วันที่ต้องเปิดประชุมสภาครั้งแรก ก็ให้หารือกับศาลรัฐธรรมนูญว่า จำนวนส.ส.เท่าที่มีอยู่สามารถเปิดประชุมสภาฯได้หรือไม่
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คำถามดังกล่าวทำให้ พล.ต.อ.วาสนา กล่าวอย่างมีอารมณ์ว่าไม่ใช่ปัญหาข้อกฎหมายตามรัฐธรรมนูญที่ศาลจะมาวินิจฉัย นี่เป็นกฎหมายประกอบว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส.และส.ว. จะรับหรือไม่ก็ไม่รู้ แต่ระหว่างนี้ที่ยังไม่ถึง 30 วัน ตนมีหน้าที่ต้องจัดการเลือกตั้งก็ต้องทำ ประเด็นเรื่องของการหาเสียงเป็นธรรมหรือไม่นั้น ก็เป็นข้อสังเกตุที่น่าพิจารณา แต่ทุกอย่างคงจะได้ข้อยุติภายในวันนี้ เราก็คิดเหมือนกันว่าถ้าครบ 30 วันแล้ว เปิดประชุมสภาฯไม่ได้ก็ไปที่ศาลรัฐธรรมนูญกัน
“ท่านสมชัย ท่านสายหยุด ผมอยากให้มองอะไรอย่างกว้างๆ เราต้องมองทุกอย่างด้วยความเป็นกลาง เป็นธรรม ผมอยากให้ท่านลองลำดับเหตุการณ์ตั้งแต่แรกจนถึงวันนี้ เกิดขึ้นจากใคร ทำไม ก่อนหน้านี้ไม่เคยพูดถึงกกต.เลย ตั้งแต่สวนลุมยันทำเนียบฯ มาวันนี้ สิ่งที่ต้องการไม่สำเร็จใช่หรือไม่ ถึงได้มาทิ่มแทงกกต. ผมไม่ได้เข้าข้างใคร แต่วันนี้มาพูดว่า กกต.จัดการเลือกตั้งไม่เป็นธรรม ไม่ดี มันจะถูกหรือ" พล.ต.อ.วาสนา กล่าว
จากนั้น พล.ต.อ.วาสนา ให้สัมภาษณ์ถึงเรื่องการเปิดรับสมัครใหม่ใน 39 เขต ว่า มันยังไม่ค่อยจะลงล็อค แต่ถึงอย่างไรก็ต้องลงในวันนี้ เมื่อถามถึง สาเหตุที่ยังไม่ได้ข้อสรุป ประธานกกต.กล่าวว่า เพราะยังมีความเห็นที่แตกต่างกันนิดหน่อย เมื่อถามต่อว่า การตัดสินใจให้เปิดรับสมัครใหม่ กกต.มุ่งความสำเร็จความเลือกตั้งเพียงอย่างเดียว พล.ต.อ.วาสนา กล่าวว่า ก็ต้องมุ่งถึงผลเลือกตั้งให้เสร็จ กฎหมายเขียนไว้อย่างนั้น ถ้าไม่มุ่งจะไปจัดหาประแสงทำไม เมื่อถามรุกต่อว่า การเปิดรับสมัครใหม่ กกต.อาจถูกมองว่าต้องการช่วยให้คนที่เคยผู้สมัครที่ได้ไม่ถึงร้อยละ 20 ได้รับเลือกตั้ง ประธานกก ต.กล่าวว่า นั่นมันความคิดของคุณ คนอื่นเขาอาจไม่คิดอย่างนั้น แล้วคุณรู้ได้อย่างไรว่าถ้าเปิดแล้วจะมีคนมาสมัคร 2-3 คน เพราะถ้ามันมีมันก็มีตั้งแต่ครั้งแรกแล้ว
จากนั้นพล.ต.อ.วาสนา กล่าวตัดบทโดยระบุว่าตนไม่มีเวลาให้สัมภาษณ์แล้วเพราะนัดช่างตัดผมเอาไว้ต้องรีบไป ผมยาวเจ็บหูไปหมดแล้วและ กล่าวปัดให้นายปริญญา นาคฉัตรีย์ กกต.เป็นผู้แถลงเรื่องนี้
** สมัครใหม่ 39 เขต เลือก 23 เม.ย.
นายปริญญา นาคฉัตรีย์ กกต. แถลงว่า ที่ประชุมกกต.หารือกันอย่างกว้างขวางและมีมติให้ 39 เขต ที่ต้องเลือกตั้งใหม่ มีการเลือกตั้งในวันที่ 23 เม.ย.โดยไม่ต้องมีการขอออกพระราชกฤษฎีกาใหม่ แต่เปิดรับสมัครใหม่ในวันที่ 8-9 เม.ย.ให้ทุกพรรคการเมืองส่งผู้สมัคร ไม่จำเป็นต้องเป็นคนเดิมก็ได้ ซึ่งการกำหนดเวลาดังกล่าว เผื่อเวลาสำหรับให้ผู้สมัครที่หากถูกตัดสิทธิยื่นอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา หาเสียงกันได้เต็มที่ รวมทั้ง ไม่ใกล้กับช่วงเวลาเลือกตั้งส.ว.ทำให้ประชาชนไม่สับสน
"เดิมทางฝ่ายเจ้าหน้าที่กำหนดวันเหมาะสมคือ วันที่ 9,16 และ 23 เม.ย.โดยเปิดรับสมัครวันที่ 5-6 เม.ย. แต่เห็นว่าอาจจะมีปัญหาเรื่องการแข่งขัน หาเสียงไม่ทัน และถ้าผู้สมัครถูกตัดสิทธิสมัคร ก็ต้องมีเวลาให้ศาลฎีกาพิจารณา ทางฝ่ายกฎหมาย และกกต.เสียงส่วนใหญ่ จึงเห็นว่าควรให้โอกาสทุกคน อีกทั้งเมื่อไปศึกษารายงานการประมแก้ไขกฎหมายเลือกตั้ง มาตรา 74 พบว่า เดิมเจตนารมณ์ในการร่างกฎหมายมาตรานี้ต้องการให้ผู้สมัครคนเดียวได้คะแนนเสียงมากกว่า 30 % ต่อมาจึงลดลงเหลือ 20 % แต่ไม่ควรให้ผู้สมัครที่คะแนนไม่ถึงมาสมัครใหม่อีก เจตนารมณ์คือต้องการคนใหม่ แต่ กกต.ก็พิจารณาแล้วเห็นว่า ถ้าตัดสิทธิคนเก่าก็ไม่น่าจะถูกต้องจึงเปิดโอกาสให้ทุกคนลงแข่ง เพราะถ้ายังคงให้ผู้สมัครลงแข่งโดยไม่เปิดสมัครใหม่ก็อาจจะได้คะแนนไม่ถึงร้อยละ 20 ของผู้มีสิทธิอีก"
ส่วนที่มองว่า การเปิดรับสมัครใหม่เป็นการช่วยให้ผู้สมัครไทยรักไทย ที่ได้คะแนนไม่ถึงร้อยละ 20 เดิมได้รับเลือกตั้ง นายปริญญา กล่าวว่า เป็นการทำงานตามแนวทางกฎหมาย เมื่อผู้มี สิทธิฯไม่ต้องการคนเดิมก็ต้องเปิดโอกาสให้พรรคอื่นๆมีโอกาสสมัครด้วย และไม่แน่ว่าพรรคที่ไม่ส่งผู้สมัครก็อาจเปลี่ยนใจมาส่งก็ได้
"กระแสโจมตีกกต.มีทั้ง 2 ด้าน ถ้าปล่อยให้เฉพาะคนเดิมลงก็เหมือนนักมวยต่อยกันมาหลายยกไม่น็อกกันสักที คนก็มากล่าวหากรรมการ เหมือนกับ กกต.ที่จะต้องโดนต่อว่าที่ปล่อยให้คนเก่าลง ดังนั้นกกต.ต้องยึดกำหมายเป็นหลัก อย่าฟังกระแสอย่างเดียวต้องยึดควาทมเป็นธรรมด้วย"
**อาจประกาศชื่อหมอเปรมศักดิ์เป็นส.ส.
ส่วนถ้าครบ 30 วัน แล้วยังได้ส.ส.ไม่ครบ 500 คน จะทำอย่างไร นายปริญญา กล่าวว่า คงไม่ถึงทางตัน หลังวันที่ 23 เม.ย.ไปแล้วจะบอกว่าจะทำอย่างไร หากได้ ส.ส.ไม่ครบจริง กกต.ต้องประชุมและจะแถลง เพราะ กกต.ต้องจัดเลือกตั้งและรับรองผลให้เสร็จภายในวันที่ 1 พ.ค. ส่วนกรณี นพ.เปรมศักดิ์ เพียยุระ ที่ลาบวช ขณะนี้พรรคไทยรักไทย ยังไม่ได้ส่งใบลาออกมายังกกต.อย่างไรก็ดี กกต.ก็ต้องพิจารณาอยู่แล้ว และอาจไม่ประกาศชื่อเป็น ส.ส.ก็ได้ ซึ่งก็ต้องรอดูความเห็นของอนุกรรมการที่สอบสวนเรื่องนี้
เมื่อถามว่า จะมีการพิจารณาให้ใบเหลืองใบแดงเมื่อไร นายปริญญา กล่าวว่า ถ้าฝ่ายสืบสวนสอบสวนส่งสำนวนมาแล้วที่ประชุมกกต.พิจารณาได้ทันก็สอยก่อนได้แต่ถ้าไม่ทันก็ต้องปล่อยไปก่อน แต่ขณะนี้ทางฝ่ายสืบสวนสอบสวนยังไม่มีการแจ้งข้อมูลเข้ามา รวมถึงกรณีที่มีการจ้างวานพรรคการเมืองเล็กลงสมัคร ของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ และกรณีข้อร้องเรียนของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่ระบุว่านายกฯทำผิดกฎหมายเลือกตั้งด้วย
**ชาติไทยโวยกกต.เปิดรับสมัครใหม่
นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล รองหัวหน้าพรรคชาติไทย กล่าวว่า กกต.กำลังดำเนินการให้เกิดความขัดแย้งทางการเมืองครั้งใหม่ กรณีจะเปิดให้มีการรับสมัคร ส.ส.ใหม่ใน 38 เขตเลือกตั้งที่เดิมมีผู้สมัครเพียงรายเดียว และไม่สามารถได้คะแนนถึงร้อยละ 20 ของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง โดยเห็นว่า กกต.ควรจะทบทวนมติดังกล่าว
"ขณะนี้ทุกฝ่ายกำลังเดินหน้าเพื่อความสมานฉันท์ แต่สิ่งที่ กกต.กำลังจะดำเนินการจะทำให้เกิดความขัดแย้งทางการเมืองครั้งใหม่ ผมจึงอยากร้อง กกต.ให้ทบทวนกลับไปสู่กติกาเดิม เพราะสิ่งที่กำลังจะทำ มันผิดประเพณี ผิดแนว คนที่มองว่า กกต.จะทำตัวให้เป็นเครื่องมือของพรรคการเมืองหนึ่ง ก็จะเป็นจริง" นายสมศักดิ์ กล่าว
นายนิกร จำนง รองหัวหน้าพรรคชาติไทย กล่าวว่า สิ่งที่ กกต.ทำ เป็นการเมินเสียงโนโหวต เพราะหากตัดสินใจเปิดรับสมัคร ส.ส.ใหม่ ก็จะทำให้มีลักษณะการมีสองพรรคประกบกัน หรือ มีผู้สมัครมากกว่า 1 คน ซึ่งก็จะทำให้ได้ส.ส.ได้ง่าย
"อยากให้ กกต.ทบทวน เพราะต่อจากนี้ถ้าเป็นเช่นนั้น คะแนนโนโหวตเหมือนกับ กกต.มองว่าจะเป็นอย่างไรก็ช่างมัน คือ คนหนึ่งได้ 120 คน หนึ่งได้ 100 ก็ถือว่าชนะกัน จะเอาอย่างนั้นหรือ ผมบอกกฎหมายไม่ได้กำหนดไว้ในเรื่องนี้ ถือเป็นการตัดสินใจของ กกต.จึงอยากให้ กกต.ตัดสินให้รอบคอบ เพราะการตัดสินใจเช่นนี้ จะนำไปสู่ความขัดแย้ง และที่ผ่านมา กกต.ก็ดำเนินการล่อแหลมในหลายเรื่อง และเรื่องนี้ผมเห็นว่าเป็นเรื่องที่ใหญ่ที่สุด"นายนิกร กล่าว
**กันตธีร์ปัด ศสสท.ยื่นยูเอ็นสอบโกงเลือกตั้ง
นายกันตธีร์ ศุภมงคล รมว.การต่างประเทศ กล่าวถึงกรณี คณะกรรมการศึกษาและสอบสวนการละเมิดกฎหมายเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนในประเทศไทย (ศสสท.)ได้ยื่นเรื่องให้ข้าหลวงใหญ่ด้านสิทธิมนุษยชนสหประชาชาติ เข้ามาตรวจสอบการทุจริตการเลือกตั้ง เมื่อวันที่ 2 เม.ย.ว่า สหประชาชาติคงต้องต้องพิจารณาคำร้องของเขา เป็นเรื่องคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)ซึ่งต้องรอดูว่าสหประชาชาติจะพิจารณาอย่างไร
กรณีดังกล่าวจะทำให้ประเทศไทยเสียภาพลักษณ์หรือไม่ นายกันตธีร์ กล่าวว่า คงจะไม่ เพราะเรื่องนี้เป็นเพียงข้อสังเกตที่คนไทยหลายคนรวมถึงตนด้วย ที่มีข้อสังเกตว่า ทำไมถึงมีการจัดคูหาการลงคะแนนเสียงในลักษณะนั้น และทราบว่าเป็นเรื่องการตัดสินใจของ กกต.เอง ฉะนั้นเรื่องนี้คงต้องรอดูว่า สหประชาชาติมีอะไรหรือไม่อย่างไร แต่ทั้งนี้เชื่อว่า ความโปร่งใส ความเปิดกว้างทั้งหมดในการเลือกตั้งถือเป็นจุดสำคัญ และเป็นเจตนาของเรา
เมื่อถามว่า จะแสดงจุดยืนอย่างไรว่าเป็นการกระทำของกกต.เอง รัฐบาลไม่ได้รู้เห็นเป็นใจ หรือมีส่วนเกี่ยวข้อง นายกันตธีร์ กล่าวว่า ข้อเท็จจริงก็คือมันเป็นการตัดสินใจของ กกต.เอง รัฐบาลไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องนี้เลย
**จวกแม้วเผด็จการประธานาธิบดี
ในวันเดียวกันนี้ นายแก้วสรร อติโพธิ รักษาการ ส.ว.กทม.ได้อภิปรายในการ วิเคราะห์การเมืองหลังเลือกตั้ง 2 เม.ย.ว่ารัฐธรรมนูญเป็นเรื่องความชอบธรรม ส่วนกฎหมายเป็นแค่องค์ประกอบ ดังนั้นเมื่อไม่มีความชอบธรรม การไปให้ความสำคัญต่อกฎหมายก็ไม่ถูกต้อง ซึ่งเป็นคนละเรื่องกัน การเมืองตอนนี้เรากำลังไปกับการเลือกตั้ง ที่เป็นเสมือนที่เรากำลังหากระดุมในป่าใหญ่ ที่อยู่ภายใต้ระอบทักษิณเพื่อให้หากระดุมให้เจอ แต่เราจะต้องมองไปให้ไกลขึ้น ตนเองเห็นด้วยที่จะต้องแยกเรื่องกฎหมายออกจากความชอบธรรม อย่างการขายหุ้นของครอบครัวนายกฯ ถึงแม้จะถูกฎหมายแต่ก็ไม่ถูกต้องในเรื่องของความชอบธรรม ดังนั้น เมือทำอะไรที่ถูกกฎหมายแต่ไม่ถูกต้องในเรื่องของความชอบธรรมก็ไม่ถูกต้อง
อย่างการประกาศยุบสภาท่านบอกว่า ทำได้ แต่ถามว่าสภามีปัญหาอะไรก็ไม่มี และเมื่อยุบมาแล้วแต่กลับมีปัญหาเช่นนี้อยากถามว่าจะยุบทำไม ในที่นี้อยากให้ประชาชนมองข้ามผลการเลือกตั้งว่าใครแพ้ ใครชนะ หรือเรื่องโหวต โนโหวต เพราะจะเห็นว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ไม่มีความชอบธรรมตั้งแต่การยุบสภาทั้งที่รัฐบาลมีเสียงข้างมากดังนั้นการจัดการเลือกตั้งที่เกิดขึ้นตามมาจึงไม่สามารถสร้างความชอบธรรมประเด็นมันอยู่ตรงนี้
"พ.ต.ท.ทักษิณ หนีในเรื่องความชอบธรรมมาตลอด บอกว่าจะเปิดอภิปรายทั่วไปแต่ก็กลับยุบสภาทั้งที่มีเสียงข้างมากและสภาก็ไม่มีและปัญหาประชาชาชนก็ไม่มีปัญหาจนฝ่ายค้านจึงบอยคอตการเลือกตั้ง จึงทำให้การให้มีการเลือกตั้งจึงเป็นการฟอกตัวสิ่งที่นายกฯที่ขอให้ประชาชนลงประชามมติว่าถ้าตัวเองไม่ผิดก็ขอให้เลือกตัวเอง เพราะฉะนั้นเลือกตั้งครั้งนี้ไม่ได้สร้างระบบผู้แทน แต่เป็นการยุบสภาเพื่อสถาปนาระบบประธานาธิบดี ถามว่าทำได้หรือไม่ เพราะในรัฐธรรมนูญ มาตรา214 (ระบุว่าการออกเสียงประชามติของประชาชนที่เกี่ยวกับตัวบุคคลใดบุคคลหนึ่งหรือคณะบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะจะกระทำมิได้)"นายแก้วสรร กล่าว
นายแก้วสรรร กล่าวว่า การเลือกตั้งต่างกับประชามติ การเลือกตั้งคือการเลือกความเป็นผู้แทนที่ไว้วางใจได้คือ 1.แทนเขต ที่ตัดสินโดยเสียงข้างมาก แต่การเลือกตั้งครั้งนี้เรากลับได้ผู้แทนเสียงข้างน้อยจากเขตต่างๆ และถ้ายังเดินหน้าต่อไป เพื่อเปิดประชุมไปทั้งๆ ที่ผู้แทนไม่ครบหมายความว่าผู้แทนของเขตยังไม่ได้เป็นผู้แทนของปวงชนชาวไทย
“ตอนนี้ เท่าที่ได้ทราบที่ จ.กระบี่ มีคน โทรศัพท์มหาหาว่าหากอยู่ในเขตที่ไม่ส.ส.จะเสียงภาษีได้หรือไม่และจะใช้วิธีใดซึ่งจะเห็นว่าประชาชนจากเริ่มมีปฏิกิริยากับเสียงข้างน้อยที่ไม่ถูกแทนที่ในสภาประกอบกับการที่ พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า "ถ้าลาออกผมจะตอบ 16 ล้านเสียงที่เลือกผมอย่างไร " เป็นการแสดงให้เห็นถึงแนวความคิดที่มีความพยายามเอาระบบรัฐสภามาใช้อย่างบิดเบือนเท่ากับมีความคิดในการครอบครองประชาชน และเท่ากับเป็นความคิดแบบเผด็จการ"
2. แบบบัญชีรายชื่อ มีที่มาเพื่อเป็นตัวแทนของเสียงข้างน้อย แต่พ.ต.ท.ทักษิณก็บิดเบือนการเลือกตั้งระบบบัญชีรายชื่อไปแล้ว ซึ่งก่อนการเลือกตั้งทาง ส.ว.17 คนได้รวมตัวกันไปที่ กกต.ว่าอย่าให้มีการลือกตั้งและขอให้ไปทบทวน แต่ไม่รู้ทำไมถึงพาประเทศมาอยู่จุดนี้ได้อย่างไร และคำตอบก็คือ มาจากความคิดความเคลื่อนไหวแบบประธานาธิบดี ซึ่งจะเห็นว่า การออกรายการเมื่อวานนี้ (3เม.ย.) พ.ต.ท.ทักษินไม่ได้พูดถึงคะแนนของส.ส.เขตเลย และสิ่งทีแสดงออกมาคือ ต้องการเดินหน้าเปิดสภา
"ตอนนี้เขาคิดว่าตัวเองเป็นผู้นำแล้ว โดยอ้างแต่ 16 ล้านเสียง ไม่สนใจ ส.ส.เขตเลยและเชื่อว่าจะต้องพยายามผลักดันให้เปิดสภาให้ได้สิ่งที่เกิดขึ้นคือการใช้รัฐธรรมนูญอย่างบิดเบือน ถ้ารัฐธรรมนูญฉบับนี้ใช้โดยพรรคประชาธิปัตย์ มหาชน หรือ แต่พรรคไทยรักไทยที่ไม่มีคนที่ชื่อทักษิณ สถานการณ์จะไม่เป็นแบบนี้ การคิดเคลื่อนไหวแบบระบอบทักษิณมาใช้กับรัฐธรรมนูญและอำนาจโดยบิดเบือนเพื่อก่อ ความแปลกแยกหากรัฐบาลยังท้าทาย 38 เขตทางภาคใต้ด้วยการจัดการเลือกตั้งใหม่ผลที่ตามมาจะเป็นความเสี่ยงและความเสียหายจะตามมา เหมือนกับเป็นการข่มขืนเขา ซึ่งทางพันธมิตรฯก็เลยใช้แบบอารยะขัดขืนคุณทักษิณก็ยังไม่เข้าใจเพราะเขาไม่มีความสมดุลทางจิต เพราะฉะนั้นใน 38 เขตหากเดินหน้า หักหาญ เขาถือเป็นการยั่วเขา หรือแม้กระทั่งคนกรุงเทพฯก็อาจจะถูกยั่ว ในกรณีถ้าหากที่จะคิดตีความกฎหมายให้จัดการเลือกตั้งใหม่ซึ่งถือว่าเป็นการใช้กฎหมายมากดดันคนซึ่งเป็นไปไม่ได้ อย่างไรก็ตาม เท่าที่ทราบคนที่เคยทำงานใกล้ชิดและรู้นิสัยที่แท้จริงของ พ.ต.ท.ทักษิณ บอกว่าคนๆนี้ไม่มีทางถอย ถ้าไม่ถูกบีบหนักจริงๆ เหมือนกับที่ฮิตเลอร์ ที่คิดแต่เรื่องตอสู้อย่างเดียว ทั้งที่เห็นวิกฤติรออยุ่แล้ว เช่นเดียวกับกรณี ถ้าดื้อดึงจะเปิดสภาให้ได้โดยตีความกฎหมายเข้าข้างตัวเอง" นายแก้วสรร กล่าว
นายแก้วสรร กล่าวว่า ในรายการเมื่อวันที่ 3 เม.ย. ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ระบุว่าถ้าผมออกแล้วประเทศดีขึ้น ก็พร้อมจะออก ผมบอกไว้เลยว่า ประเทศไม่มีคุณทักษิณ ก็ได้ คุณเอาความคิดอะไรมาครอบครองประเทศ และยิ่งไปกว่านั้น ยังมีแนวคิดแบบที่เห็นประชาชนเป็นเซลแบบคนขายของที่ประกาศว่า ใครเลือกตัวเองจะดูแลเป็นพิเศษเหมือนเป็นการให้ค่าตอบแทน ฉะนั้นแนวคิดแบบนี้เป็นแบบเผด็จการประธานาธิบดีมาใช้ โดยผ่านระบบบัญชีรายชื่อเพื่อให้เป็นประชามติรับรองตัวเอง ” นายแก้วสรร กล่าว
**แนะเลือกตั้งซ้ำต้องเปิดสมัครใหม่
ศ.ดร.สมคิด เลิศไพฑูรย์ อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มธ. กล่าวว่า ภายหลังผลการเลือกตั้งที่ออกมาพิสูจน์ได้ว่ารัฐบาลเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ เนื่องจากประชาชนจำนวนมากได้ลงคะแนนกาช่องไม่เลือกใคร และถ้ามีการการเลือกตั้งซ่อม 2-3 ครั้ง หากมองสถานการณ์ข้างหน้าคิดว่าถึงทางตัน และวิกฤตจะยังคงมีอยู่ ดังนั้นหากจะให้สถานการณ์ดีขึ้นได้ มีทางออกของประเทศเพียงทางเดียวคือ ต้องให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ลาออกเท่านั้น หรืออาจจะมีนายกฯ จากพรรคไทยรักไทยไปดำรงตำแหน่งเป็นคนต่อไป ก็อาจเป็นไปได้ หรืออาจให้มีนายกฯ ที่ได้มาจากการหารือร่วมระหว่างฝ่ายต่างๆ ซึ่งกระบวนการเหล่านี้จะทำให้พันธมิตรฯ ได้หยุดการชุมนุมเคลื่อนไหว รวมถึงฝ่ายค้านที่เคยบอยคอตการเลือกตั้งก็จะเข้าร่วมกระบวนการเลือกตั้ง ซึ่งเงื่อนไขเหล่านี้จะทำให้ประเทศไทยสามารถเดินต่อไปได้
ผศ.ดร.บรรเจิด สิงคะเนติ อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มธ. กล่าวว่า ผลการเลือกตั้งเกือบ 40 เขต ที่มีผู้ไม่ประสงค์ลงคะแนนเป็นจำนวนมาก เป็นการสะท้อนทัศนะและเจตจำนงที่แท้จริงของผู้ไปใช้สิทธิ เพื่อจะปฏิเสธผู้แทนจากพรรคไทยรักไทย ดังนั้นจึงทำให้ต้องมีการเลือกตั้งซ่อมเพื่อให้ได้ ส.ส.ครบ 500 คน ส่วนในเขตที่มีผู้สมัครเพียงรายเดียวได้รับคะแนนเสียงไม่ถึง 20 % ของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ดังนั้นจึงควรให้มีการเปิดรับสมัคร ส.ส.ใหม่ ภายใต้เงื่อนไขว่า ต้องมีพระราชกฤษฎีกาเปิดรับผู้สมัครเลือกตั้งใหม่ เนื่องจากอยู่ในสภาพการณ์ที่ไม่สามารถเดินหน้าเลือกตั้งต่อไปได้
ทั้งนี้ สภาพการณ์ที่เกิดขึ้นหลังการเลือกตั้งครั้งนี้ถือเป็นภาวะที่ไม่ปกติ เพราะมีผู้ลงแข่งขันเพียงพรรคเดียว จนนำไปสู่การตีบตัน และไม่ถือเป็นการเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตยอย่างแน่นอน แต่เป็นเพียงการเลือกตั้งเพื่อรับรองตัวบุคคลเท่านั้น ผลการเลือกตั้งครั้งนี้จึงสะท้อนชัดเจนว่า ระบอบทักษิณไม่สามารถเป็นตัวแทนของประชาชนทั้งประเทศอย่างสง่างามได้ ทั้งนี้อยากให้นำข้อเสนอเรื่องการปฏิรูปการเมืองของพรรคไทยรักไทยทิ้งไปทั้งหมด อย่าเดินตามกติกาที่เขากำหนดขึ้น เพราะจะนำไปสู่สภาสนามม้า หรือระบบนอมินี ซึ่งเป็นตัวแทนของพรรคไทยรักไทยทั้งสิ้น ส่วนกระบวนการปฏิรูปการเมืองคงเป็นเรื่องที่ต้องหารือร่วมกันต่อไป สังคมไทยในขณะนี้กำลังเต็มไปด้วยหลุมบ่อของความขัดแย้ง แต่หลุมบ่อเหล่านั้นจะถูกกลบได้ก็ด้วยหินก้อนแรก คือตัวของนายกฯทักษิณ
นายภัทระ คำพิทักษ์ นายกสมาคมนักข่าวนักหนังพิมพ์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า สิ่งสำคัญคือ เราจะตีความการเลือกตั้งครั้งนี้อย่างไร ขณะที่ ข้อเสนอต่างๆ ของ พ.ต.ท.ทักษิณ สามารถยกเลิกได้ แต่ระบอบทักษิณก็ยังคงอยู่ หากพูดตามหลักศาสนาก็คือ เมื่อต้นเหตุผิดปลายเหตุก็ผิด เพราะเริ่มต้นก็ผิดปกติ เป็นการแข่งขันที่ไม่สมเหตุสมผล การที่ประชาชนไม่ประสงค์ลงคะแนนให้ใครถือเป็นเรื่องที่ปกติ เป็นการประกาศไม่ยอมรับการเลือกตั้ง และการที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่สามารถเดินทางไปภาคใต้ได้ อย่างนี้จะยังเป็นนายกฯได้อย่างไร
สิ่งที่ต้องจับตาต่อไปคือ กระบวนการปฏิรูปการเมืองโดยพรรคไทยรักไทยเพียงข้างเดียว ซึ่งเป็นอันตรายต่อสังคมและจะไม่สามารถปฏิรูปได้ นายกฯทักษิณพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้อยู่ในตำแหน่งได้ ซึ่งเป็นเรื่องน่าประหลาดใจที่คนระดับผู้นำประเทศคิดเช่นนี้ และสังคมจะเกิดความกังขาต่อภาวะผู้นำของนายกฯทักษิณ สุดท้ายแล้วหลังการเลือกตั้งจะเกิดสภาชิน และรัฐบาลชิน และการปฏิรูปการเมืองโดยประชาชนมีส่วนร่วมจะไม่สามารถเกิดขึ้นได้ เพราะสภาที่จะรับรองไม่มีความหลากหลาย
ขณะนี้เรายังยึดติดในเรื่องโนโหวตกันมาก แต่สิ่งที่ไม่ควรผ่านเลยไปก็คือ กระบวนการเลือกตั้งถูกต้องชอบธรรมหรือไม่ จะมีกรณีใดที่จะทำให้ผลการเลือกตั้งเป็นโมฆะบ้าง และคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จะต้องตรวจสอบว่านายกฯ ทำผิดกฎหมายเลือกตั้งหรือไม่ ซึ่งจะสามารถล้มกระบวนการเลือกตั้งทั้งหมดได้ ฉะนั้นทางออกที่ดีที่สุดคือต้องกลับไปตรวจสอบเรื่องการทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง อย่าเพิ่งไปตัดสินกันที่ผลการเลือกตั้ง เพราะมีหลายกรณีที่ล่อแหลมว่าผิดกฎหมายเลือกตั้ง และหาก กกต.วินิจฉัยว่าผิดกฎหมายจริง รัฐบาลรักษาการชุดนี้ยังสมควรจะเป็นผู้จัดการเลือกตั้งได้อีกหรือไม่
ในภาวะที่บ้านเมืองกำลังเกิดวิกฤต มีความเห็นต่างในสังคม ดังนั้นแนวทางการแก้ปัญหาจะต้องใช้เหตุผลมากกว่าอารมณ์ เชื่อว่าพลังศีลธรรมของคนในสังคมยังมีอยู่สูง เห็นได้จากการต่อต้านการขายหุ้นโดยไม่เสียภาษีของนายกฯทักษิณ ซึ่งจากจุดนี้จะทำให้เกิดกระบวนการปฏิรูปทางการเมืองอย่างกว้างขวาง
เมื่อเวลา 14.00 น.วานนี้ (4 เม.ย.)ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มูลนิธิองค์กรกลางเพื่อประชาธิปไตยเครือข่ายประชาชน (พีเน็ต) นำโดยพล.อ.อ.สายหยุด เกิดผล ประธานองค์กรกลาง นายสมชัย ศรีสุทธิยากร ผู้ประสานงาน เดินทางมายื่นหนังสือต่อ พล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ ประธาน กกต.เพื่อเรียกร้องให้กกต.ทบทวนการจัดคูหาลงคะแนนเลือกตั้ง โดยให้กลับไปจัดคูหาแบบเดิม การติดรูปผู้สมัครไว้ด้านบนคูหาที่หลายฝ่ายมองว่าเป็นการชี้นำ การเปลี่ยนช่องผู้ประสงค์ลงคะแนนในบัตรเลือกตั้งไปไว้ด้านล่าง รวมทั้งขอให้องค์กรกลางเข้ามามีส่วนร่วมในการตรวจสอบการเลือกตั้ง
โดยพล.อ.อ.สายหยุด กล่าวว่า ตามที่กกต.ได้จัดให้มีการจัดคูหาเลือกตั้งใหม่ โดยให้หันหลังออก ทำให้การลงคะแนนไม่เป็นความลับ และไม่ได้คำนึงถึงความปลอดภัยของผู้ใช้สิทธิ ทั้งที่รัฐธรรมนูญมาตรา 104 ระบุให้การใช้สิทธิเลือกตั้งนั้นเป็นความลับ แต่เรากลับทำกันเป็นเรื่องเล่นๆ
นอกจากนี้ยังมีประเด็นปัญหาอีกหลายประเด็นที่ผู้มาใช้สิทธิไม่สบายใจ เช่น กรณีการตั้งตัวแทนพรรคการเมืองเข้าร่วมเป็นกรรมการประจำหน่วยเลือกตั้ง (กปน.) ขณะเดียวกันกลับไม่ให้องค์กรกลางฯ เข้าร่วมตรวจสอบการเลือกตั้ง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากนั้นได้มีการฉายวีดีโอซีดีการลงคะแนนของคุณหญิงณัฐนนท์ ทวีสิน ปลัดกทม. คุณหญิง พจมาน ชินวัตร ภริยาพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และนายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ ซึ่งมีการซูมกล้องเข้าไปทางด้านหลัง จนสามารถทราบได้ว่าทั้ง 3ลงคะแนนให้ใคร โดยนายสมชัย กล่าวว่า ภาพในซีดีสะท้อนให้เห็นชัดเจนว่า การจัดคูหาดังกล่าวทำให้ประชาชนไม่สามารถใช้สิทธิได้อย่างเสรีภาพ ไม่เป็นการลงคะแนนโดยลับ ตามมาตรา 104 ของรัฐธรรมนูญ หาก กกต. ยังจัดคูหาลักษณะนี้เกรงว่าจะเป็นการส่งเสริมให้ทุจริตการเลือกตั้งมากกว่าแบบเดิม
จากนั้น นายสมชัย ได้สอบถามว่า กกต.หรือเป็นระดับเจ้าหน้าที่ที่เสนอเปลี่ยนการจัดคูหามาเป็นเช่นนี้ และนำตัวอย่างมาจากที่ใด ซึ่งนายบุญเกียรติ รักชาติเจริญ รองผอ.สำนักบริหารการเลือกตั้ง กล่าวชี้แจงว่า เป็นการเสนอในระดับเจ้าหน้าที่ โดยไปศึกษาดูงานจากญี่ปุ่นและออสเตรเลีย และนำมาใช้ครั้งแรกในการเลือกตั้งองค์การบริหารส่วนตำบล 3 พันกว่าแห่ง โดยเห็นว่านอกจากจะเป็นการอำนวยความสะดวกให้กับผู้มาใช้สิทธิแล้ว ตัวคูหาก็ยังสามารถปกปิดการลงคะแนนให้ผู้อื่นไม่สามารถรู้ได้ว่าผู้มาใช้สิทธิกากบาทหมายเลขใด
นอกจากนี้ยังเห็นว่า กกต.ไม่มีการให้ข้อมูลเกี่ยวกับการเลือกตั้งกับประชาชนเท่าที่ควร เว็บไซด์ของกกต.ก็ไม่เป็นปัจจุบัน การนับคะแนนยังไม่แล้วเสร็จ แต่นายกฯ ก็กลับมีข้อมูลว่าพรรคไทยรักไทยได้ปาร์ตี้ลิสต์ 16 ล้านเสียง
ขณะที่ พล.ต.อ.วาสนา กล่าวว่า ดีใจที่ทางองค์กรกลางมาเสนอข้อมูลและข้อเสนอแนะต่างๆ ที่มีเจตนาดีไม่ได้มุ่งร้ายเหมือนบางคนบางกลุ่ม ที่ไม่เคยศึกษาข้อกฎหมายเลย ดีแต่วิจารณ์อย่างเดียว เรื่องการจัดคูหานั้น ยืนยันว่า กกต.คิดถึงหลักการรักษาความลับของผู้ลงคะแนนเสมอ แต่ภาพในซีดีที่นำมาให้ดูก็บ่งชี้ว่าเป็นความพยายามที่จะซูมกล้องลอดใต้แขนผู้ใช้สิทธิไปค่อยจ้องดู สอดรู้สอดเห็น ซึ่งในวันเลือกตั้งตนไปใช้สิทธิและตรวจดูหน่วยเลือกตั้งหลายแห่ง ก็ไม่เห็นจะมีใครมาคอยส่อง ดังนั้นเรื่องลับหรือไม่ลับ ถ้าคนในสังคมไม่คอยไปอยากรู้อยากเห็น ให้จัดคูหาอย่างไร ก็ไม่เป็นปัญหา วันนี้สังคมไทยไร้ระเบียบวินัยในทุกองค์กรทุกหมู่เหล่า
“เมื่อเสนอมา ผมก็จะเอาไว้เป็นข้อพิจารณา และขอซีดีไว้ให้กกต.อีก 3 คนได้ดู ส่วนเรื่องของการติดรูปผู้สมัครไว้เหนือคูหานั้น ก็เพราะคนแก่เมื่อไปใช้สิทธิมักจะจำไม่ได้ แต่การเลือกตั้งครั้งนี้บังเอิญว่าผู้สมัครเพียงคนเดียว จึงทำให้มีการมองเป็นเป็นการชี้นำ ซึ่งอยากให้มองแบบกว้างๆ ผมไม่ใช่สัปเหร่อ ที่เกิดปัญหาแล้วมาคอยเก็บศพเอา แต่ทำงานเหมือนหมอ คือรู้ว่าจะมีเหตุต่างๆเกิดขึ้น เราก็ป้องกัน และที่กกต.กลัวว่าจะมีการถ่ายภาพในคูหาก็ยอมรับว่าไม่เคยเป็นคดีมาก่อน แต่เราต้องการป้องกัน อย่าพูดว่าให้คนที่พกโทรศัพท์ไปให้วางไว้ด้านนอก แล้วให้ตำรวจดูแล เพราะพูดมันง่ายแต่ปฏิบัติมันยาก คนไปใช้สิทธิเป็นพันเป็นหมื่น ถึงเวลาต้องให้เจ้าหน้าที่ที่คอยดูแลรักษาความปลอดภัยมาคอยดูแลโทรศัพท์อีก" พล.ต.อ.วาสนา กล่าว และว่า อย่างไรก็ตาม เพื่อให้ได้ข้อยุติ ในการประชุมกกต.เมื่อช่วงเช้าวันนี้ ได้สั่งให้เลขาธิการและรองเลขาธิการฝ่ายบริหารการเลือกตั้งไปหารือ และรับฟังความคิดเห็นจากกกต.จังหวัด และประชาชน แล้วให้เสนอเรื่องกลับมาภายใน 3 วันว่าการจัดคูหาแบบใหม่นี้ดีหรือไม่อย่างไร เพื่อจะให้มีการปรับปรุงในการเลือกตั้ง ส.ว.วันที่ 19 เม.ย.นี้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายสมชัย ได้สอบถามว่าได้รับข่าวว่า 39 เขตที่ต้องมีการเลือกตั้งใหม่ กกต.มีมติกำหนดให้มีการเลือกตั้งในวันที่ 9 เม.ย.และให้เปิดรับสมัครใหม่ โดยให้สิทธิทั้งผู้สมัครเก่าที่ได้ไม่ถึงร้อยละ 20 และผู้สมัครใหม่ ในวันที่ 5-6 เม.ย.นั้นจริงหรือไม่ เพราะถ้าจริงจะเกิดข้อขัดแย้งของสังคมที่รุนแรง กกต.อาจเจอข้อหาว่าต้องการช่วยผู้สมัครที่เคยได้ไม่ถึงร้อยละ 20 ได้รับเลือกตั้ง และการกำหนดระยะเวลาเช่นนี้ทำให้ผู้ที่จะสมัครใหม่เสียเปรียบในการหาเสียง ซึ่ง พล.ต.อ.วาสนา ปฏิเสธที่จะยืนยันว่าจริงหรือไม่ที่ กกต.มีมติดังกล่าว โดยเลี่ยงตอบว่า ให้ช่วยคิดว่าถ้ากกต.ไม่เปิดรับสมัครใหม่ แล้วให้ประชาชนเลือกคนเดิมไปถึง 3 ครั้ง แล้วก็ยังไม่ได้ถึงร้อยละ 20 แล้วจะทำอย่างไร นายสมชัย กล่าวว่า กกต.ก็ควรเลือกตั้งต่อไป ถ้าเลยช่วงเวลา 30 วันที่ต้องเปิดประชุมสภาครั้งแรก ก็ให้หารือกับศาลรัฐธรรมนูญว่า จำนวนส.ส.เท่าที่มีอยู่สามารถเปิดประชุมสภาฯได้หรือไม่
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คำถามดังกล่าวทำให้ พล.ต.อ.วาสนา กล่าวอย่างมีอารมณ์ว่าไม่ใช่ปัญหาข้อกฎหมายตามรัฐธรรมนูญที่ศาลจะมาวินิจฉัย นี่เป็นกฎหมายประกอบว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส.และส.ว. จะรับหรือไม่ก็ไม่รู้ แต่ระหว่างนี้ที่ยังไม่ถึง 30 วัน ตนมีหน้าที่ต้องจัดการเลือกตั้งก็ต้องทำ ประเด็นเรื่องของการหาเสียงเป็นธรรมหรือไม่นั้น ก็เป็นข้อสังเกตุที่น่าพิจารณา แต่ทุกอย่างคงจะได้ข้อยุติภายในวันนี้ เราก็คิดเหมือนกันว่าถ้าครบ 30 วันแล้ว เปิดประชุมสภาฯไม่ได้ก็ไปที่ศาลรัฐธรรมนูญกัน
“ท่านสมชัย ท่านสายหยุด ผมอยากให้มองอะไรอย่างกว้างๆ เราต้องมองทุกอย่างด้วยความเป็นกลาง เป็นธรรม ผมอยากให้ท่านลองลำดับเหตุการณ์ตั้งแต่แรกจนถึงวันนี้ เกิดขึ้นจากใคร ทำไม ก่อนหน้านี้ไม่เคยพูดถึงกกต.เลย ตั้งแต่สวนลุมยันทำเนียบฯ มาวันนี้ สิ่งที่ต้องการไม่สำเร็จใช่หรือไม่ ถึงได้มาทิ่มแทงกกต. ผมไม่ได้เข้าข้างใคร แต่วันนี้มาพูดว่า กกต.จัดการเลือกตั้งไม่เป็นธรรม ไม่ดี มันจะถูกหรือ" พล.ต.อ.วาสนา กล่าว
จากนั้น พล.ต.อ.วาสนา ให้สัมภาษณ์ถึงเรื่องการเปิดรับสมัครใหม่ใน 39 เขต ว่า มันยังไม่ค่อยจะลงล็อค แต่ถึงอย่างไรก็ต้องลงในวันนี้ เมื่อถามถึง สาเหตุที่ยังไม่ได้ข้อสรุป ประธานกกต.กล่าวว่า เพราะยังมีความเห็นที่แตกต่างกันนิดหน่อย เมื่อถามต่อว่า การตัดสินใจให้เปิดรับสมัครใหม่ กกต.มุ่งความสำเร็จความเลือกตั้งเพียงอย่างเดียว พล.ต.อ.วาสนา กล่าวว่า ก็ต้องมุ่งถึงผลเลือกตั้งให้เสร็จ กฎหมายเขียนไว้อย่างนั้น ถ้าไม่มุ่งจะไปจัดหาประแสงทำไม เมื่อถามรุกต่อว่า การเปิดรับสมัครใหม่ กกต.อาจถูกมองว่าต้องการช่วยให้คนที่เคยผู้สมัครที่ได้ไม่ถึงร้อยละ 20 ได้รับเลือกตั้ง ประธานกก ต.กล่าวว่า นั่นมันความคิดของคุณ คนอื่นเขาอาจไม่คิดอย่างนั้น แล้วคุณรู้ได้อย่างไรว่าถ้าเปิดแล้วจะมีคนมาสมัคร 2-3 คน เพราะถ้ามันมีมันก็มีตั้งแต่ครั้งแรกแล้ว
จากนั้นพล.ต.อ.วาสนา กล่าวตัดบทโดยระบุว่าตนไม่มีเวลาให้สัมภาษณ์แล้วเพราะนัดช่างตัดผมเอาไว้ต้องรีบไป ผมยาวเจ็บหูไปหมดแล้วและ กล่าวปัดให้นายปริญญา นาคฉัตรีย์ กกต.เป็นผู้แถลงเรื่องนี้
** สมัครใหม่ 39 เขต เลือก 23 เม.ย.
นายปริญญา นาคฉัตรีย์ กกต. แถลงว่า ที่ประชุมกกต.หารือกันอย่างกว้างขวางและมีมติให้ 39 เขต ที่ต้องเลือกตั้งใหม่ มีการเลือกตั้งในวันที่ 23 เม.ย.โดยไม่ต้องมีการขอออกพระราชกฤษฎีกาใหม่ แต่เปิดรับสมัครใหม่ในวันที่ 8-9 เม.ย.ให้ทุกพรรคการเมืองส่งผู้สมัคร ไม่จำเป็นต้องเป็นคนเดิมก็ได้ ซึ่งการกำหนดเวลาดังกล่าว เผื่อเวลาสำหรับให้ผู้สมัครที่หากถูกตัดสิทธิยื่นอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา หาเสียงกันได้เต็มที่ รวมทั้ง ไม่ใกล้กับช่วงเวลาเลือกตั้งส.ว.ทำให้ประชาชนไม่สับสน
"เดิมทางฝ่ายเจ้าหน้าที่กำหนดวันเหมาะสมคือ วันที่ 9,16 และ 23 เม.ย.โดยเปิดรับสมัครวันที่ 5-6 เม.ย. แต่เห็นว่าอาจจะมีปัญหาเรื่องการแข่งขัน หาเสียงไม่ทัน และถ้าผู้สมัครถูกตัดสิทธิสมัคร ก็ต้องมีเวลาให้ศาลฎีกาพิจารณา ทางฝ่ายกฎหมาย และกกต.เสียงส่วนใหญ่ จึงเห็นว่าควรให้โอกาสทุกคน อีกทั้งเมื่อไปศึกษารายงานการประมแก้ไขกฎหมายเลือกตั้ง มาตรา 74 พบว่า เดิมเจตนารมณ์ในการร่างกฎหมายมาตรานี้ต้องการให้ผู้สมัครคนเดียวได้คะแนนเสียงมากกว่า 30 % ต่อมาจึงลดลงเหลือ 20 % แต่ไม่ควรให้ผู้สมัครที่คะแนนไม่ถึงมาสมัครใหม่อีก เจตนารมณ์คือต้องการคนใหม่ แต่ กกต.ก็พิจารณาแล้วเห็นว่า ถ้าตัดสิทธิคนเก่าก็ไม่น่าจะถูกต้องจึงเปิดโอกาสให้ทุกคนลงแข่ง เพราะถ้ายังคงให้ผู้สมัครลงแข่งโดยไม่เปิดสมัครใหม่ก็อาจจะได้คะแนนไม่ถึงร้อยละ 20 ของผู้มีสิทธิอีก"
ส่วนที่มองว่า การเปิดรับสมัครใหม่เป็นการช่วยให้ผู้สมัครไทยรักไทย ที่ได้คะแนนไม่ถึงร้อยละ 20 เดิมได้รับเลือกตั้ง นายปริญญา กล่าวว่า เป็นการทำงานตามแนวทางกฎหมาย เมื่อผู้มี สิทธิฯไม่ต้องการคนเดิมก็ต้องเปิดโอกาสให้พรรคอื่นๆมีโอกาสสมัครด้วย และไม่แน่ว่าพรรคที่ไม่ส่งผู้สมัครก็อาจเปลี่ยนใจมาส่งก็ได้
"กระแสโจมตีกกต.มีทั้ง 2 ด้าน ถ้าปล่อยให้เฉพาะคนเดิมลงก็เหมือนนักมวยต่อยกันมาหลายยกไม่น็อกกันสักที คนก็มากล่าวหากรรมการ เหมือนกับ กกต.ที่จะต้องโดนต่อว่าที่ปล่อยให้คนเก่าลง ดังนั้นกกต.ต้องยึดกำหมายเป็นหลัก อย่าฟังกระแสอย่างเดียวต้องยึดควาทมเป็นธรรมด้วย"
**อาจประกาศชื่อหมอเปรมศักดิ์เป็นส.ส.
ส่วนถ้าครบ 30 วัน แล้วยังได้ส.ส.ไม่ครบ 500 คน จะทำอย่างไร นายปริญญา กล่าวว่า คงไม่ถึงทางตัน หลังวันที่ 23 เม.ย.ไปแล้วจะบอกว่าจะทำอย่างไร หากได้ ส.ส.ไม่ครบจริง กกต.ต้องประชุมและจะแถลง เพราะ กกต.ต้องจัดเลือกตั้งและรับรองผลให้เสร็จภายในวันที่ 1 พ.ค. ส่วนกรณี นพ.เปรมศักดิ์ เพียยุระ ที่ลาบวช ขณะนี้พรรคไทยรักไทย ยังไม่ได้ส่งใบลาออกมายังกกต.อย่างไรก็ดี กกต.ก็ต้องพิจารณาอยู่แล้ว และอาจไม่ประกาศชื่อเป็น ส.ส.ก็ได้ ซึ่งก็ต้องรอดูความเห็นของอนุกรรมการที่สอบสวนเรื่องนี้
เมื่อถามว่า จะมีการพิจารณาให้ใบเหลืองใบแดงเมื่อไร นายปริญญา กล่าวว่า ถ้าฝ่ายสืบสวนสอบสวนส่งสำนวนมาแล้วที่ประชุมกกต.พิจารณาได้ทันก็สอยก่อนได้แต่ถ้าไม่ทันก็ต้องปล่อยไปก่อน แต่ขณะนี้ทางฝ่ายสืบสวนสอบสวนยังไม่มีการแจ้งข้อมูลเข้ามา รวมถึงกรณีที่มีการจ้างวานพรรคการเมืองเล็กลงสมัคร ของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ และกรณีข้อร้องเรียนของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่ระบุว่านายกฯทำผิดกฎหมายเลือกตั้งด้วย
**ชาติไทยโวยกกต.เปิดรับสมัครใหม่
นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล รองหัวหน้าพรรคชาติไทย กล่าวว่า กกต.กำลังดำเนินการให้เกิดความขัดแย้งทางการเมืองครั้งใหม่ กรณีจะเปิดให้มีการรับสมัคร ส.ส.ใหม่ใน 38 เขตเลือกตั้งที่เดิมมีผู้สมัครเพียงรายเดียว และไม่สามารถได้คะแนนถึงร้อยละ 20 ของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง โดยเห็นว่า กกต.ควรจะทบทวนมติดังกล่าว
"ขณะนี้ทุกฝ่ายกำลังเดินหน้าเพื่อความสมานฉันท์ แต่สิ่งที่ กกต.กำลังจะดำเนินการจะทำให้เกิดความขัดแย้งทางการเมืองครั้งใหม่ ผมจึงอยากร้อง กกต.ให้ทบทวนกลับไปสู่กติกาเดิม เพราะสิ่งที่กำลังจะทำ มันผิดประเพณี ผิดแนว คนที่มองว่า กกต.จะทำตัวให้เป็นเครื่องมือของพรรคการเมืองหนึ่ง ก็จะเป็นจริง" นายสมศักดิ์ กล่าว
นายนิกร จำนง รองหัวหน้าพรรคชาติไทย กล่าวว่า สิ่งที่ กกต.ทำ เป็นการเมินเสียงโนโหวต เพราะหากตัดสินใจเปิดรับสมัคร ส.ส.ใหม่ ก็จะทำให้มีลักษณะการมีสองพรรคประกบกัน หรือ มีผู้สมัครมากกว่า 1 คน ซึ่งก็จะทำให้ได้ส.ส.ได้ง่าย
"อยากให้ กกต.ทบทวน เพราะต่อจากนี้ถ้าเป็นเช่นนั้น คะแนนโนโหวตเหมือนกับ กกต.มองว่าจะเป็นอย่างไรก็ช่างมัน คือ คนหนึ่งได้ 120 คน หนึ่งได้ 100 ก็ถือว่าชนะกัน จะเอาอย่างนั้นหรือ ผมบอกกฎหมายไม่ได้กำหนดไว้ในเรื่องนี้ ถือเป็นการตัดสินใจของ กกต.จึงอยากให้ กกต.ตัดสินให้รอบคอบ เพราะการตัดสินใจเช่นนี้ จะนำไปสู่ความขัดแย้ง และที่ผ่านมา กกต.ก็ดำเนินการล่อแหลมในหลายเรื่อง และเรื่องนี้ผมเห็นว่าเป็นเรื่องที่ใหญ่ที่สุด"นายนิกร กล่าว
**กันตธีร์ปัด ศสสท.ยื่นยูเอ็นสอบโกงเลือกตั้ง
นายกันตธีร์ ศุภมงคล รมว.การต่างประเทศ กล่าวถึงกรณี คณะกรรมการศึกษาและสอบสวนการละเมิดกฎหมายเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนในประเทศไทย (ศสสท.)ได้ยื่นเรื่องให้ข้าหลวงใหญ่ด้านสิทธิมนุษยชนสหประชาชาติ เข้ามาตรวจสอบการทุจริตการเลือกตั้ง เมื่อวันที่ 2 เม.ย.ว่า สหประชาชาติคงต้องต้องพิจารณาคำร้องของเขา เป็นเรื่องคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)ซึ่งต้องรอดูว่าสหประชาชาติจะพิจารณาอย่างไร
กรณีดังกล่าวจะทำให้ประเทศไทยเสียภาพลักษณ์หรือไม่ นายกันตธีร์ กล่าวว่า คงจะไม่ เพราะเรื่องนี้เป็นเพียงข้อสังเกตที่คนไทยหลายคนรวมถึงตนด้วย ที่มีข้อสังเกตว่า ทำไมถึงมีการจัดคูหาการลงคะแนนเสียงในลักษณะนั้น และทราบว่าเป็นเรื่องการตัดสินใจของ กกต.เอง ฉะนั้นเรื่องนี้คงต้องรอดูว่า สหประชาชาติมีอะไรหรือไม่อย่างไร แต่ทั้งนี้เชื่อว่า ความโปร่งใส ความเปิดกว้างทั้งหมดในการเลือกตั้งถือเป็นจุดสำคัญ และเป็นเจตนาของเรา
เมื่อถามว่า จะแสดงจุดยืนอย่างไรว่าเป็นการกระทำของกกต.เอง รัฐบาลไม่ได้รู้เห็นเป็นใจ หรือมีส่วนเกี่ยวข้อง นายกันตธีร์ กล่าวว่า ข้อเท็จจริงก็คือมันเป็นการตัดสินใจของ กกต.เอง รัฐบาลไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องนี้เลย
**จวกแม้วเผด็จการประธานาธิบดี
ในวันเดียวกันนี้ นายแก้วสรร อติโพธิ รักษาการ ส.ว.กทม.ได้อภิปรายในการ วิเคราะห์การเมืองหลังเลือกตั้ง 2 เม.ย.ว่ารัฐธรรมนูญเป็นเรื่องความชอบธรรม ส่วนกฎหมายเป็นแค่องค์ประกอบ ดังนั้นเมื่อไม่มีความชอบธรรม การไปให้ความสำคัญต่อกฎหมายก็ไม่ถูกต้อง ซึ่งเป็นคนละเรื่องกัน การเมืองตอนนี้เรากำลังไปกับการเลือกตั้ง ที่เป็นเสมือนที่เรากำลังหากระดุมในป่าใหญ่ ที่อยู่ภายใต้ระอบทักษิณเพื่อให้หากระดุมให้เจอ แต่เราจะต้องมองไปให้ไกลขึ้น ตนเองเห็นด้วยที่จะต้องแยกเรื่องกฎหมายออกจากความชอบธรรม อย่างการขายหุ้นของครอบครัวนายกฯ ถึงแม้จะถูกฎหมายแต่ก็ไม่ถูกต้องในเรื่องของความชอบธรรม ดังนั้น เมือทำอะไรที่ถูกกฎหมายแต่ไม่ถูกต้องในเรื่องของความชอบธรรมก็ไม่ถูกต้อง
อย่างการประกาศยุบสภาท่านบอกว่า ทำได้ แต่ถามว่าสภามีปัญหาอะไรก็ไม่มี และเมื่อยุบมาแล้วแต่กลับมีปัญหาเช่นนี้อยากถามว่าจะยุบทำไม ในที่นี้อยากให้ประชาชนมองข้ามผลการเลือกตั้งว่าใครแพ้ ใครชนะ หรือเรื่องโหวต โนโหวต เพราะจะเห็นว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ไม่มีความชอบธรรมตั้งแต่การยุบสภาทั้งที่รัฐบาลมีเสียงข้างมากดังนั้นการจัดการเลือกตั้งที่เกิดขึ้นตามมาจึงไม่สามารถสร้างความชอบธรรมประเด็นมันอยู่ตรงนี้
"พ.ต.ท.ทักษิณ หนีในเรื่องความชอบธรรมมาตลอด บอกว่าจะเปิดอภิปรายทั่วไปแต่ก็กลับยุบสภาทั้งที่มีเสียงข้างมากและสภาก็ไม่มีและปัญหาประชาชาชนก็ไม่มีปัญหาจนฝ่ายค้านจึงบอยคอตการเลือกตั้ง จึงทำให้การให้มีการเลือกตั้งจึงเป็นการฟอกตัวสิ่งที่นายกฯที่ขอให้ประชาชนลงประชามมติว่าถ้าตัวเองไม่ผิดก็ขอให้เลือกตัวเอง เพราะฉะนั้นเลือกตั้งครั้งนี้ไม่ได้สร้างระบบผู้แทน แต่เป็นการยุบสภาเพื่อสถาปนาระบบประธานาธิบดี ถามว่าทำได้หรือไม่ เพราะในรัฐธรรมนูญ มาตรา214 (ระบุว่าการออกเสียงประชามติของประชาชนที่เกี่ยวกับตัวบุคคลใดบุคคลหนึ่งหรือคณะบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะจะกระทำมิได้)"นายแก้วสรร กล่าว
นายแก้วสรรร กล่าวว่า การเลือกตั้งต่างกับประชามติ การเลือกตั้งคือการเลือกความเป็นผู้แทนที่ไว้วางใจได้คือ 1.แทนเขต ที่ตัดสินโดยเสียงข้างมาก แต่การเลือกตั้งครั้งนี้เรากลับได้ผู้แทนเสียงข้างน้อยจากเขตต่างๆ และถ้ายังเดินหน้าต่อไป เพื่อเปิดประชุมไปทั้งๆ ที่ผู้แทนไม่ครบหมายความว่าผู้แทนของเขตยังไม่ได้เป็นผู้แทนของปวงชนชาวไทย
“ตอนนี้ เท่าที่ได้ทราบที่ จ.กระบี่ มีคน โทรศัพท์มหาหาว่าหากอยู่ในเขตที่ไม่ส.ส.จะเสียงภาษีได้หรือไม่และจะใช้วิธีใดซึ่งจะเห็นว่าประชาชนจากเริ่มมีปฏิกิริยากับเสียงข้างน้อยที่ไม่ถูกแทนที่ในสภาประกอบกับการที่ พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า "ถ้าลาออกผมจะตอบ 16 ล้านเสียงที่เลือกผมอย่างไร " เป็นการแสดงให้เห็นถึงแนวความคิดที่มีความพยายามเอาระบบรัฐสภามาใช้อย่างบิดเบือนเท่ากับมีความคิดในการครอบครองประชาชน และเท่ากับเป็นความคิดแบบเผด็จการ"
2. แบบบัญชีรายชื่อ มีที่มาเพื่อเป็นตัวแทนของเสียงข้างน้อย แต่พ.ต.ท.ทักษิณก็บิดเบือนการเลือกตั้งระบบบัญชีรายชื่อไปแล้ว ซึ่งก่อนการเลือกตั้งทาง ส.ว.17 คนได้รวมตัวกันไปที่ กกต.ว่าอย่าให้มีการลือกตั้งและขอให้ไปทบทวน แต่ไม่รู้ทำไมถึงพาประเทศมาอยู่จุดนี้ได้อย่างไร และคำตอบก็คือ มาจากความคิดความเคลื่อนไหวแบบประธานาธิบดี ซึ่งจะเห็นว่า การออกรายการเมื่อวานนี้ (3เม.ย.) พ.ต.ท.ทักษินไม่ได้พูดถึงคะแนนของส.ส.เขตเลย และสิ่งทีแสดงออกมาคือ ต้องการเดินหน้าเปิดสภา
"ตอนนี้เขาคิดว่าตัวเองเป็นผู้นำแล้ว โดยอ้างแต่ 16 ล้านเสียง ไม่สนใจ ส.ส.เขตเลยและเชื่อว่าจะต้องพยายามผลักดันให้เปิดสภาให้ได้สิ่งที่เกิดขึ้นคือการใช้รัฐธรรมนูญอย่างบิดเบือน ถ้ารัฐธรรมนูญฉบับนี้ใช้โดยพรรคประชาธิปัตย์ มหาชน หรือ แต่พรรคไทยรักไทยที่ไม่มีคนที่ชื่อทักษิณ สถานการณ์จะไม่เป็นแบบนี้ การคิดเคลื่อนไหวแบบระบอบทักษิณมาใช้กับรัฐธรรมนูญและอำนาจโดยบิดเบือนเพื่อก่อ ความแปลกแยกหากรัฐบาลยังท้าทาย 38 เขตทางภาคใต้ด้วยการจัดการเลือกตั้งใหม่ผลที่ตามมาจะเป็นความเสี่ยงและความเสียหายจะตามมา เหมือนกับเป็นการข่มขืนเขา ซึ่งทางพันธมิตรฯก็เลยใช้แบบอารยะขัดขืนคุณทักษิณก็ยังไม่เข้าใจเพราะเขาไม่มีความสมดุลทางจิต เพราะฉะนั้นใน 38 เขตหากเดินหน้า หักหาญ เขาถือเป็นการยั่วเขา หรือแม้กระทั่งคนกรุงเทพฯก็อาจจะถูกยั่ว ในกรณีถ้าหากที่จะคิดตีความกฎหมายให้จัดการเลือกตั้งใหม่ซึ่งถือว่าเป็นการใช้กฎหมายมากดดันคนซึ่งเป็นไปไม่ได้ อย่างไรก็ตาม เท่าที่ทราบคนที่เคยทำงานใกล้ชิดและรู้นิสัยที่แท้จริงของ พ.ต.ท.ทักษิณ บอกว่าคนๆนี้ไม่มีทางถอย ถ้าไม่ถูกบีบหนักจริงๆ เหมือนกับที่ฮิตเลอร์ ที่คิดแต่เรื่องตอสู้อย่างเดียว ทั้งที่เห็นวิกฤติรออยุ่แล้ว เช่นเดียวกับกรณี ถ้าดื้อดึงจะเปิดสภาให้ได้โดยตีความกฎหมายเข้าข้างตัวเอง" นายแก้วสรร กล่าว
นายแก้วสรร กล่าวว่า ในรายการเมื่อวันที่ 3 เม.ย. ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ระบุว่าถ้าผมออกแล้วประเทศดีขึ้น ก็พร้อมจะออก ผมบอกไว้เลยว่า ประเทศไม่มีคุณทักษิณ ก็ได้ คุณเอาความคิดอะไรมาครอบครองประเทศ และยิ่งไปกว่านั้น ยังมีแนวคิดแบบที่เห็นประชาชนเป็นเซลแบบคนขายของที่ประกาศว่า ใครเลือกตัวเองจะดูแลเป็นพิเศษเหมือนเป็นการให้ค่าตอบแทน ฉะนั้นแนวคิดแบบนี้เป็นแบบเผด็จการประธานาธิบดีมาใช้ โดยผ่านระบบบัญชีรายชื่อเพื่อให้เป็นประชามติรับรองตัวเอง ” นายแก้วสรร กล่าว
**แนะเลือกตั้งซ้ำต้องเปิดสมัครใหม่
ศ.ดร.สมคิด เลิศไพฑูรย์ อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มธ. กล่าวว่า ภายหลังผลการเลือกตั้งที่ออกมาพิสูจน์ได้ว่ารัฐบาลเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ เนื่องจากประชาชนจำนวนมากได้ลงคะแนนกาช่องไม่เลือกใคร และถ้ามีการการเลือกตั้งซ่อม 2-3 ครั้ง หากมองสถานการณ์ข้างหน้าคิดว่าถึงทางตัน และวิกฤตจะยังคงมีอยู่ ดังนั้นหากจะให้สถานการณ์ดีขึ้นได้ มีทางออกของประเทศเพียงทางเดียวคือ ต้องให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ลาออกเท่านั้น หรืออาจจะมีนายกฯ จากพรรคไทยรักไทยไปดำรงตำแหน่งเป็นคนต่อไป ก็อาจเป็นไปได้ หรืออาจให้มีนายกฯ ที่ได้มาจากการหารือร่วมระหว่างฝ่ายต่างๆ ซึ่งกระบวนการเหล่านี้จะทำให้พันธมิตรฯ ได้หยุดการชุมนุมเคลื่อนไหว รวมถึงฝ่ายค้านที่เคยบอยคอตการเลือกตั้งก็จะเข้าร่วมกระบวนการเลือกตั้ง ซึ่งเงื่อนไขเหล่านี้จะทำให้ประเทศไทยสามารถเดินต่อไปได้
ผศ.ดร.บรรเจิด สิงคะเนติ อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มธ. กล่าวว่า ผลการเลือกตั้งเกือบ 40 เขต ที่มีผู้ไม่ประสงค์ลงคะแนนเป็นจำนวนมาก เป็นการสะท้อนทัศนะและเจตจำนงที่แท้จริงของผู้ไปใช้สิทธิ เพื่อจะปฏิเสธผู้แทนจากพรรคไทยรักไทย ดังนั้นจึงทำให้ต้องมีการเลือกตั้งซ่อมเพื่อให้ได้ ส.ส.ครบ 500 คน ส่วนในเขตที่มีผู้สมัครเพียงรายเดียวได้รับคะแนนเสียงไม่ถึง 20 % ของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ดังนั้นจึงควรให้มีการเปิดรับสมัคร ส.ส.ใหม่ ภายใต้เงื่อนไขว่า ต้องมีพระราชกฤษฎีกาเปิดรับผู้สมัครเลือกตั้งใหม่ เนื่องจากอยู่ในสภาพการณ์ที่ไม่สามารถเดินหน้าเลือกตั้งต่อไปได้
ทั้งนี้ สภาพการณ์ที่เกิดขึ้นหลังการเลือกตั้งครั้งนี้ถือเป็นภาวะที่ไม่ปกติ เพราะมีผู้ลงแข่งขันเพียงพรรคเดียว จนนำไปสู่การตีบตัน และไม่ถือเป็นการเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตยอย่างแน่นอน แต่เป็นเพียงการเลือกตั้งเพื่อรับรองตัวบุคคลเท่านั้น ผลการเลือกตั้งครั้งนี้จึงสะท้อนชัดเจนว่า ระบอบทักษิณไม่สามารถเป็นตัวแทนของประชาชนทั้งประเทศอย่างสง่างามได้ ทั้งนี้อยากให้นำข้อเสนอเรื่องการปฏิรูปการเมืองของพรรคไทยรักไทยทิ้งไปทั้งหมด อย่าเดินตามกติกาที่เขากำหนดขึ้น เพราะจะนำไปสู่สภาสนามม้า หรือระบบนอมินี ซึ่งเป็นตัวแทนของพรรคไทยรักไทยทั้งสิ้น ส่วนกระบวนการปฏิรูปการเมืองคงเป็นเรื่องที่ต้องหารือร่วมกันต่อไป สังคมไทยในขณะนี้กำลังเต็มไปด้วยหลุมบ่อของความขัดแย้ง แต่หลุมบ่อเหล่านั้นจะถูกกลบได้ก็ด้วยหินก้อนแรก คือตัวของนายกฯทักษิณ
นายภัทระ คำพิทักษ์ นายกสมาคมนักข่าวนักหนังพิมพ์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า สิ่งสำคัญคือ เราจะตีความการเลือกตั้งครั้งนี้อย่างไร ขณะที่ ข้อเสนอต่างๆ ของ พ.ต.ท.ทักษิณ สามารถยกเลิกได้ แต่ระบอบทักษิณก็ยังคงอยู่ หากพูดตามหลักศาสนาก็คือ เมื่อต้นเหตุผิดปลายเหตุก็ผิด เพราะเริ่มต้นก็ผิดปกติ เป็นการแข่งขันที่ไม่สมเหตุสมผล การที่ประชาชนไม่ประสงค์ลงคะแนนให้ใครถือเป็นเรื่องที่ปกติ เป็นการประกาศไม่ยอมรับการเลือกตั้ง และการที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่สามารถเดินทางไปภาคใต้ได้ อย่างนี้จะยังเป็นนายกฯได้อย่างไร
สิ่งที่ต้องจับตาต่อไปคือ กระบวนการปฏิรูปการเมืองโดยพรรคไทยรักไทยเพียงข้างเดียว ซึ่งเป็นอันตรายต่อสังคมและจะไม่สามารถปฏิรูปได้ นายกฯทักษิณพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้อยู่ในตำแหน่งได้ ซึ่งเป็นเรื่องน่าประหลาดใจที่คนระดับผู้นำประเทศคิดเช่นนี้ และสังคมจะเกิดความกังขาต่อภาวะผู้นำของนายกฯทักษิณ สุดท้ายแล้วหลังการเลือกตั้งจะเกิดสภาชิน และรัฐบาลชิน และการปฏิรูปการเมืองโดยประชาชนมีส่วนร่วมจะไม่สามารถเกิดขึ้นได้ เพราะสภาที่จะรับรองไม่มีความหลากหลาย
ขณะนี้เรายังยึดติดในเรื่องโนโหวตกันมาก แต่สิ่งที่ไม่ควรผ่านเลยไปก็คือ กระบวนการเลือกตั้งถูกต้องชอบธรรมหรือไม่ จะมีกรณีใดที่จะทำให้ผลการเลือกตั้งเป็นโมฆะบ้าง และคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จะต้องตรวจสอบว่านายกฯ ทำผิดกฎหมายเลือกตั้งหรือไม่ ซึ่งจะสามารถล้มกระบวนการเลือกตั้งทั้งหมดได้ ฉะนั้นทางออกที่ดีที่สุดคือต้องกลับไปตรวจสอบเรื่องการทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง อย่าเพิ่งไปตัดสินกันที่ผลการเลือกตั้ง เพราะมีหลายกรณีที่ล่อแหลมว่าผิดกฎหมายเลือกตั้ง และหาก กกต.วินิจฉัยว่าผิดกฎหมายจริง รัฐบาลรักษาการชุดนี้ยังสมควรจะเป็นผู้จัดการเลือกตั้งได้อีกหรือไม่
ในภาวะที่บ้านเมืองกำลังเกิดวิกฤต มีความเห็นต่างในสังคม ดังนั้นแนวทางการแก้ปัญหาจะต้องใช้เหตุผลมากกว่าอารมณ์ เชื่อว่าพลังศีลธรรมของคนในสังคมยังมีอยู่สูง เห็นได้จากการต่อต้านการขายหุ้นโดยไม่เสียภาษีของนายกฯทักษิณ ซึ่งจากจุดนี้จะทำให้เกิดกระบวนการปฏิรูปทางการเมืองอย่างกว้างขวาง


